ข้ามไปเนื้อหา

พระเจ้าซงแจ็นกัมโป

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระเจ้าซงแจ็นกัมโป
སྲོང་བཙན་སྒམ་པོ
Tsenpo
อนุสาวรีย์พระเจ้าซงแจ็นกัมโปทรงม้าที่หอสมุดซงแจ็นในเดห์ราดูน ประเทศอินเดีย
พระมหากษัตริย์ทิเบตองค์ที่ 33
ครองราชย์ค.ศ. 614 – 648
ก่อนหน้าNamri Songtsen
ถัดไปGungsong Gungtsen หรือ
Mangsong Mangtsen
ประสูติค.ศ. 601
Maizhokunggar ทิเบต (ปัจจุบันคือ Maizhokunggar County เขตปกครองตนเองทิเบต ประเทศจีน)
ซงแจ็น
สวรรคตค.ศ. 683
(ประมาณ 82 พรรษา)
Zelmogang, Penyül ทิเบต (ปัจจุบันคือLhünzhub County เขตปกครองตนเองทิเบต ประเทศจีน)
ฝังพระศพสุสาน Muri Mukpo หุบเขากษัตริย์
พระมเหสีBelmoza Tritsün (หรือ Bhrikuti จากเนปาล)
Gyamoza Münchang (หรือ เจ้าหญิงเหวินเฉิงจากจีนราชวงศ์ถัง)
Minyakza Gyelmotsün (จากตังกุต)
Litikmen (จากซังซุง)
Mongza Tricham
พระราชโอรสGungsong Gungtsen
รัชศก
คริสต์ศตวรรษที่ 6 ถึง 7
พระรัชกาลนาม
Khri Songtsen Gampo
ทิเบตསྲོང་བཙན་སྒམ་པོ་
ราชวงศ์ยาร์ลุง
พระราชบิดาNamri Songtsen
พระราชมารดาDriza Thökar
ศาสนาพุทธแบบทิเบต

พระเจ้าซงแจ็นกัมโป (ทิเบต: སྲོང་བཙན་སྒམ་པོ, ไวลี: srong btsan sgam po; ค.ศ. 601–683, ครองราชย์ ค.ศ 614-648)[1] เป็นกษัตริย์ทิเบตองค์ที่ 33 แห่งราชวงศ์ยาร์ลุงและผู้สถาปนาจักรวรรดิทิเบต[a] พระองค์เป็นหนึ่งในสามกษัตริย์ธรรมะแห่งทิเบต โดยเป็นผู้นำเข้าศาสนาพุทธสู่ทิเบต และสร้างวัดโชคังภายใต้อิทธิพลของพระราชินีภริคุติในราชวงศ์ลิจฉวีของเนปาล พระองค์ทรงรวมอาณาจักรทิเบตหลายแห่งเข้าด้วยกัน[2] พิชิตดินแดนที่ติดกับทิเบต และย้ายเมืองหลวงไปยังป้อมแดงที่ลาซ่า[3] เทินมี สัมโภฏะ เสนาบดีของพระองค์ เป็นผู้ประดิษฐ์อักษรทิเบตและภาษาทิเบตคลาสสิก ภาษาวรรณกรรมและภาษาพูดแรกของทิเบต[3]

พระราชินีผู้เป็นพระราชมารดา ได้รับการระบุเป็น Driza Thökar (ทิเบต: འབྲི་བཟའ་ཐོད་དཀར་, ไวลี: 'bri bza' thod dkar, พินอินทิเบต: Zhisa Tögar)[4] ปีพระราชสมภพและปีขึ้นครองราชย์ยังไม่ชัดเจน และประวัติศาสตร์ทิเบตโดยทั่วไปยอมรับว่าพระองค์เสด็จพระราชสมภพในปีฉลูตามปฏิทินทิเบต[5] Tsepon W. D. Shakabpa รายงานว่า พระองค์ขึ้นครองราชย์ตอนพระชนมายุ 13 พรรษาใน ค.ศ. 614 และครองราชย์จนถึงอย่างน้อยใน ค.ศ. 648[2][6]

เนื่องจากพระมหากษัตริย์ทิเบตมักขึ้นครองราชย์ตอนพระชนมายุประมาณ 13 พรรษา ทำให้มีการเสนอปีพระราชสมภพของซงแจ็นกัมโปหลายแบบ เช่น ค.ศ. 569, 593 หรือ 605[7]

พระชนมชีพช่วงต้นและภูมิหลัง

[แก้]
เนินฝังพระศพของซงแจ็นกัมโปล้อมรอบด้วยทุ่งเพาะปลูก (หุบเขา Chyongye, ค.ศ. 1949)

กล่าวกันว่าซงแจ็นกัมโปเสด็จพระราชสมภพที่ Gyama ใน Meldro ภูมิภาคทางตะวันออกเฉียงเหนือของลาซ่าสมัยใหม่ โดยเป็นพระราชโอรสของ Namri Songtsen กษัตริย์ยาร์ลุง หนังสือ The Holder of the White Lotus ระบุว่า เชื่อกันว่าพระองค์คือตัวแทนของพระอวโลกิเตศวร ซึ่งเชื่อกันว่าองค์ทะไลลามะก็เป็นตัวแทนของพระองค์เช่นกัน[8] การระบุพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิกับอวตารของพระอวโลกิเตศวรเริ่มอย่างจริงจังในประวัติศาสตร์วรรณกรรมพุทธศาสนาพื้นเมืองในคริสต์ศตวรรษที่ 11[9]

พระราชวงศ์

[แก้]
พระเจ้าซงแจ็นกัมโป (กลาง), ภริคุติเทวีแห่งเนปาล (ซ้าย) และเจ้าหญิงเหวินเฉิง (ขวา)

