พันท์เซอร์ 4
พันเซอร์คัมพฟ์วาเกิน 4 | |
---|---|
พันเซอร์ 4 ในลวดลายพรางทะเลทราย ประจำการอยู่ใน กองพลยานเกราะที่ 15 ของกองกำลัง แอฟริกา คอร์. | |
ชนิด | รถถังขนาดกลาง |
แหล่งกำเนิด | ไรช์เยอรมัน |
บทบาท | |
ประจำการ | 1939–1967 |
ผู้ใช้งาน | นาซีเยอรมัน ราชอาณาจักรโรมาเนีย ตุรกี ราชอาณาจักรฮังการี ราชอาณาจักรบัลแกเรีย ฟินแลนด์ รัฐสเปน โครเอเชีย ซีเรีย |
สงคราม | สงครามโลกครั้งที่สอง, สงครามอาหรับ–อิสราเอล ค.ศ. 1948, สงครามหกวัน |
ประวัติการผลิต | |
ผู้ออกแบบ | Krupp |
ช่วงการออกแบบ | 1936 |
บริษัทผู้ผลิต | Krupp, Steyr-Daimler-Puch |
มูลค่าต่อหน่วย | ~ 103,462 Reichsmarks[1] |
ช่วงการผลิต | 1936–45 |
จำนวนที่ผลิต | 8,800 (estimate) |
ข้อมูลจำเพาะ (Pz IV Ausf H, 1943[2]) | |
มวล | 25 ตัน |
ความยาว | 5.92 เมตร (19.4 ฟุต) รวมความยาวปืน 7.02 เมตร (23.0 ฟุต) |
ความกว้าง | 2.88 เมตร (9 ฟุต 5 นิ้ว) |
ความสูง | 2.68 เมตร (8 ฟุต 10 นิ้ว) |
ลูกเรือ | 5 (ผบ. รถถัง, พลปืน, พลบรรจุกระสุน, พลขับ, พลวิทยุ) |
เกราะ | 10–80 มิลลิเมตร (0.39–3.15 นิ้ว) |
อาวุธหลัก | 7.5 cm (2.95 in) KwK 40 L/48 ปืนหลัก (87 นัด.) |
อาวุธรอง | 2–3 × 7.92-mm Maschinengewehr 34 |
เครื่องยนต์ | 12-cylinder Maybach HL 120 TRM V12 300 PS (296 hp, 220 kW) |
กำลัง/น้ำหนัก | 12 PS/t |
เครื่องถ่ายกำลัง | (Synchromesh ZF SSG 77) เดินหน้า 6 ถอยหลัง 1 |
กันสะเทือน | Leaf spring |
ความจุเชื้อเพลิง | 470 ลิตร |
พิสัยปฏิบัติการ | 200 กิโลเมตร (120 ไมล์) |
ความเร็วสูงสุด | 42 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (26 ไมล์ต่อชั่วโมง) บนถนน, 16 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (9.9 ไมล์ต่อชั่วโมง) บนภูมิประเทศ |
พันเซอร์คัมพฟ์วาเกิน 4 (เยอรมัน: Panzerkampfwagen (อักษรย่อ Pz.Kpfw. IV)) หรือที่เรียกในอีกชื่อหนึ่งคือ พันเซอร์ 4 เป็นรถถังขนาดกลางซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยเยอรมันในช่วงยุคปี ค.ศ. 1930 - ค.ศ. 1940 และได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พันเซอร์ 4 นั้น ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการสนันสนุนทหารราบ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเข้าต่อตีกับรถถังโดยตรง ซึ่ง ณ ขณะนั้น รถถังที่ใช้ในการต่อสู้รถถังด้วยกันของเยอรมันนั้นเป็นรุ่น พันท์เซอร์ 3 แต่เมื่อเยอรมัน ต้องเจอกับสมรรถนะรถถัง ที-34 ของโซเวียตที่ดีกว่า ทำให้ต้องพัฒนา พันเซอร์ 4 เป็นรถถังที่ใช้ในการต่อสู้รถถังในที่สุด พันเซอร์ 4 ถูกผลิตขึ้นเป็นจำนวนมาก ตัวถังของ พันเซอร์ 4 นั้น ได้ถูกนำไปพัฒนาต่อเป็นรถถังในอีกหลายๆรุ่น เช่น รถถังจู่โจม Sturmgeschütz 4, รถถังพิฆาตยานเกราะ Jagdpanzer 4, รถถังต่อสู้อากาศยาน Wirbelwind, ปืนใหญ่อัตราจร Brummbär เป็นต้น
จากความทนทานและความน่าเชื่อถือของ พันเซอร์ 4 เยอรมันได้ใช้รถถังนี้ในทุกๆสมรภูมิที่เยอรมันทำการร่วมรบ และเป็นรถถังที่เยอรมันทำการผลิตตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936 ถึง ปี ค.ศ. 1943 เป็นจำนวนถึง 8000 คันด้วยกัน การปรับปรุงพันเซอร์ 4 นั้น จะมีการดำเนินการเมื่อเจอกับรถถังของสัมพันธมิตรที่มีสมรรถนะดีกว่า โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเพิ่มความหนาของเกราะ หรือติดตั้งอาวุธปืนต่อสู้รถถังแบบใหม่
ในช่วงท้ายๆของสงครามนั้น เยอรมันต้องการชดเชยรถถังที่สูญเสียไปในการรบให้ได้ไวที่สุด เยอรมันใช้วิธีในการลดสเปคในการผลิต เพื่อลดความซับซ้อนและเพิ่มความเร็วในการผลิต
พันเซอร์ 4 เป็นรถถังที่ถูกส่งออกจากเยอรมนี โดยมีผู้ใช้งานอย่างแพร่หลาย เยอรมันขาย พันเซอร์ 4 เป็นจำนวน 300 คัน ให้แก่ฟินแลนด์ โรมาเนีย สเปน และบัลแกเรีย หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 สเปนและฝรั่งเศสขายพันเซอร์ 4 จำนวนหนึ่งให้แก่ซีเรีย ซึ่งถูกนำไปใช้ใน สงครามหกวัน ในปี ค.ศ. 1967
ประวัติการพัฒนารถถัง
[แก้]ต้นกำเนิด
[แก้]พันท์เซอร์ 4 นั้นเป็นรถถังที่ถูกคิดค้นขึ้นโดย จอมพล ไฮนซ์ กูเดอร์เรียน[3] โดยการจัดกำลังนั้น ในหนึ่งกองพันทหารม้ายานเกราะ จะประกอบด้วย กองร้อยพันท์เซอร์ 3 จำนวน 3 กองร้อย และ พันท์เซอร์ 4 จำนวน 1 กองร้อย[4]
