พระเจ้าซงแจ็นกัมโป
| พระเจ้าซงแจ็นกัมโป སྲོང་བཙན་སྒམ་པོ | |||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| Tsenpo | |||||||||
อนุสาวรีย์พระเจ้าซงแจ็นกัมโปทรงม้าที่หอสมุดซงแจ็นในเดห์ราดูน ประเทศอินเดีย | |||||||||
| พระมหากษัตริย์ทิเบตองค์ที่ 33 | |||||||||
| ครองราชย์ | ค.ศ. 614 – 648 | ||||||||
| ก่อนหน้า | Namri Songtsen | ||||||||
| ถัดไป | Gungsong Gungtsen หรือ Mangsong Mangtsen | ||||||||
| ประสูติ | ค.ศ. 601 Maizhokunggar ทิเบต (ปัจจุบันคือ Maizhokunggar County เขตปกครองตนเองทิเบต ประเทศจีน) ซงแจ็น | ||||||||
| สวรรคต | ค.ศ. 683 (ประมาณ 82 พรรษา) Zelmogang, Penyül ทิเบต (ปัจจุบันคือLhünzhub County เขตปกครองตนเองทิเบต ประเทศจีน) | ||||||||
| ฝังพระศพ | สุสาน Muri Mukpo หุบเขากษัตริย์ | ||||||||
| พระมเหสี | Belmoza Tritsün (หรือ Bhrikuti จากเนปาล) Gyamoza Münchang (หรือ เจ้าหญิงเหวินเฉิงจากจีนราชวงศ์ถัง) Minyakza Gyelmotsün (จากตังกุต) Litikmen (จากซังซุง) Mongza Tricham | ||||||||
| พระราชโอรส | Gungsong Gungtsen | ||||||||
| |||||||||
| ทิเบต | |||||||||
| ราชวงศ์ | ยาร์ลุง | ||||||||
| พระราชบิดา | Namri Songtsen | ||||||||
| พระราชมารดา | Driza Thökar | ||||||||
| ศาสนา | พุทธแบบทิเบต | ||||||||
พระเจ้าซงแจ็นกัมโป (ทิเบต: སྲོང་བཙན་སྒམ་པོ, ไวลี: srong btsan sgam po; ค.ศ. 601–683, ครองราชย์ ค.ศ 614-648)[1] เป็นกษัตริย์ทิเบตองค์ที่ 33 แห่งราชวงศ์ยาร์ลุงและผู้สถาปนาจักรวรรดิทิเบต[a] พระองค์เป็นหนึ่งในสามกษัตริย์ธรรมะแห่งทิเบต โดยเป็นผู้นำเข้าศาสนาพุทธสู่ทิเบต และสร้างวัดโชคังภายใต้อิทธิพลของพระราชินีภริคุติในราชวงศ์ลิจฉวีของเนปาล พระองค์ทรงรวมอาณาจักรทิเบตหลายแห่งเข้าด้วยกัน[2] พิชิตดินแดนที่ติดกับทิเบต และย้ายเมืองหลวงไปยังป้อมแดงที่ลาซ่า[3] เทินมี สัมโภฏะ เสนาบดีของพระองค์ เป็นผู้ประดิษฐ์อักษรทิเบตและภาษาทิเบตคลาสสิก ภาษาวรรณกรรมและภาษาพูดแรกของทิเบต[3]
พระราชินีผู้เป็นพระราชมารดา ได้รับการระบุเป็น Driza Thökar (ทิเบต: འབྲི་བཟའ་ཐོད་དཀར་, ไวลี: 'bri bza' thod dkar, พินอินทิเบต: Zhisa Tögar)[4] ปีพระราชสมภพและปีขึ้นครองราชย์ยังไม่ชัดเจน และประวัติศาสตร์ทิเบตโดยทั่วไปยอมรับว่าพระองค์เสด็จพระราชสมภพในปีฉลูตามปฏิทินทิเบต[5] Tsepon W. D. Shakabpa รายงานว่า พระองค์ขึ้นครองราชย์ตอนพระชนมายุ 13 พรรษาใน ค.ศ. 614 และครองราชย์จนถึงอย่างน้อยใน ค.ศ. 648[2][6]
เนื่องจากพระมหากษัตริย์ทิเบตมักขึ้นครองราชย์ตอนพระชนมายุประมาณ 13 พรรษา ทำให้มีการเสนอปีพระราชสมภพของซงแจ็นกัมโปหลายแบบ เช่น ค.ศ. 569, 593 หรือ 605[7]
พระชนมชีพช่วงต้นและภูมิหลัง
[แก้]
กล่าวกันว่าซงแจ็นกัมโปเสด็จพระราชสมภพที่ Gyama ใน Meldro ภูมิภาคทางตะวันออกเฉียงเหนือของลาซ่าสมัยใหม่ โดยเป็นพระราชโอรสของ Namri Songtsen กษัตริย์ยาร์ลุง หนังสือ The Holder of the White Lotus ระบุว่า เชื่อกันว่าพระองค์คือตัวแทนของพระอวโลกิเตศวร ซึ่งเชื่อกันว่าองค์ทะไลลามะก็เป็นตัวแทนของพระองค์เช่นกัน[8] การระบุพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิกับอวตารของพระอวโลกิเตศวรเริ่มอย่างจริงจังในประวัติศาสตร์วรรณกรรมพุทธศาสนาพื้นเมืองในคริสต์ศตวรรษที่ 11[9]
