มัสยิดใหญ่แห่งซามัรรออ์
มัสยิดใหญ่แห่งซามัรรออ์ | |
---|---|
อาหรับ: جَامِع سَامَرَّاء ٱلْكَبِيْر مَسْجِد سَامَرَّاء ٱلْكَبِيْر ٱلْمَسْجِد ٱلْجَامِع فِي سَامَرَّاء | |
ศาสนา | |
ศาสนา | อิสลาม |
สถานะองค์กร | มัสยิด |
สถานะ | เปิดใช้งาน |
ที่ตั้ง | |
ที่ตั้ง | ซามัรรออ์ ประเทศอิรัก |
ที่ตั้งในประเทศอิรัก | |
พิกัดภูมิศาสตร์ | 34°12′21″N 43°52′47″E / 34.20583°N 43.87972°E |
สถาปัตยกรรม | |
ประเภท | อิสลาม |
รูปแบบ | อับบาซียะฮ์ |
ผู้ก่อตั้ง | อัลมุตะวักกิล |
เริ่มก่อตั้ง | ค.ศ. 848 |
เสร็จสมบูรณ์ | ค.ศ. 851 |
ทำลาย | ค.ศ. 1278 |
ลักษณะจำเพาะ | |
หอคอย | 1 |
ความสูงหอคอย | 52 เมตร (171 ฟุต) |
ชื่อทางการ | เมืองโบราณคดีซามัรรออ์ |
เกณฑ์พิจารณา | วัฒนธรรม: ii, iii, iv |
อ้างอิง | 276 |
ขึ้นทะเบียน | 2007 (สมัยที่ 31st) |
ภาวะอันตราย | 2007- |
พื้นที่ | 15,058 เฮกตาร์ (37,210 เอเคอร์) |
พื้นที่กันชน | 31,414 เฮกตาร์ (77,630 เอเคอร์) |
มัสยิดใหญ่แห่งซามัรรออ์ (อาหรับ: جَامِع سَامَرَّاء ٱلْكَبِيْر, อักษรโรมัน: Jāmiʿ Sāmarrāʾ al-Kabīr, อาหรับ: مَسْجِد سَامَرَّاء ٱلْكَبِيْر, อักษรโรมัน: Masjid Sāmarrāʾ al-Kabīr หรือ อาหรับ: ٱلْمَسْجِد ٱلْجَامِع فِي سَامَرَّاء, อักษรโรมัน: al-Masjid al-Jāmiʿ fī Sāmarrāʾ) เป็นมัสยิดในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ที่ซามัรรออ์ ประเทศอิรัก เคาะลีฟะฮ์ อัลมุตะวักกิลแห่งอับบาซียะฮ์ผู้ครองราชน์ (ที่ซามัรรออ์) ใน ค.ศ. 847 ถึง 861 ทรงว่าจ้างให้สร้างมัสยิดใน ค.ศ. 848 และแล้วเสร็จใน ค.ศ. 851 ในช่วงที่ก่อสร้าง มัสยิดนี้ถือเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก[1] มัสยิดเป็นที่รู้จักจากหออะษานสูง 52 เมตร (171 ฟุต) ล้อมรอบด้วยทางลาดวน มัสยิดตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองโบราณคดีซามัรรออ์ 15,058 เฮกตาร์ (37,210 เอเคอร์) แหล่งมรดกโลกของยูเนสโกที่ได้รับการลงทะเบียนใน ค.ศ. 2007[2]
ประวัติ
[แก้]มัสยิดนี้เคยเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีหอ Malwiya หออะษานทรงกรวยรูปเกลียวสูง 52 เมตร (171 ฟุต) และทางลาดกว้าง 33 เมตร (108 ฟุต)[3]
รัชสมัยอัลมุตะวักกิลส่งผลกระทบอย่างมากต่อเมืองนี้ เนื่องจากพระองค์ดูเหมือนเป็นผู้รักสถาปัตยกรรม และเป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างมัสยิดใหญ่แห่งซามัรรออ์[4] อัลมุตะวักกิลและแรงงานรับจ้างของพระองค์กับคนอื่น ๆ จากพื้นที่นี้สร้างมัสยิดด้วยเสาอิฐเผาแปดเหลี่ยมที่มีเสาหินอ่อนที่มุมสี่ต้น เสาหินอ่อนเหล่านี้นำเข้ามา ซึ่งเป็นผลมาจากการที่อัลมุตาวักกิลจ้างศิลปินและสถาปนิกทั่วจักรวรรดิอับบาซียะฮ์เพื่อช่วยสร้างมัสยิดใหญ่[5]
มัสยิดถูกทำลายใน ค.ศ. 1278 (ฮ.ศ. 656) หลังการรุกรานอิรักของฮูลากู ข่าน[6]
การบูรณะสมัยใหม่
[แก้]เนื้อหาในบทความนี้ล้าสมัย โปรดปรับปรุงข้อมูลให้เป็นไปตามเหตุการณ์ปัจจุบันหรือล่าสุด ดูหน้าอภิปรายประกอบ (June 2024) |
มีเพียงกำแพงส่วนนอกและหออะษานของมัสยิดเท่านั้นที่ยังคงเหลือรอด[6] องค์กรโบราณคดีแห่งรัฐอิรักได้ทำงานร่วมกับนักประวัติศาสตร์และสถาปนิกในการบูรณะอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ ค.ศ. 1956 โดยมอบหมายให้ผู้คนบูรณะอนุสรณ์สถานต่าง ๆ ในซามัรรออ์ รวมถึงมัสยิดใหญ่ด้วย มีการบูรณะอย่างกว้างขวางทั้งบริเวณลานภายในมัสยิดและหออะษานแบบเกลียว ก่อนหน้านี้ ทางลาดหออะซานเหลือเพียง 6 ขั้นเท่านั้น และมีซุ้มโค้งที่สมบูรณ์เพียงไม่กี่แห่งตั้งล้อมรอบลานภายใน[7]