ในปี ค.ศ. 1934 เยอรมันได้เขียนสเปค "รถถังขนาดกลาง" ไว้ และจะจัดกำลังเข้าสู่กองร้อยรถถังที่มี พันท์เซอร์ 3อยู่แล้ว โดยรถถังที่จะมาสนันสนุน พันท์เซอร์ 3 นี้ จะต้องมีลำกล้องปืนขนาด 7.5เซนติเมตร เป็นปืนต่อสู้รถถังหลัก และต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 24 ตัน รหัสที่ใช้ในการสร้างรถถังนี้คือ รถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร[5] (เยอรมัน : Begleitwagen)[6] เพื่อเป็นการหลบเลี่ยง สนธิสัญญาแวร์ซาย ที่ผูกพันกับเยอรมันอยู่[7] มีผู้ผลิตเพียง 3 รายที่ถูกคัดเลือกมาให้ผลิตรถถังต้นแบบคือ MAN, Krupp, and Rheinmetall-Borsig[8] โดยในที่สุด เยอรมันได้ตัดสินใจให้บริษัท Krupp เป็นผู้ผลิต
ในช่วงแรก พันท์เซอร์ 4 ได้ถูกออกแบบให้ใช้ช่วงล่างแบบ ล้อกดสายพานซ้อน (อังกฤษ : six-wheeled interleaved suspension) แต่ทางกองทัพเยอรมันต้องการระบบช่วงล่างแบบ ทอร์ชัน บาร์(อังกฤษ : Torsion bar) ซึ่งสามารถไต่ที่สูงชันได้ดีกว่า และยังให้ความนุ่มนวลแก่พลประจำรถถังด้วย[8][9] แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากกองทัพเยอรมันต้องการใช้งานอย่างเร่งด่วน บริษัท Krupp จึงทำการเลือกช่วงล่างแบบ leaf spring double-bogie ซึ่งผลิตได้ง่ายกว่ามาแทน
ต้นแบบรถถังที่ได้มานั้น ใช้พลประจำรถ 5 นาย โดยมีห้องเครื่องอยู่ทางท้ายรถถัง ด้านหน้าซ้ายเป็นที่นั่งของ พลขับ ส่วนด้านหน้าขวานั้น เป็นที่นั่งของพลวิทยุ ซึ่งจะต้องควบคุมปืนกลไปด้วย ผู้บัญชาการรถถังจะนั่งอยู่ในป้อมปืน บริเวณด้านล่างของทางเข้าออก ส่วนพลปืน และพลบรรจุกระสุนนั้น จะนั่งอยู่ทางซ้าย และทางขวาของปืนตามลำดับ ทางด้านขวาของตัวถังนั้นจะเป็นที่เก็บกระสุน พันท์เซอร์ 4 เริ่มผลิตในปี ค.ศ. 1936 ณ เมือง Magdeburg[10]
รุ่น A - F1
[แก้]รุ่น A
[แก้]การผลิตครั้งแรกนั้นเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1936 โดยเป็นการผลิตในรุ่น A ใช้เครื่องยนต์ Maybach's HL 108TR ให้กำลัง 250 แรงม้า (183.73 kW) ใช้ระบบส่งกำลังแบบ SGR 75 ซึ่งมีเกียร์เดินหน้า 5 เกียร์ และเกียร์ถอยหลัง 1 เกียร์[11] โดยสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 31 กิโลเมตรต่อชั่วโมง[12] โดยปืนต่อสู้รถถังหลักนั้นเป็น ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังแบบ 37 L/24 (KwK 37 L/24) ซึ่งใช้ยิงกระสุนระเบิดแรงสูง(HE) เพื่อประโยชน์ในการต่อสู้กับทหารราบ[13] การต่อสู้กับรถถังนั้น จะใช้กระสุนแบบเจาะเกราะ ความเร็วกระสุน 430 เมตรต่อวินาที โดยจะสามารถเจาะเกราะได้ลึก 43 มิลลิเมตร ที่มุมตกกระทบไม่เกิน 30 องศา ในระยะ 700 เมตร[14] และมีปืนกลแบบ MG34 2 กระบอก โดยกระบอกแรกจะใช้แกนร่วมกับปืนหลัก และอีกกระบอกจะติดอยู่กับตัวถังบริเวณพลวิทยุ รุ่น A นั้น มีเกราะด้านหน้าหนา 14.5 มิลลิเมตร และมีเกราะที่ป้อมปืนหนา 20 มิลลิเมตร ด้วยความบางของเกราะระดับนี้ จะป้องกันได้เพียงแค่กระสุนปืนจากปืนเล็กยาว จรวดต่อสู้รถถังขนาดเบา และสะเก็ดระเบิดจากปืนใหญ่ได้เท่านั้น[15] หลังจากรุ่น A ผลิตได้เพียง 35 คัน เยอรมันจึงเริ่มทำการผลิตรุ่น B ในปี ค.ศ. 1937[7]
รุ่น B
[แก้]รุ่น B มีการปรับปรุงโดยมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นรุ่น Maybach HL 120TR ซึ่งให้กำลัง 300 แรงม้า และระบบส่งกำลังได้รับการปรับปรุงโดยเพิ่มเกียร์เดินหน้าอีก 1 เกียร์ เป็น 6 เกียร์ ทำความเร็วได้สูงสุด 39 กิโลเมตรต่อชั่วโมง[16] เกราะรถถังด้านหน้านั้นได้ถูกเพิ่มความหนาเป็น 30 มิลลิเมตร[15] และช่องปืนกลที่ติดอยู่บนตัวถังนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นช่องว่าง ที่สามารถนำปืนสั้นยิงลอดออกไปได้ พันท์เซอร์ 4 รุ่น B ได้ถูกผลิตออกไปเป็นจำนวน 42 คัน
รุ่น C
[แก้]มีการเพิ่มความหนาของเกราะป้อมปืนเป็น 30 มิลลิเมตร ซึ่งทำให้รถถังมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 18.14 ตัน หลังจากผลิตรุ่น C ได้เพียง 40 คัน ก็ได้มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ โดยเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์รุ่น Maybach HL 120TRM. และทำการผลิตออกมาอีก 100 คัน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรุ่น D ในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1939
รุ่น D
[แก้]พันท์เซอร์ 4 ที่ถูกผลิตออกมาในรุ่น D นั้นมีจำนวน 248 คัน โดยในรุ่น D นี้ได้มีการนำปืนกลที่ติดอยู่กับตัวถังกลับมาใช้งานเหมือนรุ่น B และมีการย้ายปืนกลแกนร่วมกับปืนหลักออกไปอยู่บนป้อมปืนแทน มีการเพิ่มความหนาของเกราะด้านข้างเป็น 20 มิลลิเมตร [13] หลังจากเยอรมันได้รับชัยชนะจากการบุกโปแลนด์ในปี ค.ศ. 1939 เยอรมันจึงคิดจะขยายการผลิตรถถังรุ่นนี้ โดยนำเข้าประจำการในชื่อ Sonderkraftfahrzeug 161 (Sd.Kfz. 161).[7]
