อนิศ กปูร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เซอร์อนิช คาพัวร์
คาพัวร์ในปี 2017
เกิด (1954-03-12) 12 มีนาคม ค.ศ. 1954 (70 ปี)[1]
มุมไบ, รัฐบอมเบย์, ประเทศอินเดีย
สัญชาติบริเตน, อินเดีย (เดิม)
การศึกษาสถาบันเดอะดูน
วิทยาลัยศิลปะฮอร์นซีย์
สถาบันศิลปะและการออกแบบเชลซี
มีชื่อเสียงจากประติมากรรม
คู่สมรสซูซานน์ สพีเคล (1995 – 2013)
โซฟี วอล์เคอร์ (2016 หรือ 2017 – ปัจจุบัน)
รางวัลรางวัลเทอร์เนอร์ 1991
เพรเมียม อิมพีเรล 2011
รางวัลเจเนซิส 2017
เว็บไซต์anishkapoor.com

เซอร์อนิศ กปูร หรือทับศัพท์อิงภาษาอังกฤษว่า อนิช คาพัวร์[2] (Sir Anish Kapoor CBE, RA; เกิด 12 มีนาคม 1954) เป็นประติมากรชาวอินเดีย-อังกฤษ[3] เชียวชาญพิเศษด้านศิลปะจัดวางและศิลปะคอนเซ็ปชวล อนิศ กปูร เกิดที่เมืองมุมไบ[4][5] และย้ายมาอาศัยกับทำงานในลอนดอนตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970s ที่ซึ่งเขาย้ายมาศึกษาศิลปะที่วิทยาลัยศิลปะฮอร์นซีย์และวิทยาลัยศิลปะและการออกแบบเชลซีตามลำดับ

กปูรเคยเป็นตัวแทนสัญชาติบริเตนในเวนิสเบียนนาเลครั้งที่ 44 ในปี 1990 ที่ซึ่งเขาได้รางวัล Premio Duemila, ในปี 1991 ได้รางวัลเทอร์เนอร์ และในปี 2002 ได้รางวัลยูนิลีเวอร์คอมมิชชั่นให้กับเทอร์ไบน์ฮอลล์ของเททมอเดิร์น งานศิลปะสาธารณะชิ้นที่มีชื่อเสียงของเขา เช่น คลาวด์เกท (2006, รู้จักในชื่อเล่น "เดอะบีน") ในสวนสาธารณะมิลเลนเนียม ชิคาโก, สกายมิร์เรอร์ ซึ่งจัดแสดงที่รอคเฟลเลอร์เซ็นเตอร์ นิวยอร์กซิตี ในปี 2006, งานที่สวนเคนซิงทันในลอนดอนเมื่อปี 2010,[6] ทีมีนอส ที่มิดเดิลเฮเวน มิดเดิลบะระ; เลวิเอธาน[7] ที่กรังปาเลส์ ปารีส เมื่อปี 2011 และ อาร์เซเลอร์มิททอลออร์บิท ซึ่งจัดแสดงถาวรที่สวนสาธารณะออลิมพิคของลอนดอนตั้งแต่ปี 2012[8] ในปี 2017 กปูรออกแบบรูปปั้นสำหรับรางวัลบริทอะวอร์ด 2018[9]

กปูรได้รับแต่งตั้งยศเบิร์ธเดย์ออร์เนอร์เป็นอัศวินแห่งสหราชอาณาจักรในปี 2013 สำหรับผลงานประจักษ์ทางศิลปะ และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยออกซเฟิดในปี 2014[10][11] ในปี 2012 เขาได้รับปัทมภูษันของรัฐบาลอินเดีย ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศพลเมืองที่สูงสุดอันดับสามของอินเดีย[12] ภาพของกปูรยังปรากฏในส่วนไอคอนของวัฒนธรรมอังกฤษในหนังสือเดินทางอังกฤษที่ออกแบบใหม่ในปี 2015[13] ในปี 2016 เขาได้รับประกาศชื่อเข้ารับรางวัลเลนนอนโอโนะกรานท์เพื่อสันติภาพ[14] ในปี 2017 กปูรซึ่งเป็นชาวยิว[15] ได้รับรางวัลมูลค่าหนึ่งล้านดอลลาร์จากรางวัลเจเนซิส "สำหรับผู้ที่ทุ่มเทให้กับมูลค่าของยิว"[16][17][18]

กรณีถกเถียงวานทาแบล็ก[แก้]

