ข้ามไปเนื้อหา

สนามกีฬาชังลิมิทัง

พิกัด: 27°28′17.1″N 89°38′27.8″E / 27.471417°N 89.641056°E / 27.471417; 89.641056
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สนามกีฬาชังลิมิทัง
ที่ตั้งทิมพู ประเทศภูฏาน
พิกัด27°28′17.1″N 89°38′27.8″E / 27.471417°N 89.641056°E / 27.471417; 89.641056
เจ้าของคณะกรรมการโอลิมปิกภูฏาน
ผู้ดำเนินการสหพันธ์ฟุตบอลภูฏาน (BFF)
ความจุ45,000
ขนาดสนาม122 × 76 หลา
(102.4 × 69.4 เมตร)
รูปร่างสนามสี่เหลี่ยมผืนผ้า
พื้นผิวหญ้าเทียม
ป้ายแสดงคะแนนมี
การก่อสร้าง
ลงเสาเข็ม1974
เปิดใช้สนาม1974
ปรับปรุง2007–2019
การใช้งาน
ภูฏานพรีเมียร์ลีก (สโมสรจากทิมพู)
ภูฏานซูเปอร์ลีก (บางนัด)
ภูฏานดิสตริกต์ลีก
ฟุตบอลชิงถ้วยพระบรมราชานุสรณ์
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ดอร์จี วังชุก
(บางนัด)
ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์แห่งชาติภูฏาน (บางนัด)
วีเมนส์ทิมพูลีก
ฟุตบอลทีมชาติภูฏาน
ฟุตบอลหญิงทีมชาติภูฏาน
สโมสรเยาวชนในประเทศภูฏาน

สนามกีฬาชังลิมิทัง (อังกฤษ: Changlimithang Stadium) เป็นสนามกีฬาอเนกประสงค์ในกรุงทิมพู ประเทศภูฏาน และสนามกีฬาแห่งชาติของประเทศภูฏาน สนามกีฬาแห่งนี้เป็นสนามเหย้าของฟุตบอลทีมชาติภูฏานและสโมสรฟุตบอลอีกหลายสโมสรในกรุงทิมพู นอกจากนี้ยังใช้แข่งขันยิงธนูและวอลเลย์บอลด้วย สนามแห่งนี้สร้างเมื่อ ค.ศ. 1974 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก สมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์ที่สี่แห่งราชอาณาจักรภูฏาน และปรับปรุงใหม่ใน ค.ศ. 2007 สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก สมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์ที่ห้า หลังจากนั้นใน ค.ศ. 2009 ได้มีการติดตั้งไฟส่องสว่างเพิ่ม[1] และใน ค.ศ. 2012 สนามนี้ได้เปลี่ยนมาใช้พื้นหญ้าเทียมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับลีกระดับสูงสุดใหม่[2]

สนามกีฬาชังลิมิทังตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 2,300 เมตร (7,500 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล ซึ่งถือเป็นสนามที่อยู่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ทำให้เป็นที่ถกเถียงว่าสนามกีฬาแห่งนี้อาจจะทำให้สโมสรเหย้าได้เปรียบเนื่องจากคุ้นเคยกับระดับความสูงและสภาพบรรยากาศออกซิเจนต่ำมากกว่า

สนามกีฬาชังลิมิทังแห่งเดิม (ค.ศ. 1974 – 2008)

[แก้]
สนามกีฬาชังลิมิทังในภาพยนตร์สารคดีดิอาเทอร์ไฟนอล ค.ศ. 2002 ซึ่งบันทึกการแข่งขันระหว่างทีมชาติภูฏานและทีมชาติมอนต์เซอร์รัต

สนามกีฬาชังลิมิทังตั้งอยู่บนพื้นที่สมรภูมิสำคัญในประวัติศาสตร์ภูฏานเมื่อสมเด็จพระราชาธิบดีอุกเยน วังชุกทรงนำทัพต่อสู้ในสงครามกลางเมืองและรวบรวมชาติภูฏานเป็นผลสำเร็จใน ค.ศ. 1885[3][4] สนามแห่งเดิมก่อสร้างแล้วเสร็จใน ค.ศ. 1974 ซึ่งเสร็จทันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก โดยในขณะนั้นสนามมีพื้นที่ประมาณ 11 เฮกตาร์ (110,000 ตารางเมตร) และรองรับผู้เข้าชมได้ประมาณ 10,000 คน[4] สนามกีฬาแห่งนี้ใช้เป็นสนามเหย้าของฟุตบอลทีมชาติภูฏาน ใช้จัดการแข่งขันยิงธนูระดับประเทศ มีสนามแข่งขันกีฬาอื่น ๆ ได้แก่เทนนิส สควอช และบิลเลียดเปิดให้บริการ และเป็นที่ตั้งของสำนักงานคณะกรรมการโอลิมปิกภูฏาน[4]

สนามกีฬาชังลิมิทังปัจจุบัน

[แก้]
การแข่งขันกีฬายิงธนูที่สนามกีฬาชังลิมิทัง

สนามกีฬาชังลิมิทังปิดปรับปรุงและเปิดให้บริการอีกครั้งใน ค.ศ. 2008 สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก พระราชพิธีสมโภช 100 ปี ราชวงศ์วังชุกและการรวมชาติภูฏาน[5] อัฒจันทร์เดิมซึ่งมีที่นั่ง 6 แถวและมีความจุประมาณ 10,000 คนถูกรื้อออก และแทนที่โดยอัฒจันทร์ใหม่จำนวน 21 แถว[5] นอกจากนี้ยังมีการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เช่นสนามแข่งขันเทเบิลเทนนิสและยิงปืน สำนักงานคณะกรรมการโอลิมปิกภูฏานแห่งใหม่ มีการขยายพระตำหนักให้รองรับพระอาคันตุกะจำนวนมากขึ้น และสวนสาธารณะใหม่อีกสองแห่ง[5] ประมาณการว่างบประมาณทั้งหมดในการปรับปรุงสนามกีฬาแห่งชาติมีมูลค่าประมาณ 230,000,000 งุลตรัม[3] เจ้าชายจิกเยล อุกเยน วังชุกเสด็จมาเป็นองค์ประธานเปิดใช้สนามอย่างเป็นทางการ[3]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Floodlighting at Changlimithang". drukgreen.bt. Druk Green. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-08. สืบค้นเมื่อ 30 July 2014.
  2. Yeshey, Lobzang (9 March 2012). "FIFA to help Bhutan's football". bhutanobserver.bt. Bhutan Observer. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-03. สืบค้นเมื่อ 30 July 2014.
  3. 3.0 3.1 3.2 "Historic Changlimithang stadium inaugurated". bbs.com.bt. Bhutan Broadcasting Service. 13 October 2011. สืบค้นเมื่อ 30 July 2014.[ลิงก์เสีย]
  4. 4.0 4.1 4.2 "K2: Changlingmethang ground". kuenselonline.com. Kuensel Online. 9 June 2008. สืบค้นเมื่อ 30 July 2014.[ลิงก์เสีย]
  5. 5.0 5.1 5.2 Dorji, Kinley (2006). "Thimphu: A face-lift for Changlingmethang". raonline.com. RA Online / Kuensel. สืบค้นเมื่อ 30 July 2014.