อาหารอัลคาไลน์
อัลคาไลน์ ไดเอต (หรือ อาหารที่มีสภาวะเป็นด่าง) เป็นการอธิบายถึงกลุ่มของอาหารที่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า อาหารแต่ละประเภทสามารถส่งผลกระทบต่อ ความเป็นกรด และ ค่า pH ของของเหลวในร่างกาย ซึ่งรวมถึง ปัสสาวะ และ เลือด และสามาถนำไปใช้เพื่อรักษาและป้องกันโรค แต่เนื่องจากยังขาดการศึกษาที่สนับสนุนผลดีของอาหารประเภทนี้ ดังนั้นจึงเป็นที่ไม่แนะนำโดยนักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ[1] มีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและ สภาวะสมดุลกรดด่าง หรือ การควบคุมภาวะความเป็นกรด – ด่างของร่างกาย มากว่าทศวรรษ การประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้ในทางการแพทย์จะมุ่งเน้นกับการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของปัสสาวะ โดยหลักแล้วอาหารประเภทนี้สนับสนุนให้หลีกเลี่ยงการบริโภค เนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์ปีก ชีส และ ธัญพืช เพื่อที่จะทำให้ปัสสาวะมีความเป็นด่างมากขึ้น (มีค่า pH ที่สูงขึ้น) และเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมของปัสสาวะเพื่อที่จะป้องกันการเกิด โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ (UTIs) และ โรคนิ่วไต (Nephrolithiasis) อย่างไรก็ตาม ความยากในการคาดหมายผลของการบริโภคอาหารประเภทนี้ จึงทำให้ การรักษาด้วยยา เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากกว่าในการปรับค่าความเป็นกรดด่างของปัสสาวะมากกว่าที่จะเป็นการปรับเปลี่ยนอาหาร การบริโภคอาหารที่มีสภาวะเป็นกรดถูกพิจารณาโดยผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์จำนวนมาก ว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงของ โรคกระดูกพรุน (osteoporosis) แม้ว่าในช่วงระยะเวลาไม่นานมานี้ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่สนับสนุนสมมุติฐานนี้ แผนการบริโภค “อาหารที่มีสภาวะเป็นด่าง (alkaline diet)” ยังได้ถูกใช้โดย การแพทย์ทางเลือก โดยแนะนำว่าอาหารประเภทดังกล่าวจะสามารถรักษาหรือป้องกัน โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะระดับพลังงานต่ำ (low energy levels) รวมทั้งโรคอื่น ๆ ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์มาสนับสนุน และทำให้เกิดข้อสันนิษฐานที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับผลของการบริโภคอาหารที่มีสภาวะเป็นด่าง ซึ่งขัดแย้งกับความเข้าใจใน สรีรวิทยา ของมนุษย์
มุมมองทางการแพทย์
[แก้]องค์ประกอบของโภชนาการ
[แก้]ตามทฤษฎีพื้นฐานของการแยกประเภทอาหารนี้ กรดจะถูกสร้างขึ้นโดยการบริโภคอาหารประเภทเนื้อแดง เนื้อไก่ ชีส เนื้อปลา ไข่ และธัญพืช ส่วนด่างจะถูกสร้างโดยการบริโภคอาหารประเภทผักและผลไม้ ยกเว้น แครนเบอร์รี่ พรุน และ ลูกพลัม อาหารประเภทผลไม้ตระกูลส้มที่โดยทั่วไปจะถูกพิจารณาว่าเป็นอาหารที่เป็นกรดถูกพิจารณาว่าเป็นอาหารที่ทำให้เกิดด่างในโภชนาการนี้[2]เนื่องจากการแยกประเภทว่าอาหารชนิดใดที่สร้างกรดหรือด่างเกิดจากการพิจารณาส่วนที่เหลือ (residue) ภายหลังจากการการออกซิไดซ์ (เผาไหม้ - Combustion) มากกว่าที่จะเป็นการวัดความเป็นกรดของอาหาร
สมมติฐานในปัจจุบัน
[แก้]อาหารที่มีส่วนประกอบที่มีสภาวะเป็นกรด (สร้างกรด) จะทำให้ร่างกายพยายามที่จะ ลดความเป็นกรด (buffer) กรดอื่น ๆ ที่อยู่ในร่างกายด้วย การกร่อนกระดูก ซึ่งทำให้กระดูกเปราะและทำให้เพิ่มความเสี่ยงของการเกิด โรคกระดูกพรุน (osteoporosis) ในทางตรงข้าม อาหารที่มีส่วนประกอบที่มีสภาวะเป็นด่าง (สร้างด่าง) จะลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน ทฤษฎีนี้ได้รับการสนับสนุนในบทความของ สมาคมโภชนาการอเมริกัน[2] (American Dietetic Association) โดยตีพิมพ์ในวารสารของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา[3] (U.S. National Academy of Science; NAS) เช่นเดียวกับในวารสารวิทยาศาสตร์อื่น ๆ[4] ซึ่งได้ชี้บ่งว่า อาหารที่มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมสูง เช่น ผักและผลไม้ อาจลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนด้วยการเพิ่มการสร้างสภาวะด่าง อย่างไรก็ตาม การยอมรับสมมุติฐานความเป็นกรด-ด่างว่าเป็นตัวแปรสำคัญของความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนโดยวารสารเหล่านี้ ไม่ได้มีการตรวจสอบโดยการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ (Systematic reviews) ที่มีคุณภาพสูง[5] ผลการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ซึ่งถูกตีพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ได้วิเคราะห์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่อย่างเป็นขั้นเป็นตอน และพบว่าไม่มีหลักฐานที่สำคัญที่สนับสนุนสมมุติฐานของการบริโภคอาหารที่มีสภาวะเป็นกรด เกี่ยวกับการป้องกันโรคกระดูกพรุน ผลการศึกษาด้วยวิธีการวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) เกี่ยวกับผลของปริมาณฟอสเฟต (Phosphate) ที่บริโภคขัดแย้งกับสมมุติฐานของการบริโภคอาหารที่มีสภาวะเป็นกรดที่เกี่ยวข้องกับแคลเซี่ยมในปัสสาวะและการสลายของกระดูก ผลการศึกษาดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าการบริโภคอาหารประเภทนี้ (Alkaline diet) เพื่อป้องกันการสูญเสียแคลเซี่ยมจากกระดูกนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้[5] ผลการศึกษาอื่น ๆ ที่วิจัยด้วยวิธี Meta-analysis ที่ได้ศึกษาผลของปริมาณการบริโภคอาหารที่เป็นกรดก็ไม่พบหลักฐานที่ชี้บ่งว่าการบริโภคอาหารที่เป็นกรดเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนอย่างเช่นที่คาดเดาตามสมมุติฐานของการบริโภคอาหารที่มีสภาวะเป็นกรด[4][6] การพิสูจน์ชิ้นหนึ่งพิจารณาผลของการบริโภค ผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งตามสมมุติฐานแล้วเป็นอาหารที่เพิ่มความเป็นกรดในร่างกายจากองค์ประกอบที่เป็นฟอสเฟตและโปรตีน แต่การพิสูจน์นี้ไม่พบหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่าผลิตภัณฑ์จากนมที่บริโภคเข้าไปทำให้เกิดภาวะกรดเกิน (Acidosis) หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน[7]
นอกจากนี้ยังมีการคาดเดาว่าการจำกัดการบริโภคอาหารนี้อาจส่งผลเกี่ยวกับ ภาวะกล้ามเนื้อลีบ การสร้างโกรทฮอร์โมน (growth hormone metabolism) หรือ อาการปวดหลัง แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่ยืนยันสมมุติฐานดังกล่าว[8][9][10] ก็ตาม และเนื่องจากการมีประชากรผู้สูงอายุจำนวนมาก การบริโภคอาหารที่มีสภาวะเป็นด่างเพื่อผลทางสุขภาพจึงอาจได้รับความสนใจ แม้ว่าจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องนี้อยู่น้อยมากก็ตาม[10]
การแพทย์ทางเลือก
[แก้]การแพทย์ทางเลือกซึ่งสนับสนุนโภชนาการอาหารที่มีสภาวะเป็นด่าง (alkaline diet) ได้ใช้หลักการควบคุมอาหารนี้ในการรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึง โรคมะเร็ง[11] ข้อกล่าวอ้างนี้ได้ถูกเสนอแนะใน เว็บไซต์ นิตยสาร จดหมาย และ หนังสือ ซึ่งมีต่อบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ[4] ขณะที่หลักการควบคุมอาหารประเภทนี้ได้ถูกเสนอแนะว่าสามารถเพิ่มพลังงาน ลดน้ำหนัก รักษาโรคมะเร็งและ โรคหัวใจ อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่สามารถสนับสนุนข้ออ้างดังกล่าว[12] การควบคุมการบริโภคอาหารประเภทนี้ นอกเหนือจากการลดการบริโภคเนื้อสัตว์และโปรตีน ยังรวมถึงการหลีกเลี่ยงการทานอาหารแปรรูป น้ำตาลทรายขาว แป้งขาว และคาเฟอีน[9] และการออกกำลังกายเฉพาะอย่าง และ แผน การทานอาหารเสริมด้วย[13]
หลักฐานเชิงประจักษ์
