จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ต้นฉบับ
เมื่อเจริญพระชันษาได้ 4 ปี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พระบิดาทรงเป็นแม่ทัพใหญ่เสด็จไปปราบฮ่อทางมณฑลอุดร และเป็นข้าหลวงสำเร็จราชการอยู่ที่นั้นเป็นเวลาหลายปี จึงทรงถวายองค์พระโอรสไว้แก่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระโอรสในสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อเจริญชันษาขึ้นได้เล่าเรียนที่โรงเรียนราชกุมารด้วยกันกับพระราชกุมารของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกเวลาเรียนก็ได้ตามเสด็จเจ้านายเล็กๆ ขึ้นไปเล่นอยู่บนพระราชฐาน จนเป็นที่คุ้นเคยของพระบาท สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว(รัชการที่ 5) การเล่าเรียนของ ม.จ.ทองฑีฆายุ อยู่ในขั้นรุ่งโรจน์ เรียนเร็ว จำเร็ว แต่ไม่ขยันหมั่นเพียรนัก ทรงได้รับขนานนามเป็น เจ้ากรมซน ประจำพระราชฐาน
เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสวรรคตแล้ว และ ม.จ.ทองฑีฆายุ มีชันษาสมควร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เกษากันต์ในพระราชพิธีตรุษ
ปี พ.ศ.2441 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ ได้เสด็จกลับจากไปทรงศึกษาในโรงเรียน ทหารม้าที่ประเทศรัสเซียชั่วคราว และจะเสด็จกลับออกไปอีก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ ม.จ.ทองฑีฆายุฯ โดยเสด็จออกไป ศึกษาที่ประเทศรัสเซียด้วย ขณะนั้นชันษาได้ 12 ปี เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถโปรดปราน ม.จ.ทองฑีฆายุ ถึงกับทรงรับเลี้ยง เป็นลูกเลี้ยงไว้องค์หนึ่ง
หม่อมเจ้าทองฑีฆายุ ได้ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (Military Page School) ในประเทศรัสเซียตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ.2441 สมเด็จพระเจ้านิโคลัสที่ 2 แห่งกรุงรัสเซียโปรดให้สังกัดในกรมทหารม้าฮุสซาร์ที่เมืองเปโตรกราด (เลนินกราดในปัจจุบัน) กรมทหารม้า ฮุสซาร์นั้นเป็นทหารม้าเบาเคลื่อนที่เร็ว จัดเป็นกรมทหารม้าประจัญบานมีประวัติการรบบนหลังม้าที่เกรียงไกรไม่แพ้ทหารม้าดอสแซด
ปี พ.ศ.2451 พระเจ้าอยู่หัวประเทศรัสเซียโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศเป็นนายร้อยตรี สังกัดนายทหารนอกกอง กรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นกรมที่หรูหราที่สุดในรัสเซียในสมัยนั้น และในระหว่างประจำกรม ได้ทรงมีโอกาสศึกษาวิชาพิเศษ คือ วิชาเคมี วิชาเสนาธิการทหารบก และวิชาสัตวแพทย์ตลอดระยะเวลา 3 ปี ก่อนเสด็จกลับพระนคร
ปี พ.ศ.2452 ม.จ.ทองฑีฆายุ ได้เข้าโรงเรียนทหารม้าเฉพาะสำหรับนายทหารม้าเฉพาะสำหรับนายทหารชั้นสูง (Cavalry School for Officers) และจบจากโรงเรียนเมื่อปี พ.ศ.2454
ปี พ.ศ.2454 ในตอนต้นปี ม.จ. ทองฑีฆายุ ได้สมรสกับ นางสาวลุดมิล่า บาร์ซูก๊อฟ ธิดาคนโตของนายแชร์เก อิวาโปวิท์ซ บาร์ซูก๊อฟ เลขาธิการกรมศิลปากร เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบอร์ก ต้นตระกูลบาร์ซูก๊อฟ เป็น คอสแซค และรับราชการในราชสำนักมาตลอดหลายสมัย
เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลก ประชานารถซึ่งเสด็จราชการในยุโรป จะเสด็จกลับพระนคร ประจวบกับ ม.จ. ทองฑีฆายุ ได้สำเร็จการเล่าเรียน จึงได้โดยเสด็จกลับพระนครเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2454 นั้นเอง ม.จ. ทองฑีฆายุ ได้รับพระกรุณาจาก สมเด็จพระปิตุลาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถเป็นส่วนพระองค์มากมาย นอกจากจะทรงเลี้ยงไว้ดุจพระโอรสบุญธรรม ยังทรงสร้างวังประทานที่ถนนเศรษฐศิริ บางซื่อ มีที่ดินกว้าง 4 ไร่ ทรงให้ช่างฝรั่งออกแบบและดำเนินการสร้าง ทรงอนุเคราะห์ ม.จ. ทองฑีฆายุ และหม่อมลุดมิล่า ตลอดจนโอรสธิดาด้วยพระเมตตาสม่ำเสมอ เมื่อสมเด็จพระปิตุลาธิราชได้เข้าเริ่มรับภาระอำนวยหลักการของทหารบก ม.จ.ทองฑีฆายุ ซึ่งสำเร็จวิชาทหารม้า จึงได้สนองพระเดชพระคุณทันเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อในการจัดระบบงานของกองทัพบก
ตำแหน่งทางราชการครั้งแรกของ ม.จ.ทองฑีฆายุ ทองใหญ่ เมื่อกลับจากประเทศรัสเซีย ใน พ.ศ.2454 คือ นายทหารประจำแผนกจเรทหารม้า ยศร้อยโท และเป็นราชองครักษ์เวร ในระหว่างที่ประจำกรมอยู่ที่นั้น ทรงดำริว่า "ม้าของทหารบกในเวลานั้นก็มีอยู่มาก ตลอดจนช้าง โค กระบือ แต่ไม่มีสัตวแพทย์สำหรับช่วยรักษาและบำรุงเลี้ยงดูตลอดจนดูแล ให้มีการใช้งานที่ถูกที่ควร คงมีแต่นายสัตวแพทย์ แผนโบราณเพียงไม่กี่นาย"
ปี พ.ศ.2455 ได้ทรงขอตั้งโรงเรียนนายดาบสัตวรักษ์ เพื่อผลิตนายสัตวแพทย์ที่มีความรู้ทั้งทางวิชาการรักษาสัตว์และวิชาสัตวบาล ร่วมกัน ต่อมาได้ทรงเปลี่ยนเป็น "โรงเรียนนายสิบสัตวรักษ์" และเปลี่ยนเป็น "โรงเรียนอัศวแพทย์ทหารบก" ในภายหลัง ดังนั้นในต้นปีนี้ จึงถือได้ว่า โรงเรียนสอนวิชาสัตวแพทย์แห่งแรกในประเทศไทยจึงเกิดขึ้น นักเรียนในโรงเรียนอัศวแพทย์รุ่นแรกนั้นคัดเลือกจากนายสิบตามกองทหารต่างๆ ที่มีความรู้หนังสือไทย ภาษาและมีความประพฤติดีพอใช้ โดยให้สอบคัดเลือกความรู้จากกองพลละ 2 - 3 นาย เมื่อคัดเลือกได้แล้วให้ส่งไป ที่กรมเจรทหารบก เพื่อสอบคัดเลือกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ได้จำนวนนักเรียน 20 คนตามความต้องการ ที่เหลือส่งกลับหน่วย ลูกศิษย์ของท่าน รุ่นแรกได้แก่ หลวงสนิทรักษาสัตว์ และหลวงสนั่นรักษาสัตว์ ในการคัดเลือกในปีต่อๆ มา ก็คัดเลือกเฉพาะผู้ที่มีความรู้วิชาสามัญดี เข้าเป็น นักเรียนสัตวแพทย์ หลักสูตร 5 ปี จนปรากฏเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายท่านในปัจจุบันนี้ ....(มีต่อ)
วิกิพีเดีย (ก่อนการแจ้งละเมิดลิขสิทธิ์) เขียนโดย Sry85
เมื่อเจริญพระชันษาได้ 4 ปี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พระบิดาทรงเป็นแม่ทัพใหญ่เสด็จไปปราบฮ่อทางมณฑลอุดร และเป็นข้าหลวงสำเร็จราชการอยู่ที่นั้นเป็นเวลาหลายปี จึงทรงถวายองค์พระโอรสไว้แก่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระโอรสในสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อเจริญชันษาขึ้นได้เล่าเรียนที่โรงเรียนราชกุมารด้วยกันกับพระราชกุมารของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกเวลาเรียนก็ได้ตามเสด็จเจ้านายเล็กๆ ขึ้นไปเล่นอยู่บนพระราชฐาน การเล่าเรียนของ ม.จ.ทองฑีฆายุ อยู่ในขั้นรุ่งโรจน์ เรียนเร็ว จำเร็ว แต่ไม่ขยันหมั่นเพียรนัก ทรงได้รับขนานนามเป็น เจ้ากรมซน ประจำพระราชฐาน
เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสวรรคตแล้ว และ ม.จ.ทองฑีฆายุ มีชันษาสมควร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เกษากันต์ในพระราชพิธีตรุษ