ในปี 2014 กปูรเริ่มทำชิ้นงานจากวานทาแบล็ก [en] (Vantablack) สารที่เป็นหนึ่งในสารที่สะท้อนกลับแสงน้อยที่สุดที่มีการบันทึกไว้ ในชื่อ Vantablack S-VIS ซึ่งสามารถดูดกลืนแสงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจนเกือบหมดและได้รับขนานนามเป็นสี "ดำที่ดำที่สุด" (Blackest Black) และถูกมอบลิขสิทธิ์เด็ดขาดให้แก่สตูดิโอของอนิศ กปูร เพื่อใช้ทำงานทางศิลปะเพียงผู้เดียว[19] ลิขสิทธิ์เฉพาะบุคคลดังที่กปูรได้รับนั้นกลายเป็นประเด็นถกเถียงในวงการศิลปะอย่างมาก และมีคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายถึงกรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กปูรได้ออกมาปฏิเสธคำวิจารณ์และระบุว่า "ทำไมเป็นเอกสิทธิ์ [ต่อผมคนเดียว] หรอ? เพราะมันเป็นงานที่ผมไปทำร่วม [กับสถาบันฯ ที่ทำสาร], เพราะผมอยากจะเอามันออกมาใช้นอกจาก [เป้าหมายหลักของมัน] บ้างนิดหน่อย ผมเคยทำงานร่วมกับคนที่สร้างชิ้นงานด้วยเหล็กสเตนเลสมาเป็นปี ๆ และนั่นก็เป็นเอกสิทธิ์ [เฉพาะผม] เหมือนกัน"[20]

ศิลปิน เช่น คริสเตียน เฟอรร์ และ สตรวท เซมเพล วิจารณ์ว่าสิ่งที่กปูรคิดว่าเหมาะสมถูกต้องที่จะได้ใช้วัตถุดิบแปลกใหม่นั้นมันเป็นการกีดกันยกเว้นคนอื่นออก[21][22] เพื่อเป็นการตอบโต้ เซมเพล ได้ผลิตสี "Pinkest Pink" (สีชมพูที่ชมพูที่สุด) ออกมาและระบุว่าผลิตมันขึ้นมาให้กับทุกคน ยกเว้นใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอนิศ กปูร และตัวอนิศ กปูรเอง[23][24]

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. Töniges, Sven. "Anish Kapoor: Master of darkness at 65 | DW | 12.03.2019". DW.COM. Deutsche Welle. สืบค้นเมื่อ 1 January 2020.
  2. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-09-16. สืบค้นเมื่อ 2021-09-16.
  3. "I wouldn't have given up my Indian nationality but I had to be practical: Anish Kapoor". The Times of India. 14 December 2014. สืบค้นเมื่อ 7 February 2017.{{cite news}}: CS1 maint: location (ลิงก์)
  4. Wadhwani, Sita (14 September 2009). "Anish Kapoor". CNNGo.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 November 2009. สืบค้นเมื่อ 26 March 2012.
  5. "Anish Kapoor". ArtSlant. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-04-28. สืบค้นเมื่อ 26 March 2012.
  6. Anish Kapoor: Turning the World Upside Down 2010 เก็บถาวร 3 ธันวาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  7. "ANISH KAPOOR Leviathan". Anishkapoor.com. สืบค้นเมื่อ 26 March 2012.
  8. "Anish Kapoor Orbit". Anishkapoor.com. สืบค้นเมื่อ 26 March 2012.
  9. "This is what Brit winners will take home next year". BBC. 10 December 2017.
  10. "Oxford Times".
  11. "Oxford announces honorary degrees for 2014". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2014. สืบค้นเมื่อ 25 June 2014.
  12. "President gives away Padma awards". The Times of India. 23 March 2012. สืบค้นเมื่อ 13 November 2015.
  13. "Introducing the new UK passport design" (PDF). Gov.uk. 7 November 2016.
  14. "Sculptor Anish Kapoor among winners of Lennon Ono peace prize". News & Star online. 17 August 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-11-18. สืบค้นเมื่อ 26 August 2016.
  15. Jeffries, Stuart (8 June 2016). "Anish Kapoor on Wagner: 'He was antisemitic and I'm Jewish. Who cares?'". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 6 February 2017.
  16. "Anish Kapoor receives 'Jewish Nobel' Genesis Prize, and donates $1m to refugees". 6 February 2017. สืบค้นเมื่อ 6 February 2017.
  17. "Anish Kapoor condemns 'abhorrent' refugee policies as he wins Genesis prize". The Guardian. 6 February 2017. สืบค้นเมื่อ 6 February 2017.
  18. "ArtPremium – Anish Kapoor - "It waves you to a more removed ground"". ArtPremium (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 13 March 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-08-24. สืบค้นเมื่อ 3 May 2018.
  19. "Art Fight! The Pinkest Pink Versus the Blackest Black". wired.com. สืบค้นเมื่อ 16 January 2018.
  20. Delaney, Brigid (26 September 2016). "'You could disappear into it': Anish Kapoor on his exclusive rights to the 'blackest black'". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 8 February 2018.
  21. Frank, Priscilla (29 February 2016). "Anish Kapoor Angers Artists By Seizing Exclusive Rights To 'Blackest Black' Pigment". HuffPost.
  22. "Some Artists Are Seeing Red Over A New 'Black'". NPR.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 31 March 2017.
  23. Roisin O'Connor: Anish Kapoor gets his hands on 'pinkest pink' after being banned from use by its creator, independent.co.uk, 27 December 2016
  24. "*The World's Pinkest Pink - 50g powdered paint by Stuart Semple". Culture Hustle. สืบค้นเมื่อ 17 August 2017.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]