พระรมารดาของพระเจ้าซงแจ็นกัมโปได้รับการระบุเป็นสมาชิกตระกูล Tsépong (ไวลี: tshe spong, พงศาวดารทิเบต ไวลี: tshes pong) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรวมชาติทิเบต พระนามของพระนางได้รับการบันทึกหลายแบบ แต่ระบุเป็น Driza Tökar ("พระมเหสี Bri นามหญิงกะโหลกขาว", ไวลี: 'bri bza' thod dkar, พงศาวดารทิเบต ไวลี: bring ma tog dgos)[10]

พระเจ้าซงแจ็นกัมโปมีพระมเหสีหกพระองค์ ในจำนวนนี้เป็นชาวทิเบต 4 พระองค์และต่างชาติ 2 พระองค์[11] พระมเหสีที่มีฐานันดรศักดิ์สูงสุดคือ Pogong Mongza Tricham (ไวลี: pho gong mong bza' khri lcam มีอีกพระนามว่า Mongza, "พระมเหสีตระกูล Mong" ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นพระราชมารดาของ Gungsong Gungtsen[12] พระมเหสีที่มีชื่อเสียงพระองค์อื่น ได้แก่ ขุนนางหญิงจากเซี่ยตะวันตกที่รู้จักกันในนาม Minyakza ("พระมเหสีเซี่ยตะวันตก", ไวลี: mi nyag bza')[13] และขุนนางหญิงจากซังซุง พระมเหสีที่ยังเป็นที่รู้จักแม้แต่ในปัจจุบันคือพระมเหสีต่างชาติสองพระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงภริคุติแห่งเนปาล ("สตรีผู้ยิ่งใหญ่ พระมเหสีชาวเนปาล", ไวลี: bal mo bza' khri btsun ma) กับเจ้าหญิงเหวินเฉิงจากจีน ("พระมเหสีชาวจีน", ไวลี: rgya mo bza')[11] พระเจ้าซงแจ็นกัมโปเป็นผู้ให้การสนับสนุนการสร้างวัดสองแห่งเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปที่พระมเหสีชาวเนปาลและจีนพระราชทานให้ อย่างไรก็ตาม พระองค์กลับไม่สนพระทัยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทางอื่นเลย และเมื่อพระองค์สวรรคต พระองค์จึงถูกฝังตามรูปแบบและพิธีกรรมก่อนพุทธศาสนา[14]

Gungsong Gungtsen รัชทายาทของพระเจ้าซงแจ็นกัมโป สวรรคตก่อนพระราชบิดา ทำให้ Mangsong Mangtsen พระราชโอรสองค์เล็ก ขึ้นครองราชย์แทน ข้อมูลตุนหฺวางสองแห่งระบุพระราชมารดาของ Mangsong Mangtsen ต่างกัน: พงศาวดารทิเบตระบุว่าพระราชมารดามีพระนามว่า btsan mo (เจ้าหญิงเหวินเฉิง) ของพระเจ้าซงแจ็นกัมโป ส่วนลำดับวงศ์ตระกูลระบุว่าพระราชมารดาคือ Mangmoje Trikar (ไวลี: mang mo rje khri skar) มีความไม่น่าเป็นไปได้ที่พระราชมารดาจะเป็น btsan mo เนื่องจากพงศาวดารไม่ได้ใช้คำเรียกญาติที่เป็นเกียรติเรียกพระนางว่า yum (พระราชมารดา)[15][16]

ประวัติศาสตร์นิพนธ์

[แก้]

บางครั้งข้อมูลเกี่ยวกับทิเบตสับสนผู้ปกครองทิเบตยุคหลังเข้ากับยุคก่อน จนผสมข้อมูลเข้าด้วยกัน เหตุการณ์และความสำเร็จบางประการที่เกิดขึ้นหลังรัชสมัยซงแจ็นกัมโปได้รับการบันทึกว่าเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เป็นจริง[17]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. ทิเบต: བོད, ไวลี: bod; จีน: 吐蕃; พินอิน: Tǔbō/Tǔfán; เวด-ไจลส์: T'u3-po1/T'u3-fan2

อ้างอิง

[แก้]
  1. Tsepon W D Shakabha, An Advanced Political History of Tibet. Boston: Brill, 2010.
  2. 1 2 Shakabpa 1967, p. 25.
  3. 1 2 Claude Arpi, Glimpse of Tibetan History, Dharamsala: Tibetan Museum
  4. "སྲོང་བཙན་སྒམ་པོ།". 中国·西藏藏语言文字网. สืบค้นเมื่อ 9 April 2022.
  5. bsod nams rgyal mtshan 1994, pp. 161, b.449, 191 n.560.
  6. Beckwith 1993, p. 19 n. 31..
  7. Yeshe De Project 1986, pp. 222–225.
  8. Laird 2006.
  9. Dotson 2006, pp. 5–6.
  10. bsod nams rgyal mtshan 1994, p. 161 note 447.
  11. 1 2 bsod nams rgyal mtshan 1994, p. 302 note 904.
  12. bsod nams rgyal mtshan 1994, p. 302 note 913.
  13. bsod nams rgyal mtshan 1994, p. 302 note 910.
  14. Powers 2004, p. 36.
  15. bsod nams rgyal mtshan 1994, p. 200 note 562.
  16. Gyatso & Havnevik 2005, p. 32-34.
  17. Miller, Roy Andrew (1963). "Thon-mi Sambhoṭa and His Grammatical Treatises". Journal of the American Oriental Society. 83 (4): 485–502. doi:10.2307/597167. ISSN 0003-0279. JSTOR 597167.

ข้อมูล

[แก้]

แหล่งข้อมูลิื่น

[แก้]