เนื่องจากปืนต่อสู้รถถังแบบ KwK 37 L/24 นั้น เป็นแบบลำกล้องสั้น และใช้ยิงกระสุนความเร็วต่ำ จึงมักจะไม่สามารถเจาะเกราะรถถังของอังกฤษในสมรภูมิการบุกยึดฝรั่งเศสได้ เยอรมันจึงได้ทำการทดลองติดตั้งปืนแบบ Pak 38 L/60 ขนาด 5 เซนติเมตร ซึ่งสามารถเจาะเกราะหนา 50 มิลลิเมตรได้ แต่การสั่งรถถังรุ่นนี้ต้องถูกยกเลิกไป เนื่องจากชัยชนะอันรวดเร็วของเยอรมนีที่มีต่อฝรั่งเศส[17]
รุ่น E
[แก้]เริ่มทำการสร้างเมื่อเดือนเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1940 โดยทำการเพิ่มความหนาของเกราะด้านหน้าเป็น 50 มิลลิเมตร โดยใส่แผ่นเหล็กเป็นเกราะเพิ่มด้านหน้าอีก 30 มิลลิเมตร และทำการย้ายช่องสังเกตการณ์ของผู้บังคับบัญชารถถังมาอยู่ด้านหน้าของป้อมปืน ในส่วนของรถถังรุ่นก่อนหน้านี้ จะถูกอัพเกรดให้เป็นแบบเดียวกับรุ่น E เมื่อรถถังได้นำกลับเข้ามาบำรุงรักษา
พันท์เซอร์ 4 รุ่น E นี้ถูกผลิตออกมา 280 คัน ตลอดช่วงปี ค.ศ. 1939 ถึงปี ค.ศ. 1941
รุ่น F/F1
[แก้]ในปี ค.ศ. 1941 พันท์เซอร์ 4 รุ่น F ได้เริ่มสายการผลิต โดยความหนาของเกราะและป้อมปืนมีขนาด 50 มิลลิเมตร และเพิ่มขนาดของเกราะด้านข้างเป็น 30 มิลลิเมตร[18] จากการเพิ่มความหนาของเกราะทำให้น้ำหนักของรถถังเพิ่มขึ้นเป็น 22.3 ตัน ซึ่งจำเป็นต้องออกแบบระบบสายพานใหม่ให้มีความกว้างเพิ่มขึ้นเป็น 400 มิลลิเมตร จาก 380 มิลลิเมตร เพื่อกระจายแรงกดที่กระทำต่อพื้นดิน โดยหน้าสัมผัสของสายพานที่เพิ่มขึ้นนั้น จะช่วยรถถังในการวิ่งบนพื้นผิวที่เป็นน้ำแข็งด้วย รถถังยังได้รับการปรับปรุงในเรื่องของล้อกดสายพานด้วย
โดยเมื่อพันท์เซอร์ 4 รุ่น F2 ได้เริ่มทำการผลิตไปแล้วนั้น รุ่น F ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น F1 โดยมีรถถังรุ่น F1 จำนวน 464 คันถูกผลิตออกมา โดยอีก 25 คันถูกเปลี่ยนให้เป็นรุ่น F2 ในสายการผลิต
รุ่น F2 - J
[แก้]รุ่น F2
[แก้]วันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 เพียงสัปดาเดียวก่อนยุทธการ บาร์บารอสซา จะเริ่มขึ้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ต้องการจะปรับปรุงปืนต่อสู้รถถังของ พันท์เซอร์ 4 โดยได้ทำการติดต่อบริษัท Krupp อีกครั้ง เพื่อจะให้ติดตั้งปืน Pak 38 L/60 ขนาด 5 เซนติเมตรเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง และได้รถถังหลังจากการปรับปรุงในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1941[19] จากการเข้าต่อสู้กับรถถัง T-34 และรถถัง KV-1 ของโซเวียต ซึ่งใหม่กว่า และทรงพลังกว่านั้น ปรากฏว่ารถถังของเยอรมันไม่สามารถต่อกรกับรถถังของโซเวียตได้เลย เนื่องจากเกราะของ T-34 และ KV-1 มีความหนามาก ทำให้ปืนแบบ Pak 38 L/60 ไม่สามารถเจาะเกราะเข้าไปทำความเสียหายได้[20] เยอรมันจึงยกเลิกการผลิตรถถังที่ได้ติดตั้งปืนรุ่น Pak38 L/60 ทั้งหมด และได้ว่าจ้างบริษัท Rheinmetall ให้ทำการออกแบบปืนต่อสู้รถถังแบบใหม่ด้วยขนาด 7.5 เซนติเมตรแทน ซึ่งภายหลังจากการออกแบบเสร็จสิ้น ปืนนี้ได้ชื่อว่า 7.5 cm Pak 40 L/46 เนื่องจากปืนขนาดลำกล้องที่ยาวขึ้น ทำให้เกิดแรงสะท้อนถอยหลังที่มากขึ้น ซึ่งทำให้ระยะถอยของปืนนั้นเกินความยาวของป้อมปืนที่มีอยู่ จึงต้องทำการออกแบบระบบรับแรงสะท้อนถอยหลังใหม่ เพื่อให้ระยะถอยของปืนนั้นสั้นลง โดยปืนที่ติดตั้งบนพันท์เซอร์ 4 นั้น มีชื่อว่า KwK 40 L/43[21] โดยกระสุนเจาะเกราะ จะทำความเร็วได้ 990 เมตร ต่อวินาที ซึ่งต่างจากปืนกระบอกเดิมที่ทำได้เพียง 430 เมตรต่อวินาที โดยปืนกระบอกใหม่ที่ถูกติดตั้งนี้ เมื่อยิงกระสุนแบบ Panzergranate 39 จะเจาะเกราะได้ 77 มิลลิเมตร ที่ระยะทาง 1830 เมตร[22] โดยรถถังที่ติดตั้งปืนรุ่น KwK40 L/43 จะมีชื่อรุ่นคือ F2 โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 23.6 ตัน รถถังในรุ่นนี้ถูกผลิตออกมา 175 คันตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ. 1942 สามเดือนให้หลัง รถถังรุ่นนี้ก็ถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้งหนึ่งเป็นรุ่น G
รุ่น G