หอคอยได้รับความเสียหายอีกครั้งใน ค.ศ. 2005 เมื่อยอดหอคอยถูกทำลายจากการระเบิด ข้อมูลบางส่วนรายงานว่า การกบฏอิรักมีส่วนในการโจมตีนี้ หลังกองกำลังสหรัฐใช้หอนี้เป็นตำแหน่งซุ่มยิง[8][9][10] ใน ค.ศ. 2015 ทางยูเนสโกและรัฐบาลอิรักปรักาศโครงการฟื้นฟูหออะษานและประเมินความเสียหายในพื้นที่โบราณคดีซามัรรออ์อื่น ๆ[11]ซึ่งกลายเป็นแหล่งมรดกโลกใน ค.ศ. 2007[12]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ al-Amid, Tahir Muzaffar (1973), "The Abbasid Architecture of Samarra in the Reign of both al-Mu'tasim and al-Mutawakkil", Baghdad: Al-Ma'aref Press: 156–193
- ↑ "Unesco names World Heritage sites". BBC News. 2007-06-28. สืบค้นเมื่อ 2010-05-23.
- ↑ "Historic Mosques site". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-07-10.
- ↑ Dennis, Sharp (1991). The Illustrated Encyclopedia of Architects and Architecture. New York: Whitney Library of Design. p. 204.
- ↑ Roxburgh, David (2019), Architecture of Empire The Abbasids
- ↑ 6.0 6.1 "مسجد سامرا ؛ برخوردار از مناره ای 53 متری و حلزونی شکل" (ภาษาเปอร์เซีย). Mehr News Agency. สืบค้นเมื่อ 27 March 2012.
- ↑ Tariq, Al-Janabi (1983), "Islamic Archaeology in Iraq: Recent Excavations at Samarra." (PDF), World Archaeology, 14 (3): 305–327, doi:10.1080/00438243.1983.9979871, JSTOR 124344
- ↑ "Top of ancient Iraq minaret blown up". Al Jazeera (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-06-12.
- ↑ Carroll, Rory (2005-04-02). "Iraqi insurgents blow top off historic monument". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-06-12.
- ↑ "Ancient minaret damaged in Iraq" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2005-04-01. สืบค้นเมื่อ 2024-06-12.
- ↑ "UNESCO and Iraq launch project for conservation of World Heritage site of Samarra". UNESCO World Heritage Centre (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-06-12.
- ↑ "Samarra Archaeological City". UNESCO World Heritage Centre (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-06-12.
- Necipoğlu, G., บ.ก. (2008). Muqarnas, Volume 25 Frontiers of Islamic Art and Architecture: Essays in Celebration of Oleg Grabar's Eightieth Birthday. doi:10.1163/ej.9789004173279.i-396. ISBN 9789004173279.
- "Great Mosque of Samarra'". www.globalsecurity.org. สืบค้นเมื่อ 2019-12-09.
- "Iraq Significant Site 060 - Samarra — Al-Mutawakkil Mosque & Minaret al-Malwiya". www.cemml.colostate.edu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-12-09. สืบค้นเมื่อ 2019-12-09.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- The Great Mosque, Samarra, Iraq
- "Samarra Archaeological City". World Heritage Site. UNESCO. 2019.
- Photo of The Great Mosque
- Photo and information
- Photos, floor plans, and information
- Ernst Herzfeld Papers, Series 7: Records of Samarra Expeditions, Great Mosque of al-Mutawakkil เก็บถาวร 2009-07-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Collections Search Center, S.I.R.I.S., Smithsonian Institution, Washington, D.C.
- Ernst Herzfeld Papers, Series 7: Records of Samarra Expeditions, 1906-1945 Smithsonian Institution, Freer Gallery of Art and Arthur M. Sackler Gallery Archives, Washington, DC