ผู้ใช้:ZilentFyld/สำรอง/ณชก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ไม่รู้ว่าหน้านี้มีปัญหาอะไรมากมั้ย แต่ที่รู้คือข้อมูลค่อนข้างยาก การลบเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย (ถึงแม้ว่าอาจจะไม่โดนลบ) จึงสำรองไว้ก่อน ณชนก รัฒนทารส หรือที่คนในวงการธุรกิจอาหาร ธุรกิจบันเทิง และแวดวงสังคมชั้นสูง รู้จักกันดีในนาม คุณกอล์ฟ แต่นอกจากชื่อเล่นที่แท้จริงแล้ว เขายังมีฉายาที่มักใช้เรียกตนเองเสมอๆ ว่า “Pirate G ” ซี่งแปลความหมายได้ตรงตัวว่า นาย G.โจรสลัด (ย่อมาจากคำว่า Golf นั่นเอง) ณชกใช้ชีวิตในช่วงต้นของชีวิตที่ต่างประเทศ จึงทำให้สั่งสมความเป็นตะวันตกมามากพอควร สายงานแรกที่เริ่มทำคือ งานด้านออกแบบ เพราะเรียนจบทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์มาโดยตรง งานออกแบบของเขามักจะโดดเด่นกว่าใครในสมัยนั้น เขาได้รับความไว้วางใจให้ดูแลเรื่องออกแบบและตกแต่งให้กับอาคาร ห้างสรรพสินค้า ห้องเสื้อ และบ้านพักส่วนตัวของคนมีชื่อเสียง ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ก็ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จัก และได้มีโอกาสมาชิมงานด้านวงการบันเทิงอีกด้วย คุณกอล์ฟคือผู้ที่หลงไหลในการท่องเที่ยว สามารถเที่ยวได้ทุกระดับ จากราคาถูกยันราคาแพงเสียดฟ้า และดื่มด่ำไปกับการทดลองทานอาหารที่หลากหลายจากทั่วทุกมุมโลก ด้วยความสนใจดังกล่าว ทำให้ทุกวันนี้เขาเป็นเจ้าของ ร้านอาหารทั้งไทย อิตาเลี่ยน และญี่ปุ่น หลายสาขา นับจนกระทั่งปัจจุบัน เขาทำธุรกิจด้านร้านอาหารมายาวนานกว่า 21 ปีเลยทีเดียว นอกเหนือจากนี้ ณชกถือว่าเป็น Celebrity แถวหน้าของเมืองไทย ที่จะปรากฏตัวในทุกงานพรหมแดง ควงคู่กับภรรยา คือ ศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธ์

ชีวิตวัยเด็ก[แก้]

ณชกเกิดที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2508 เข้าศึกษาที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ จนถึงระดับประถมศึกษาปีที่ 7 ซึ่งถือเป็นปีสุดท้ายที่ประเทศไทยมีการจัดการเรียนการสอนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 ก่อนที่การศึกษาไทยจะเปลี่ยนมาเหมือนในปัจจุบัน จากนั้นเขาได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ Stroke Brunswick ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา 10 ปี และจึงได้ตัดสินใจย้ายประเทศไปสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาด้านสถาปัตยกรรม ที่ Syracuse University เขาเล่าว่าชีวิตในวัยเรียนถือว่าเป็นความสนุกและท้าทาย ช่วงนี้เองที่เขาได้รู้จักการใช้ชีวิต เขาเป็นคนมีความสามารถด้านการออกแบบ แต่กลับเบื่อหน่ายที่จะเข้าเรียน เขามักจะเรียนรู้ด้วยตนเองมากกกว่าที่จะนั่งอ่านตำราในห้องสมุด อีกทั้งคณะสถาปัตย์กรรมศาสตร์ก็มีงานเยอะมาก จึงใช้เป็นข้ออ้างได้ดีเวลาที่จะไม่เข้าเรียน ซึ่งความยากของการเรียนอยู่ที่ปีสุดท้าย อาจารย์ได้สั่งงาน Project แล้วคัดเลือกผลงานการออกแบบนั้นไปประกวดระดับประเทศ ณชกจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำงานและเข้าเรียน ปรากฏว่า ผลงานการออกแบบของเขาได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัย ไปแข่งขันต่อที่ New York ตรงจุดนี้เองที่เป็นการจุดประกายว่า “เขามีความสามารถด้านการออกแบบ ” ทำให้เขาทุ่มเทอย่างหนักเพื่อแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ แล้วผลก็ออกมาเกิดกว่าที่คาดเดา เพราะทีมของคุณกอล์ฟ ชนะเลิศ ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ เขาได้แบ่งให้มหาวทยาลัย 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอีก 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐนั้นใช้ซื้อของที่อยากได้ เขาจึงใช้เงิน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐนั้น ซื้อเสื้อคลุมจาก GIVENCHY และเสื้อนั้นก็ถูกแขวนในตู้เสี้อผ้าจนถึงปัจจุบัน