[แก้]สำหรับการผลิตพันท์เซอร์ 4 ในช่วงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942 ถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1943 นั้น พันท์เซอร์ 4 รุ่น G ได้ถูกปรับแต่งหลายอย่าง เป็นต้นว่าการปรับปรุงในเรื่องเกราะ ซึ่งการปรับปรุงในเรื่องเกราะนั้นเป็นการเพิ่มน้ำหนักจนถึงขีดสุดที่รถถังจะรับไหว เพื่อไม่ให้น้ำหนักเกินไปมากกว่านี้ ได้มีการนำเกราะเสริมด้านข้างที่มีความหนา 20 มิลลิเมตรออกไป และไปเพิ่มความหนาของตัวถังด้านข้างเป็น 30 มิลลิเมตรแทน และน้ำหนักในส่วนที่หายไปนั้น ได้ถูกนำมาใช้ในการเสริมเกราะด้านหน้าให้มีความหนาเป็น 80 มิลลิเมตร[23] ซึ่งกำลังพลที่ใช้รถถังนี้ก็ต่างต้องการเกราะที่หนาขึ้นนี้ถึงแม้ต้องแลกมาด้วยปัญหาต่อระบบขับเคลื่อนของรถถังก็ตาม โดยรถถังที่ผลิตในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942 ถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1943 นั้น จะใช้เกราะแบบใหม่นี้ผลิตรถถังเป็นครึ่งหนึ่ง ของเกราะแบบเดิมที่ผลิตออกมา และหลังจากเดือนมกราคม ค.ศ. 1943 ก็จะเปลี่ยนไปผลิตเกราะแบบหนา 80 มิลลิเมตรทั้งหมด[24]
ช่องมองทั้งสองข้างของป้อมปืนนั้นถูกนำออกเพื่อให้การผลิตสามารถทำได้ง่ายขึ้น มีการนำล้อกดสายพานสำรองมาติดตั้งบนด้านซ้ายของตัวถัง และเพิ่มสายพานสำรองโดยนำมาวางไว้บนเกราะด้านหน้า มีการเปิดช่องว่างด้านบนของห้องเครื่องเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการระบายอากาศ ในสมรภูมิที่ร้อนอบอ้าว ส่วนในสมรภูมิที่มีความหนาวเย็นนั้น ได้มีการนำอุปกรณ์เพิ่มความร้อนไปติดตั้งเพื่อให้น้ำหล่อเย็นนั้นไม่เย็นจนเกินไป มีการเปลี่ยนไฟส่องสว่างใหม่ และนำเอาไฟสัญญาณบนป้อมปืนออก[25] ช่องสังเกตการณ์ของผู้บังคับบัญชารถถังนั้นได้ถูกเพิ่มความหนาของเกราะ และลดลงเหลือเพียงหนึ่งช่องซึ่งแต่เดิมมีสองช่อง
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1943 พันท์เซอร์ 4 ที่ถูกติดตั้งเกราะด้านข้างสายพาน และด้านข้างป้อมปืนได้ถูกนำมาใช้งาน[26]
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1943 ปืนแบบ KwK 40 L/48 ได้ถูกนำมาติดตั้งแทนปืน KwK 40 L/43 ซึ่งปืนแบบใหม่นี้มีความยาวของลำกล้องมากกว่า และได้รับการปรับปรุงซึ่งจะลดแรงสะท้อนถอยหลังให้ลดลงกว่าเดิม[27] และได้มีการเพิ่มเกราะแบบ Zimmerit ซึ่งนำไปติดตั้งด้านล่างของตัวถัง เนื่องจากเยอรมันกลัวว่าทุ่นระเบิดรถถังแบบเหนี่ยวนำแม่เหล็กของสัมพันธมิตรนั้นจะถูกนำมาใช้จัดการกับรถถังของเยอรมัน[28]
รถถังในรุ่นนี้ได้ถูกเพิ่มเกราะด้านข้างสายพานขนาดหนา 5 มิลลิเมตร และขนาดหนา 8 มิลลิเมตรที่ป้อมปืน[29] นอกจากนี้ยังมีการนำระบบส่งกำลังของพันท์เซอร์ 3 มาใช้ในรุ่นนี้ด้วย[29]
รุ่น J
[แก้]จากการสูญเสียอย่างหนักของรถถังเยอรมัน พันท์เซอร์ 4 ในรุ่น J นั้นได้ถูกลดสเปคลงเพื่อให้สามารถผลิตรถถังทดแทนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น[30] โดยระบบหมุนป้อมปืนด้วยไฟฟ้านั้นได้ถูกยกเลิกไป ทำให้พลปืนต้องทำการหมุมป้อมปืนเองด้วยมือ ที่ว่างของระบบไฟฟ้าที่หายไปนั้นถูกแทนที่ด้วยถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ซึ่งเพิ่มระยะปฏิบัติการณ์ของ พันท์เซอร์ 4 เป็น 320 กิโลเมตร รถถังพันท์เซอร์ถูกนำเกราะแบบ Zimmerit ออกไป ส่วนเกราะด้านข้างของสายพานนั้นถูกแทนที่ด้วยตะแกรงเหล็กแทน
ในช่วงท้ายๆของสายการผลิตนั้นได้มีการทดลองนำปืนของ รถถังพันเทอร์ มาใส่ ซึ่งมีความยาวกว่า แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เนื่องจากรถถังไม่สามารถแบกรับน้ำหนักได้มากกว่านี้แล้ว[30]
การผลิต
[แก้]ระยะเวลา | จำนวน | รุ่น(Ausführung or Ausf.) |
---|---|---|
1937–1939 | 262 | A – D |
1940 | 278-386[32] | E[33][โปรดขยายความ] |
1941 | 467-769[34] | E, F1, F2, G[35] |
1942 | est. 880 | G |
1943 | 3,013 | G, H |
1944 | 3,125 | J |
1945 | est. 435 | J |
Total | 9,870[36] | A - J |
ประวัติการรบ
[แก้]พันท์เซอร์ 4 เป็นรถถังที่เยอรมันทำการผลิตตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามไปจนถึงสิ้นสุดสงคราม[37][38] ซึ่งจำนวนทั้งหมดนั้นเป็นถึง 30% ของรถถังที่เยอรมันผลิตออกมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
แนวรบฝั่งตะวันตก และสมรภูมิแอฟริกาเหนือ (1939–1942)
[แก้]เมื่อกองทัพเยอรมันเริ่มบุกโปแลนด์นั้น เยอรมันมีรถถังแบบ พันท์เซอร์ I จำนวน 1445 คัน แบบ พันท์เซอร์ 2 จำนวน 1223 คัน แบบ พันท์เซอร์ 3 จำนวน 98 คัน และแบบ พันท์เซอร์ 4 จำนวน 211 คัน ซึ่งรถถังแบบพันท์เซอร์ 4 นั้นมีจำนวนน้อยกว่า 10% ของกำลังรถถังทั้งหมดที่เยอรมันมีอยู่[39] จำนวนกำลังรถถังที่จัดเข้าในกองพลทหารยานเกราะที่ 1 เป็นดังนี้ พันท์เซอร์ 1 จำนวน 17 คัน พันท์เซอร์ 2 จำนวน 18 คัน พันท์เซอร์ 3 จำนวน 28 คัน และพันท์เซอร์ 4 จำนวน 14 คัน