[แก้]ผู้ที่สนับสนุนการบริโภคโภชนาการอาหารที่มีสภาวะเป็นด่างเสนอว่าเนื่องจากค่า pH ปกติของร่างกายจะเป็นด่างอ่อน ๆ เป้าหมายของบริโภคอาหารประเภทนี้จึงสะท้อนผลดังกล่าวด้วยการบริโภคอาหารที่ผลิตด่าง ผู้สนับสนุนเหล่านี้กล่าวอ้างว่าการบริโภคอาหารมีองค์ประกอบที่ผลิตกรดสูงซึ่งทำให้ร่างกายมีภาวะเป็นกรดจะทำให้เกิดโรค[9][12] กลไกที่กล่าวอ้างว่าอาหารสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของเลือดอย่างมีนัยสำคัญ ขัดแย้งกับ “ทุกสิ่งที่ทราบเกี่ยวกับสารเคมีของร่างกายมนุษย์” และถูกเรียกว่า “นิทานปรัมปรา” ในคำแถลงโดย สถาบันวิจัยมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (American Institute of Cancer Research)[14] การบริโภคอาหารที่มีสภาวะเป็นด่างไม่ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของระดับค่าความเป็นกรด-ด่างของเลือดหรือแม้แต่ผลทางคลินิก (ซึ่งแตกต่างไปจากระดับค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH levels) ในปัสสาวะอันมีผลเนื่องจากการบริโภคอาหารประเภทดังกล่าว) ทั้งนี้เนื่องจากกลไกทางธรรมชาติของร่างกายไม่ได้ต้องการอาหารที่พิเศษ การบริโภคอาหารที่มีสภาวะเป็นด่างจึงมีผลเปลี่ยนแปลงค่าความเป็นกรด-ด่างของเลือดเพียงเล็กน้อยและชั่วคราว.[1][9][12][14] ข้อกล่าวอ้างโดยผู้ที่สนับสนุนโภชนาการประเภทนี้ยังกล่าวว่าเซลล์มะเร็งเจริญเติบโตในสภาวะแวดล้อมที่เป็นกรดซึ่งการบริโภคอาหารที่มีความเป็นด่างอย่างเหมาะสมจะสามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมของร่างกายเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ข้อกล่าวอ้างนี้มองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าในขณะที่เนื้อเยื่อมะเร็งแพร่ขยายในสภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด เนื้อเยื่อมะเร็งเองก็สร้างสภาวะความเป็นกรด กล่าวคือการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของเซลล์มะเร็งสามารถสร้างสภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด สภาวะแวดล้อมที่เป็นกรดไม่ได้ก็ให้เกิดมะเร็ง[11]ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวยังไม่ยอมรับว่าไม่มีความเป็นไปได้ที่จะลดสภาวะที่มีความเป็นกรดให้น้อยลงในร่างกาย[14] แผนการควบคุมและจำกัดการบริโภคอาหารอย่างสุดโต่ง เช่นการควบคุมอาหารประเภทนี้ (alkaline diet) ยังมีความเสี่ยงต่อคนไข้โรคมะเร็ง [11] มากกว่าข้อดี ข้อดีอื่น ๆ จากการบริโภคอาหารที่มีความเป็นด่างที่ถูกกล่าวอ้างขึ้นก็ไม่ได้รับการสนับสนุนโดยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อื่น ๆ เช่นกัน แม้ว่าว่าการจำกัดการบริโภคอาหารประเภทนี้จะถูกกล่าวอ้างสามารถเพิ่ม “พลังงาน” หรือ รักษาโรคหลอดเลือด แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่จะสนับสนุนข้อกล่าวอ้างนี้[12]เช่นกัน แบบหนึ่งของการควบคุมอาหารนี้ถูกนำเสนอโดย โรเบิร์ต โอ ยัง ว่าเป็นวิธีการลดน้ำหนักในหนังสือมหัศจรรย์ pH (The pH Miracle) สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งสหรัฐอเมริกา (Academy of Nutrition and Dietetics หรือ AND) ให้ความเห็นว่าการกำหนดสัดส่วนของอาหารของโรเบิร์ต โอ ยังที่เน้นหนักไปทางการบริโภคผักใบเขียวและการออกกำลังกายย่อมส่งเสริมความมีสุขภาพที่ดี อย่างไรก็ตาม “ทฤษฎีที่คลุมเครือ” ซึ่งเป็นฐานของการกำหนดอาหารของเขาและแผนการอดอาหารที่ซับซ้อนและ การทานอาหารเสริม ทำให้เห็นว่าการควบคุมอาหารแบบนี้ไม่ใช่วิธีการลดน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพ[13] นอกจากนี้ยังมีการกล่าวอ้างอีกว่ากรดทำให้เกิด โรคข้ออักเสบรูมาทอยด์ (rheumatoid arthritis) และโรคข้อกระดูกอักเสบ (osteoarthritis) ดังนั้นการทานอาหารที่มีสภาวะเป็นด่างสามารถใช้เพื่อรักษาอาการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานที่จะสนับสนุนการกล่าวอ้างดังกล่าว[15] การตรวจความเป็นกรดของปัสสาวะและน้ำลายถูกเสนอให้นำมาใช้เป็นวิธีหนึ่งในการวัดระดับความเป็นกรดของร่างกายและระดับความเสี่ยงในการเกิดโรค[4] อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างการวัดระดับค่า pH ของปัสสาวะโดย”ชุดตรวจ” ที่บ้าน และความเป็นกรดของร่างกาย[14]
ผลที่ไม่พึงประสงค์