ปี พ.ศ. 2441 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ ได้เสด็จกลับจากไปทรงศึกษาในโรงเรียน ทหารม้าที่ประเทศรัสเซียชั่วคราว และจะเสด็จกลับออกไปอีกครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ ม.จ.ทองฑีฆายุฯ โดยเสด็จออกไป ศึกษาที่ประเทศรัสเซียด้วย ขณะนั้นชันษาได้ 12 ปี เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถโปรดปราน ม.จ.ทองฑีฆายุ ถึงกับทรงรับเลี้ยง เป็นลูกเลี้ยงไว้องค์หนึ่ง
หม่อมเจ้าทองฑีฆายุ ได้ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (Military Page School) ในประเทศรัสเซียตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2441 สมเด็จพระเจ้านิโคลัสที่ 2 แห่งกรุงรัสเซียโปรดให้สังกัดในกรมทหารม้าฮุสซาร์ที่เมืองเปโตรกราด (เลนินกราดในปัจจุบัน)
นิโคลัสที่ 2 โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศเป็นนายร้อยตรี สังกัดนายทหารนอกกอง กรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ ในปี พ.ศ. 2451 ซึ่งเป็นกรมที่หรูหราที่สุดในรัสเซียในสมัยนั้น และในระหว่างประจำกรม ได้ทรงมีโอกาสศึกษาวิชาพิเศษ คือ วิชาเคมี วิชาเสนาธิการทหารบก และวิชาสัตวแพทย์ตลอดระยะเวลา 3 ปี ก่อนเสด็จกลับพระนคร
ปี พ.ศ. 2452 ม.จ.ทองฑีฆายุ ได้เข้าโรงเรียนทหารม้าเฉพาะสำหรับนายทหารม้าเฉพาะสำหรับนายทหารชั้นสูง (Cavalry School for Officers) และจบจากโรงเรียนเมื่อปี พ.ศ. 2454
ปี พ.ศ. 2454 ในตอนต้นปี ม.จ. ทองฑีฆายุ ได้สมรสกับ นางสาวลุดมิลา บาร์ซูก๊อฟ ธิดาคนโตของนายแชร์เก อิวาโปวิท์ซ บาร์ซูก๊อฟ เลขาธิการกรมศิลปากร เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบอร์ก ต้นตระกูลบาร์ซูก๊อฟ เป็น คอสแซค และรับราชการในราชสำนักมาตลอดหลายสมัย
เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลก ประชานารถซึ่งเสด็จราชการในยุโรป จะเสด็จกลับพระนคร ประจวบกับ ม.จ. ทองฑีฆายุ ได้สำเร็จการเล่าเรียน จึงได้โดยเสด็จกลับพระนครเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2454 นั้นเอง ม.จ. ทองฑีฆายุ ได้รับพระกรุณาจาก สมเด็จพระปิตุลาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถเป็นส่วนพระองค์มากมาย นอกจากจะทรงเลี้ยงไว้ดุจพระโอรสบุญธรรม ยังทรงสร้างวังประทานที่ถนนเศรษฐศิริ บางซื่อ มีที่ดินกว้าง 4 ไร่ ทรงให้ช่างฝรั่งออกแบบและดำเนินการสร้าง ทรงอนุเคราะห์ ม.จ. ทองฑีฆายุ และหม่อมลุดมิลา ตลอดจนโอรสธิดาด้วยพระเมตตาสม่ำเสมอ เมื่อสมเด็จพระปิตุลาธิราชได้เข้าเริ่มรับภาระอำนวยหลักการของทหารบก ม.จ.ทองฑีฆายุ ซึ่งสำเร็จวิชาทหารม้า จึงได้สนองพระเดชพระคุณทันเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อในการจัดระบบงานของกองทัพบก
ม.จ.ทองฑีฆายุ ทองใหญ่ ทรงรับราชการตำแหน่งในครั้งแรกคือ นายทหารประจำแผนกจเรทหารม้า ยศร้อยโท และเป็นราชองครักษ์เวร ต่อมา ปี พ.ศ. 2455 ได้ทรงขอตั้งโรงเรียนนายดาบสัตวรักษ์ เพื่อผลิตนายสัตวแพทย์ที่มีความรู้ทั้งทางวิชาการรักษาสัตว์และวิชาสัตวบาล ร่วมกัน ต่อมาได้ทรงเปลี่ยนเป็น "โรงเรียนนายสิบสัตวรักษ์" และเปลี่ยนเป็น "โรงเรียนอัศวแพทย์ทหารบก" ในภายหลัง ดังนั้นในต้นปีนี้ จึงถือได้ว่า โรงเรียนสอนวิชาสัตวแพทย์แห่งแรกในประเทศไทยจึงเกิดขึ้น มีลูกศิษย์ของท่าน รุ่นแรกได้แก่ หลวงสนิทรักษาสัตว์ และหลวงสนั่นรักษาสัตว์ ในการคัดเลือกในปีต่อๆ มา ก็คัดเลือกเฉพาะผู้ที่มีความรู้วิชาสามัญดี เข้าเป็น นักเรียนสัตวแพทย์ หลักสูตร 5 ปี จนปรากฏเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายท่านในปัจจุบันนี้