ส่วนกองพลของทหารยานเกราะอื่นๆนั้นจะเน้นใช้รถถังรุ่นเก่าที่มีอยู่ ซึ่งมีการจัดกำลังดังนี้ พันท์เซอร์ 1 จำนวน 34 คัน พันท์เซอร์ 2 จำนวน 33 คัน พันท์เซอร์ 3 จำนวน 5 คัน และพันท์เซอร์ 4 จำนวน 6 คัน[40]
ถึงแม้ว่าโปแลนด์จะมีรถถังที่มีความสามารถในการเจาะเกราะรถถังเยอรมันได้กว่า 200 คัน และมีปืนต่อสู้รถถังที่มีประสิทธิภาพ แต่เยอรมันก็เชื่อมั่นว่าพันท์เซอร์ 4 จะสามารถทำหน้าที่ในการเป็นหัวหอกในการต่อสู้กับยานเกราะเหล่านั้นได้
ถึงแม้เยอรมันจะทำการเพิ่มกำลังการผลิตรถถังแบบ พันท์เซอร์ 3 และพันท์เซอร์ 4 เป็นจำนวนมากในช่วงที่เยอรมันทำการบุกฝรั่งเศส แต่รถถังเยอรมันที่เข้าประจำการส่วนหญ่ยังคงเป็นรถถังเบาอยู่ โดยรถถังที่ทำการบุกฝรั่งเศสนั้นมี พันท์เซอร์ I 523 คัน พันท์เซอร์ 2 955 คัน พันท์เซอร์ 3 349 คัน พันท์เซอร์ 4 106 คัน พันท์เซอร์ 35(t) 106 คัน และ Panzer 38(t) 228 คัน[41] เยอรมันได้ใช้กลยุทธ์ที่ดีกว่าในการเข้าปะทะ[42] ทำให้กองทัพรถถังเยอรมันชนะในการศึกถึงแม้ว่าจะมีรถถังเบาเป็นจำนวนมากก็ตาม[43]
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับรถถังแบบพันท์เซอร์ 4 นั้นคืออัตราการเจาะเกราะที่ต่ำ เนื่องจากมันได้ทำการติดตั้งปืน KwK 37 L/24 ซึ่งยิงกระสุนออกไปได้ด้วยความเร็วต่ำ จึงไม่สามารถเจาะเกราะรถถังของฝรั่งเศสและอังกฤษได้[44] รถถัง Somua S35 ของฝรั่งเศสนั้นมีเกราะหนา 55 มิลลิเมตร ซึ่งปืน ของพันท์เซอร์ 4 สามารถเจาะเกราะได้แค่ 43 มิลลิเมตร ที่ระยะ 700 เมตรเท่านั้น ส่วนการต่อสู้กับรถถัง Matilda Mk 2 ของอังกฤษนั้น เนื่องจากเกราะด้านหน้าของ Matilda Mk 2 มีความหนาถึง 70 มิลลิเมตรจึงไม่มีทางเลยที่พันท์เซอร์ 4 จะเจาะเกราะเข้าไปได้ ซึ่งถึงแม้จะทำการยิงเข้าจากด้านข้าง ก็ยังต้องเจอเกราะหนาขนาด 60 มิลลิเมตร ซึ่งปืน KwK 37 L/24 ไม่สามารถเจาะเข้าไปทำความเสียหายได้
พันท์เซอร์ 4 ที่กองกำลังเยอรมันได้รับในสมรภูมิแอฟริกานั้น ยังไม่สามารถนำมาใช้แทน พันท์เซอร์ 3 ได้ เนื่องจาก พันท์เซอร์ 3 นั้นมีอัตราการเจาะเกราะที่สูงกว่า [45] แต่อย่างไรก็ดี ทั้งพันท์เซอร์ 3 และพันท์เซอร์ 4 ก็ต่างไม่สามารถเจาะเกราะที่หนาของรถถัง Matilda Mk 2 ได้ ส่วนปืนของ Matilda Mk 2 นั้น สามารถเจาะทะลุเกราะทั้ง พันท์เซอร์ 2 และพันท์เซอร์ 4 ได้ทั้งหมด ซึ่งรถถังพันท์เซอร์ 3 และพันท์เซอร์ 4 มีข้อได้เปรียบอย่างเดียวคือสามารถทำความเร็วได้ดีกว่า[46]
เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1942 เอียร์วิน รอมเมล ได้รับพันท์เซอร์ 4 รุ่น F2 เป็นจำนวน 27 คัน ซึ่งรถถังในรุ่นนี้ติดปืน KwK 40 L/43 ซึ่งมีขนาดความยาวลำกล้องมากกว่า ซึ่งรอมเมลตั้งใจจะใช้รถถังรุ่นใหม่นี้เป็นหัวหอกในการบุก[46] เพราะปืนขนาดความยาวลำกล้องที่มากกว่านั้น จะให้ความเร็วกระสุนที่สูงกว่า จึงทำให้มีอัตราการเจาะเกราะที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งรถถังรุ่นใหม่นี้สามารถทำลายรถถังอังกฤษได้ที่ระยะถึง 1500 เมตร[47]
ถึงแม้ว่าเยอรมันจะได้รับรถถังรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก แต่ก็เทียบไม่ได้กับยุทธภัณฑ์ที่ถูกส่งไปยังอังกฤษ ซึ่งจะถูกนำมาสร้างเป็นรถถังและส่งมารบกับเยอรมันในภายหลัง[48] นอกจากนี้พันท์เซอร์ 4 นั้นยังได้นำไปใช้ในการบุกยูโกสลาเวียและกรีซในปี ค.ศ. 1941 อีกด้วย[49]
สมรภูมิด้านตะวันออก (1941–1945)
[แก้]เมื่อเยอรมันได้เริ่ม ยุทธการบาร์บารอสซา เยอรมันต้องต่อกรกับรถถังที่มีเกราะหนาอย่าง KV-1 และ T-34 ซึ่งเป็นสาเหตุให้เยอรมันต้องทำการปรับปรุงรถถังของตนให้มีอาวุธที่มีอานุภาพในการเจาะเกราะที่ดียิ่งขึ้น
เมื่อพันท์เซอร์ 4 ที่ติดอาวุธปืน KwK 40 L/43 ใหม่นี้ได้เข้าสู่สมรภูมิ มันสามารถทำลายรถถัง T-34 ของโซเวียตได้ที่ระยะ 1200 เมตร[50] โดยปืน KwK 40 L/43 ที่ติดตั้งใหม่นี้สามารถเจาะเกราะรถถัง T-34 ได้ทุกด้าน โดยมีระยะยิงตั้งแต่ 1000 เมตร ถึง 1600 เมตร[51]
โดยรถถังรุ่นใหม่ที่ถูกส่งมานี้เป็นรุ่น F2 ซึ่งมีจำนวนประมาณ 135 คัน ซึ่ง ณ ขนะนั้น มีเพียงพันท์เซอร์ 4 รุ่นใหม่นี้เท่านั้นที่จะสามารถทำลายรถถัง T-34 และ KV-1 ได้[52] พันท์เซอร์ 4 จึงกลายเป็นกำลังสำคัญมากในช่วงนี้[53] เนื่องจากรถถังแบบทีเกอร์ 1 ที่ยังมีปัญหา และรถถังพันเทอร์ ที่ยังไม่ได้ส่งมอบให้แก่กองทัพเยอรมัน
ในช่วงปี ค.ศ. 1942 พันท์เซอร์ 4 จำนวน 502 คันถูกทำลายในสมรภูมิรบตะวันออก[54]