[แก้]เนื่องจากการบริโภคอาหารที่มีสภาวะเป็นด่างจำกัดการบริโภคอาหารบางชนิด จึงส่งผลให้ขาดความสมดุลของโภชนาการทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหารเช่น กรดไขมันที่จำเป็น และ สารพฤกษเคมี หรือ ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients)[1] เว็บไซต์และหนังสือจำนวนมากที่สนับสนุนโภชนาการประเภทนี้ขายชุดอาหารและอาหารเสริม ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นที่จะซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้แต่อย่างใด ผู้ปฏิบัติตามแผนการควบคุมอาหารต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการจำกัดอาหารประเภทนี้เนื่องจากมีอาหารหลายประเภทที่ถูกจำกัด[9]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 Vangsness, Stephanie (16 January 2013). "Alkaline Diets and Cancer: Fact or Fiction?". Intelihealth. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-03-27. สืบค้นเมื่อ 5 February 2014.
- ↑ 2.0 2.1 Cunningham E (October 2009). "What impact does pH have on food and nutrition?". J Am Diet Assoc. 109 (10): 1816. doi:10.1016/j.jada.2009.08.028. PMID 19782182.
- ↑ Food and Nutrition Board. Dietary Reference Intakes for Water, Potassium, Sodium, Chloride, and Sulfate (2005), page 189. National Academies Press.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 Fenton TR, Tough SC, Lyon AW, Eliasziw M, Hanley DA (2011). "Causal assessment of dietary acid load and bone disease: a systematic review & meta-analysis applying Hill's epidemiologic criteria for causality". Nutr J. 10: 41. doi:10.1186/1475-2891-10-41. PMC 3114717. PMID 21529374.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 5.0 5.1 Fenton TR, Lyon AW, Eliasziw M, Tough SC, Hanley DA (2009). "Phosphate decreases urine calcium and increases calcium balance: a meta-analysis of the osteoporosis acid-ash diet hypothesis". Nutr J. 8: 41. doi:10.1186/1475-2891-8-41. PMC 2761938. PMID 19754972.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Fenton TR, Lyon AW, Eliasziw M, Tough SC, Hanley DA (November 2009). "Meta-analysis of the effect of the acid-ash hypothesis of osteoporosis on calcium balance". J. Bone Miner. Res. 24 (11): 1835–40. doi:10.1359/jbmr.090515. PMID 19419322.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Fenton TR, Lyon AW (October 2011). "Milk and acid-base balance: proposed hypothesis versus scientific evidence". J Am Coll Nutr. 30 (5 Suppl 1): 471S–5S. PMID 22081694.
- ↑ Pizzorno J, Frassetto LA, Katzinger J (April 2010). "Diet-induced acidosis: is it real and clinically relevant?". Br. J. Nutr. 103 (8): 1185–94. doi:10.1017/S0007114509993047. PMID 20003625.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 "Alkaline Diets". WebMD. สืบค้นเมื่อ 5 February 2014.
- ↑ 10.0 10.1 Schwalfenberg GK (2012). "The alkaline diet: is there evidence that an alkaline pH diet benefits health?". J Environ Public Health (Review). 2012: 727630. doi:10.1155/2012/727630. PMC 3195546. PMID 22013455.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 Cassileth, Carrie R. (2008). Principles and Practice of Gastrointestinal Oncology. Philadelphia, PA: Lippincott Williams & Wilkins. p. 137. ISBN 0-7817-7617-1.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 "An alkaline diet and cancer". Canadian Cancer Society. สืบค้นเมื่อ 10 August 2012.[ลิงก์เสีย]
- ↑ 13.0 13.1 "The pH Miracle for Weight Loss Book Review". Academy of Nutrition and Dietetics. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-06. สืบค้นเมื่อ 10 August 2012.
- ↑ 14.0 14.1 14.2 14.3 "Cancer and Acid-Base Balance: Busting the Myth". American Institute for Cancer Research. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-08-22. สืบค้นเมื่อ 10 August 2012.
- ↑ Skarnulis, Leanna. "Arthritis diets and supplements: Do they work?". สืบค้นเมื่อ 10 August 2012.