พระราชวงศ์
[แก้]
พระรมารดาของพระเจ้าซงแจ็นกัมโปได้รับการระบุเป็นสมาชิกตระกูล Tsépong (ไวลี: tshe spong, พงศาวดารทิเบต ไวลี: tshes pong) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรวมชาติทิเบต พระนามของพระนางได้รับการบันทึกหลายแบบ แต่ระบุเป็น Driza Tökar ("พระมเหสี Bri นามหญิงกะโหลกขาว", ไวลี: 'bri bza' thod dkar, พงศาวดารทิเบต ไวลี: bring ma tog dgos)[10]
พระเจ้าซงแจ็นกัมโปมีพระมเหสีหกพระองค์ ในจำนวนนี้เป็นชาวทิเบต 4 พระองค์และต่างชาติ 2 พระองค์[11] พระมเหสีที่มีฐานันดรศักดิ์สูงสุดคือ Pogong Mongza Tricham (ไวลี: pho gong mong bza' khri lcam มีอีกพระนามว่า Mongza, "พระมเหสีตระกูล Mong" ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นพระราชมารดาของ Gungsong Gungtsen[12] พระมเหสีที่มีชื่อเสียงพระองค์อื่น ได้แก่ ขุนนางหญิงจากเซี่ยตะวันตกที่รู้จักกันในนาม Minyakza ("พระมเหสีเซี่ยตะวันตก", ไวลี: mi nyag bza')[13] และขุนนางหญิงจากซังซุง พระมเหสีที่ยังเป็นที่รู้จักแม้แต่ในปัจจุบันคือพระมเหสีต่างชาติสองพระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงภริคุติแห่งเนปาล ("สตรีผู้ยิ่งใหญ่ พระมเหสีชาวเนปาล", ไวลี: bal mo bza' khri btsun ma) กับเจ้าหญิงเหวินเฉิงจากจีน ("พระมเหสีชาวจีน", ไวลี: rgya mo bza')[11] พระเจ้าซงแจ็นกัมโปเป็นผู้ให้การสนับสนุนการสร้างวัดสองแห่งเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปที่พระมเหสีชาวเนปาลและจีนพระราชทานให้ อย่างไรก็ตาม พระองค์กลับไม่สนพระทัยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทางอื่นเลย และเมื่อพระองค์สวรรคต พระองค์จึงถูกฝังตามรูปแบบและพิธีกรรมก่อนพุทธศาสนา[14]
Gungsong Gungtsen รัชทายาทของพระเจ้าซงแจ็นกัมโป สวรรคตก่อนพระราชบิดา ทำให้ Mangsong Mangtsen พระราชโอรสองค์เล็ก ขึ้นครองราชย์แทน ข้อมูลตุนหฺวางสองแห่งระบุพระราชมารดาของ Mangsong Mangtsen ต่างกัน: พงศาวดารทิเบตระบุว่าพระราชมารดามีพระนามว่า btsan mo (เจ้าหญิงเหวินเฉิง) ของพระเจ้าซงแจ็นกัมโป ส่วนลำดับวงศ์ตระกูลระบุว่าพระราชมารดาคือ Mangmoje Trikar (ไวลี: mang mo rje khri skar) มีความไม่น่าเป็นไปได้ที่พระราชมารดาจะเป็น btsan mo เนื่องจากพงศาวดารไม่ได้ใช้คำเรียกญาติที่เป็นเกียรติเรียกพระนางว่า yum (พระราชมารดา)[15][16]
ประวัติศาสตร์นิพนธ์
[แก้]บางครั้งข้อมูลเกี่ยวกับทิเบตสับสนผู้ปกครองทิเบตยุคหลังเข้ากับยุคก่อน จนผสมข้อมูลเข้าด้วยกัน เหตุการณ์และความสำเร็จบางประการที่เกิดขึ้นหลังรัชสมัยซงแจ็นกัมโปได้รับการบันทึกว่าเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เป็นจริง[17]
หมายเหตุ
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Tsepon W D Shakabha, An Advanced Political History of Tibet. Boston: Brill, 2010.
- 1 2 Shakabpa 1967, p. 25.
- 1 2 Claude Arpi, Glimpse of Tibetan History, Dharamsala: Tibetan Museum
- ↑ "སྲོང་བཙན་སྒམ་པོ།". 中国·西藏藏语言文字网. สืบค้นเมื่อ 9 April 2022.
- ↑ bsod nams rgyal mtshan 1994, pp. 161, b.449, 191 n.560.
- ↑ Beckwith 1993, p. 19 n. 31..
- ↑ Yeshe De Project 1986, pp. 222–225.
- ↑ Laird 2006.
- ↑ Dotson 2006, pp. 5–6.
- ↑ bsod nams rgyal mtshan 1994, p. 161 note 447.
- 1 2 bsod nams rgyal mtshan 1994, p. 302 note 904.
- ↑ bsod nams rgyal mtshan 1994, p. 302 note 913.
- ↑ bsod nams rgyal mtshan 1994, p. 302 note 910.
- ↑ Powers 2004, p. 36.
- ↑ bsod nams rgyal mtshan 1994, p. 200 note 562.
- ↑ Gyatso & Havnevik 2005, p. 32-34.
- ↑ Miller, Roy Andrew (1963). "Thon-mi Sambhoṭa and His Grammatical Treatises". Journal of the American Oriental Society. 83 (4): 485–502. doi:10.2307/597167. ISSN 0003-0279. JSTOR 597167.
ข้อมูล
[แก้]- Beckwith, Christopher I (1993). The Tibetan Empire in Central Asia: A History of the Struggle for Great Power Among Tibetans, Turks, Arabs, and Chinese During the Early Middle Ages. Princeton University Press. ISBN 0-691-02469-3.
- bsod nams rgyal mtshan (1994). The Mirror Illuminating the Royal Genealogies: Tibetan Buddhist Historiography : an Annotated Translation of the XIVth Century Tibetan Chronicle: RGyal-rabs Gsal- Baʼi Me-long. Otto Harrassowitz Verlag. ISBN 978-3-447-03510-1.
- Dotson, Brandon (2006), Administration and Law in the Tibetan Empire:The Section on Law and State and its Old Tibetan Antecedents (D.Phil. Thesis, Tibetan and Himalayan Studies), Oriental Institute University of Oxford
- Dudjom Rinpoche (1991). The Nyingma School of Tibetan Buddhism: Its Fundamentals and History. Wisdom Publications. ISBN 978-0-86171-734-7.
- Gyatso, Janet; Havnevik, Hanna (2005). Women in Tibet. Columbia University Press. ISBN 978-0-231-13098-1.
- Gyurme Dorje (1999). Tibet Handbook: With Bhutan. Footprint Handbooks. ISBN 978-1-900949-33-0.
- Laird, Thomas (2006). The Story of Tibet: Conversations with The Dalai Lama. Grove Press. ISBN 978-0-8021-1827-1.
- Lee, Don Y (1981). The History of Early Relations between China and Tibet: From Chiu t'ang-shu, a documentary survey. Bloomington: Eastern Press. ISBN 0-939758-00-8.
- Pelliot, Paul (1961). Histoire ancienne du Tibet. Paris: Librairie d'Amérique et d'orient.
- Powers, John (2004). History as Propaganda Tibetan exiles versus the People's Republic of China ([Repr.]. ed.). New York, N.Y.: Oxford University Press. ISBN 978-0-19-517426-7.
- Richardson, Hugh E. (1965). "How Old was Srong Brtsan Sgampo". Bulletin of Tibetology. 2 (1).
- Shakabpa, Tsepon W. D. (1967). Tibet: A Political History. New Haven and London: Yale University Press.
- Yeshe De Project (1986). Ancient Tibet: Research Materials from the Yeshe De Project. Dharma Publ. ISBN 978-0-89800-146-4.
- ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ษัฏเสน. พระพุทธศาสนาแบบทิเบต. กทม. : ศูนย์ไทยธิเบต, 2538.
แหล่งข้อมูลิื่น
[แก้]- Licchavi Kings A list of Licchavi kings and their attributed dates, from: "A Kushan-period Sculpture from the reign of Jaya Varma-, A.D. 184/185. Kathmandu, Nepal." Kashinath Tamot and Ian Alsop. See: A Kushan Period Sculpture on Asianart.com