พันท์เซอร์ 4 ยังคงเป็นกำลังหลักต่อไปในสมรภูมิจนถึงปี ค.ศ. 1943 และได้เข้าร่วม สมรภูมิที่ เคริซ์ ส่วนรถถังเสือดำ ที่เป็นรุ่นใหม่กว่านั้นก็ยังประสบปัญหาบางประการ จึงไม่สามารถทำการรบได้อย่างเต็มที่[55] มีพันท์เซอร์ 4 จำนวน 841 คันเข้าร่วมการรบในสมรภูมิเคริซ์[56]
ตลอดปี ค.ศ. 1943 เยอรมันสูญเสียพันท์เซอร์ 4 จำนวน 2,352 คันในสมรภูมิตะวันออก[57] จากการสูญเสียรถถังเป็นจำนวนมาก กองพลยานเกราะ 1 กองพล ถูกปรับลดให้มีรถถังเพียง 12 - 18 คันเท่านั้น[53]
ค.ศ. 1944 เยอรมันสูญเสีย พันท์เซอร์ 4 เป็นจำนวนมากถึง 2643 คัน ซึ่งเยอรมันไม่สามารถผลิตรถถังเข้ามาแทนที่รถถังที่เสียไปเหล่านี้ได้ทัน[58]
ในปีสุดท้ายของการรบ รถถังเยอรมัน ไม่สามารถต่อกรกับ T-34 ที่ถูกปรับปรุงมาใหม่ได้อีกแล้ว แต่เนื่องจาก รถถังเสือดำ ยังไม่สามารถจัดหามาประจำการแทน พันท์เซอร์ 4 ได้ทัน พันท์เซอร์ 4 จึงยังต้องทำหน้าที่เป็นกำลังหลักไปก่อน
ในปี ค.ศ. 1945 เยอรมันสูญเสียพันท์เซอร์ 4 จำนวน 287 คัน ซึ่งจากจำนวนที่ทหารของฝ่ายโซเวียดได้ทำการบันทึกไว้นั้น มีพันท์เซอร์ 4 จำนวน 6,153 คัน หรือ 75% ของพันท์เซอร์ 4 ถูกทำลายในสมรภูมิตะวันออก[59]
สมรภูมิด้านตะวันตก (1944 - 1945)
[แก้]เมื่อกองกำลังสัมพันธมิตรเริ่ม ยุทธการโอเวอร์ลอร์ด พันท์เซอร์ 4 นั้นมีจำนวนเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของกำลังรถถังทั้งหมดที่อยู่ในแนวรบตะวันตก[60] กองพลยานเกราะทั้ง 11 กองพลที่ปฏิบัติการณ์ในนอร์ม็องดีนั้น ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยรถถังแบบ พันท์เซอร์ 4 และรถถังพันเทอร์ โดยมีจำนวนรวมแล้วราวๆ 160 คัน
การปรับปรุงพันท์เซอร์ 4 นั้น สร้างชื่อเสียงให้รถถังจนเป็นที่น่าเกรงขามแก่สัมพันธมิตร[60] ทั้งๆที่กองกำลังทางอากาศของสหรัฐสามารถครอบครองทางอากาศได้หมดแล้ว แต่การซุ่มโจมตีของรถถัง และปืนต่อสู้รถถังของเยอรมันนั้นสามารถทำลายรถถังของสัมพันธมิตรได้เป็นจำนวนมาก
ในช่วงยุทธการโอเวอร์ลอร์ดนั้น ทั้งรถถังแบบ พันท์เซอร์ 4 และรถถัง พันเทอร์ มักจะถูกทำลายได้ง่ายจากการถูกซุ่มโจมตีข้างทาง เมื่อเจอกับทหารราบที่ติดอาวุธต่อสู้รถถังมาด้วย หรือไม่ก็เป็นรถถังพิฆาตรถถัง เช่นเดียวกับเครื่องบินโจมตีภาคพื้นดินที่บินเข้ามาสนันสนุนระยะใกล้[61]
ภูมิประเทศในแถบนั้นมีพุ่มไม้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่งกับการใช้รถถัง ดังจะเห็นได้จากจำนวนรถถังที่ได้รับความเสียหายที่กระโปรงเกราะด้านข้าง เนื่องจากถูกซุ่มโจมตี ซึ่งยานเกราะของเยอรมันล้วนหวาดหวั่นจากการถูกซุ่มโจมตีเมื่อต้องผ่านบริเวณพุ่มไม้[60]
ทางฝั่งสัมพันธมิตรนั้นได้ทำการค้นคว้าและวิจัยรถถังของตนเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือรถถังแบบ เอ็ม 4 เชอร์แมน (อังกฤษ : M4 Sherman) ซึ่งระบบเครื่องยนต์นั้นนับว่ามีความเสถียร เชื่อถือได้ แต่หากมีข้อเสียซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เสียเปรียบมากคือเกราะที่บาง และปืนต่อสู้รถถังที่ไม่สามารถเจาะเกราะรถถังเยอรมันได้[62]
เมื่อ เอ็ม 4 เชอร์แมน ต้องทำการต่อสู้กับ พันท์เซอร์ 4 ในรุ่นแรกๆ เอ็ม 4 เชอร์แมน ยังพอทำลายพันท์เซอร์ 4 ได้บ้าง แต่เมื่อเจอกับ พันท์เซอร์ 4 ในรุ่นหลังๆแล้วนั้น รถถัง เอ็ม 4 เชอร์แมน ไม่สามารถทำอะไรได้เลย (นอกจากนี้ เอ็ม 4 เชอร์แมน ยังไม่สามารถเจาะเกราะรถถัง พันเทอร์ และรถถัง ไทเกอร์ ของเยอรมันได้ ไม่ว่าจะเข้าไปยิงในระยะใกล้เพียงใดก็ตาม)[63] พันท์เซอร์ 4 ในรุ่นหลังๆ ที่ทำการปรับปรุงเกราะด้านหน้าแล้วนั้น สามารถยังยั้งปืนของ เอ็ม 4 เชอร์แมนได้เป็นอย่างดี[64]
ด้วยเหตุนี้ กองกำลังสหราชอาณาจักร จึงได้ทำการติดตั้งปืนแบบ คิวเอฟ 17 ปอนด์ (อังกฤษ : QF 17 pounder) บนรถถัง เอ็ม 4 เชอร์แมน เดิม ซึ่งรถถังที่ติดตั้งปืนใหม่เข้าไปนี้ได้ชื่อว่า เชอร์แมน ไฟร์ฟลาย (อังกฤษ : Sherman Firefly)[65] ซึ่งรถถัง เชอร์แมน ไฟร์ฟลาย นี้ เป็นรถถังเพียงแบบเดียวที่สามารถสู้รบกับรถถังเยอรมันทุกชนิดได้อย่างสูสี มีรถถังเชอร์แมน ไฟร์ฟลายจำนวน 300 คันที่เข้าร่วมรบในยุทธการโอเวอร์ลอร์ด ที่นอร์ม็องดี[62]
อเมริกาเริ่มทำการติดตั้งปืนแบบ เอ็ม 1 (อังกฤษ : M1) ให้กับ รถถัง เอ็ม 4 เชอร์แมนของตน ปืนเอ็ม 1 นี้มีขนาดลำกล้องที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งนั่นก็เพียงพอต่อการเข้าสู้รบกับพันท์เซอร์ 4 แล้ว[66][67]
ถึงแม้ว่าเยอรมันจะเป็นเจ้าแห่งสมรภูมิรถถัง ในวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1944 กองทัพที่ 5 และ 7 ของเยอรมันก็ต้องทำการถอยร่นเข้าสู่ประเทศเยอรมนี มีรถถังเยอรมันประมาณ 2,300 คันเข้าร่วมรบในนอร์ม็องดี (ในจำนวนนี้มีรถถังแบบพันท์เซอร์ 4 จำนวน 750 คัน) เยอรมันเสียรถถังไปทั้งหมด 2,200 คัน เนื่องจากการสูญเสียอย่างหนักนี้ ทำให้ในแต่ละกองพลๆ หนึ่งของเยอรมัน เหลือรถถังเข้าประจำการเพียง 5 ถึง 6 คันเท่านั้น
ในช่วงฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1944 พันท์เซอร์ 4 ก็ได้ถูกใช้เป็นกำลังหลักอีกครั้งใน การยุทธที่ป่าอาร์เดนน์ ซึ่งพันท์เซอร์ 4 ก็ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้เยอรมันยังไม่สามารถใช้รถถังได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควรด้วยเนื่องจากการขาดแคลนน้ำมัน[68] พันท์เซอร์ 4 ที่เข้าร่วมรบใน การยุทธที่ป่าอาร์เดนน์นี้เป็นรถถังที่เหลือรอดมาจากการรบกับฝรั่งเศส ซึ่งมีจำนวนประมาณ 260 คัน[69]
เชิงอรรถ
[แก้]- ↑ Zetterling, Niklas (2000). Kursk 1943: A Statistical Analysis. London: Frank Cass. p. 61. ISBN 978-0-7146-5052-4.
- ↑ Conners, Chris (4 December 2002). "Panzerkampfwagen IV Ausfuehrung H1-6,10,15-16". The AFV Database. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-06. สืบค้นเมื่อ 15 December 2010.
- ↑ Spielberger (1972), p. 69
- ↑ Perrett (1999), p. 4
- ↑ พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ. "หน่วยยานเกราะ พันท์เซอร์ นาซีเยอรมัน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-12-16. สืบค้นเมื่อ 20 June 2013.
- ↑ Jentz (1997), p. 1
- ↑ 7.0 7.1 7.2 Spielberger (1972), p. 70
- ↑ 8.0 8.1 Perrett (1999), p. 5
- ↑ Simpkin (1979), p. 106
- ↑ de Mazarrasa (1994), p. 46
- ↑ Perrett (1999), p. 5; Caballero & Molina (2006), p. 6
- ↑ Caballero & Molina (2006), p. 6
- ↑ 13.0 13.1 Caballero & Molina (2006), p. 7
- ↑ Doyle & Jentz (2001), p. 4
- ↑ 15.0 15.1 Perrett (1999), p. 6; Caballero & Molina (2006), p. 7
- ↑ Perrett (1999), p. 6; Caballero & Molina (2006), p. 6
- ↑ Doyle & Jentz (2001), p. 5
- ↑ Caballero & Molina (2006), p. 31
- ↑ Spielberger (1993) [ต้องการเลขหน้า]
- ↑ Perrett (1999), p.7
- ↑ Doyle & Jentz (2001), pp. 6–7
- ↑ Spielberger (1972), p. 73
- ↑ Caballero & Molina (2006), p. 38
- ↑ Spielberger (1993), p. 59
- ↑ Doyle & Jentz (2001), pp. 11–12
- ↑ Walter J. Spielberger (1993), P63
- ↑ Doyle & Jentz (2001), p. 12
- ↑ Caballero & Molina (2006), p. 44
- ↑ 29.0 29.1 Perrett (1999), p. 8
- ↑ 30.0 30.1 Perrett (1999), p. 9
- ↑ Caballero & Molina (2006), p. 36; Doyle & Jentz (2001), p. 16; Spielberger (1972), p. 72
- ↑ Cabellero & Moline (2006), p. 4, suggest only 278 manufactured in 1940
- ↑ Entered service December 1939; Perrett (1999), p. 6
- ↑ 769 per Spielberger (1972), p. 72; Cabellero & Moline (2006), p. 4, suggest 467 Panzer IVs were manufactured in 1941
- ↑ Ausf. F entered production during the spring of 1941 and Ausf. G entered service sometime later the same year; Perrett (1999), p. 8
- ↑ McCarthy & Syron (2002) suggest that 8,600 were manufactured total (p. 36)
- ↑ McCarthy & Syron (2002), p. 36
- ↑ Caballero & Molina (2006), p. 4
- ↑ Perrett (1999), p. 24
- ↑ Perrett (1998), p. 37
- ↑ Guderian (1996), p. 472
- ↑ McCarthy & Syron (2002), p. 72
- ↑ McCarthy & Syron (2002), p. 73
- ↑ Doyle & Jentz (2001), pp. 4–5
- ↑ Perrett (1999), p. 34
- ↑ 46.0 46.1 Ormeño (2007), p. 48
- ↑ Doyle & Jentz (2001), p. 21
- ↑ Doyle & Jentz (2001), p. 23
- ↑ Perrett (1999), pp. 34–35
- ↑ Jentz (1996), p. 243
- ↑ Bird & Livingston (2001), p. 25
- ↑ Doyle & Jentz (2001), p. 33
- ↑ 53.0 53.1 Spielberger (1972), p. 87
- ↑ Caballero & Molina (2006), p. 39
- ↑ Perrett (1999), p. 39
- ↑ Caballero & Molina (2006), p. 47
- ↑ Caballero & Molina (2006), p. 48
- ↑ Caballero & Molina (2006), p. 51
- ↑ Caballero & Molina (2006), pp. 59–62
- ↑ 60.0 60.1 60.2 Hastings (1999), p. 133
- ↑ Perrett (1999), p. 43
- ↑ 62.0 62.1 Hastings (1999), p. 225
- ↑ Hastings (1999), pp. 225–227
- ↑ Jentz & Doyle (2001), p. 176
- ↑ Fletcher (2008), pp. 5–8
- ↑ Fletcher (2008), p. 43
- ↑ Hastings (1999), p. 221
- ↑ Perrett (1999), p. 44
- ↑ Forty (2000), p. 92
อ้างอิง
[แก้]- Bird, Lorrin R.; Livingston, Robert (2001). World War II Ballistics: Armor and Gunnery. Albany, NY: Overmatch Press.
- Caballero, Carlos; Molina, Lucas (October 2006). Panzer IV: El puño de la Wehrmacht (ภาษาสเปน). Valladolid, Spain: AFEditores. ISBN 978-84-96016-81-1.
- Crawford, Steve (11 November 2000). Tanks of World War II. Zenith Press. ISBN 978-0-7603-0936-0.
- de Mazarrasa, Javier (1994). Blindados en España 2ª Parte: La Dificil Postguerra 1939-1960 (ภาษาสเปน). Valladolid, Spain: Quiron Ediciones. ISBN 978-84-87314-10-0.
- Doyle, Hilary; Jentz, Tom (2001). Panzerkampfwagen IV Ausf. G, H and J 1942-45. New Vanguard 39. Oxford, United Kingdom: Osprey. ISBN 978-1-84176-183-1.
- Doyle, Hilary; Lukas Friedli (2016). Panzer Tracts 4-3: Panzerkampfwagen IV Ausf. H - Ausf. J, 1943 to 1945. Boyds, Maryland: Panzer Tracts.
- Fletcher, David (2008). Sherman Firefly. New Vanguard. Oxford, United Kingdom: Osprey. ISBN 978-1-84603-277-6.
- Forty, George (2000). The Reich's Last Gamble: The Ardennes Offensive, December 1944. London, United Kingdom: Cassell & Co. ISBN 978-0-304-35802-1.
- Guderian, Heinz Panzer Leader New York Da Capo Press Reissue edition, 2001.
- Hastings, Max (1999). Overlord: D-Day and the Battle for Normandy 1944. London, United Kingdom: Pan Books. ISBN 978-0-330-39012-5.
- Jentz, Thomas (1996). Panzertruppen: The Complete Guide to the Creation & Combat Employment of Germany's Tank Force 1933-1942. Atglen, PA: Schiffer Military History. ISBN 978-0-88740-915-8.
- Jentz, Thomas; Doyle, Hilary (1997). Panzer Tracts 4: Panzerkampfwagen IV - Grosstraktor to Panzerbefehlswagen IV. Darlington, MD: Darlington Productions.
- Jentz, Thomas; Doyle, Hilary (2001). Germany's Panzers in World War II: From Pz.Kpfw.I to Tiger II. Atglen, PA: Schiffer Military History. ISBN 978-0-7643-1425-4.
- Liddell Hart, B.H. The German Generals Talk. New York, NY: Morrow, 1948.
- McCarthy, Peter; Mike Syryon (2002). Panzerkieg: The Rise and Fall of Hitler's Tank Divisions. New York City, NY: Carroll & Graf. ISBN 978-0-7867-1009-6.
- Ormeño, Javier (1 January 2007). "Panzerkampfwagen III: El pequeño veterano de la Wehrmacht". SERGA (45).
- Perrett, Bryan (1998). German Light Panzers 1932-42. New Vanguard. Oxford, United Kingdom: Osprey. ISBN 978-1-85532-844-0.
- Perrett, Bryan (1999). Panzerkampfwagen IV Medium Tank : 1936 - 1945. New Vanguard. Oxford, United Kingdom: Osprey. ISBN 978-1-85532-843-3.
- Reynolds, Michael (2002). The Sons of the Reich: II SS Panzer Corps. Havertown, PA: Casemate. ISBN 978-0-9711709-3-3.
- Scheibert, Horst (1991). The Panzer IV Family. West Chester, PA: Schiffer Military History. ISBN 978-0-88740-359-0.
- Simpkin, Richard E. (1979). Tank Warfare: An analysis of Soviet and NATO tank philosophy. London, United Kingdom: Brassey's. ISBN 978-0-904609-25-7.
- Spielberger, Walter (April 1972). PanzerKampfwagen IV. Berkshire, United Kingdom: Profile Publications Ltd.
- Spielberger, Walter (1993). Panzer IV and its variants. Atglen, PA, USA: Schiffer Military History. ISBN 978-0-88740-515-0.
- Spielberger, Walter (2011). Panzerkampfwagen IV and its variants 1935 - 1945 Book 2. Atglen, PA, USA: Schiffer Military History. ISBN 978-0-7643-3756-7.
- Wilmot, Chester (1997). The Struggle for Europe. Ware, Herts.: Wordsworth Editions Ltd. ISBN 978-1-85326-677-5.
- Scafes, Cornel I; Scafes, Ioan I; Serbanescu, Horia Vl (2005). Trupele Blindate din Armata Romana 1919-1947. Bucuresti: Editura Oscar Print.