ช่วงทำงาน 1980 - 1997[แก้]

ณชกเริ่มทำงานตั้งแต่ศึกษาจบจากสหรัฐอเมริกา เมื่อกลับสู่ประเทศไทยก็ได้มีโอกาสถูกเรียกใช้งานจากบรรดาผู้ใหญ่ที่สนิทสนม เขากล่าวว่าเขาเป็นคนมีหลายอาชีพ เริ่มจากงานด้านการออกแบบ เขารับออกแบบงานชิ้นแรกกับบริษัท Tandem Architect คือ Pub and Restaurant ที่เกาะภูเก็ต เป็นผับขนาดใหญ่ โดยเขาออกแบบเป็นรูปเรือ Titanic จากนั้นก็ได้ทดลองงานที่มีสเกลงานที่ใหญ่โตขึ้น เช่น ออกแบบร้านเสื้อผ้าระดับสูง Nagara ออกแบบร้านอาหาร Greyhound Boutique เป็นต้น จนกระทั่งได้มีโอกาสร่วมกับ อาจารย์ กฤษดา อรุณวงศ์ ณ อยุธยา เปิดบริษัทเกี่ยวกับด้านการออกแบบอย่างจริงจัง ทำให้คุณกอล์ฟได้ทำงานที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น นั่นคือ การออกแบบห้างสรรพสินค้า ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปในช่วงดังกล่าว ห้างสรรพสินค้าในประเทศไทยยังไม่ค่อยได้ให้ความใส่ใจในการวางแผนผังภายในของห้าง ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาเป็นเพียงตึก ซึ่งงานออกแบบห้างสรรพสินค้านั้น ถือว่าเป็นงานที่ยากยิ่ง เพราะต้องคำนึงถึงทิศทาง และอุปนิสัยการเดินของลูกค้า การออกแบบจึงต้องมีมุมมองที่เอื้อต่อความสะดวกสบาย ความหรูหรา และตอบสนองทางด้านอารมณ์ของลูกค้า เพื่อที่จะทำให้ลูกค้าอยากจับจ่ายใช้สอยเมื่อมาใช้บริการ ผลงานของณชก คือ การออกแบบห้างสรรพสินค้าชั้นนำของเมืองไทย เช่น เกสรพลาซ่า (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น เกสรวิลเลจ) , เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลสีลม (ชื่อเดิม) และออกแบบห้างเอ็มโพเรียม แม้ว่าจะมีความสามารถทางด้านการออกแบบ แต่เชาเลือกที่จะรับงานออกแบบบ้านพักอาศัยให้กับลูกค้าเพียงแค่ 2 ท่านเท่านั้น เพราะเขากล่าวว่า งานบ้านพักนั้นเป็นเรื่องของความทันสมัย ลูกค้าที่ชอบการออกแบบที่แปลกแหวกแนวเท่านั้น ถึงจะเข้าใจ Design ที่เขาออกแบบ มีหลายครั้งที่หลายคนจะตกใจกับการออกแบบที่เขาทำขึ้น ด้วยเหตุนี้เลยไม่นิยมที่จะรับงานออกแบบบ้านพักให้ใครเท่าใดนัก คนที่จะชอบการออกแบบของเขาจะต้องเป็นคนที่มีหัวคิดทันสมัย และหนึ่งในนั้นก็คือ บ้านของคุณ เปรมชัย กรรณสูตร นั่นเอง

ช่วงพลิกผันทางอาชีพ พ.ศ.2540[แก้]

การเข้าไปออกแบบให้กับเอ็มโพเรียม เป็นความภาคภูมิใจหนึ่งของณชก เพราะห้างสรรพสินค้าในสมัยนั้น มีเพียงที่นี่แห่งเดียวที่เป็นสุดยอดห้างสรรพสินค้าที่หรูหรา ซึ่งเอ็มโพเรียม ได้ฉีกกฏเดิมๆของห้างที่มักจะมี Food Court ไว้บริการลูกค้า ถ้าจะทานอาหารก็ต้องแลกคูปองแทนเงินสด แต่สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือ ห้างแห่งนี้ มีร้านอาหารที่ไม่ใช่ Food Court อยู่ในห้าง จึงทำให้เป็นที่สนใจของคนไทย และได้เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยมาจนปัจจุบัน ซึ่งจุดนี้เอง ก็เป็นจุดเปลี่ยนทางอาชีพของณชก จากสถาปนิกไฟแรงผลงานระดับชาติ มาสู่เจ้าของร้านอาหารที่ห้างเอ็มโพเรียม ณชกถือว่าเป็นความบังเอิญที่สุดของชีวิตที่ได้มาทำร้านอาหารโดยที่เขาไม่มีประสบการณ์มาก่อนเลย มีพียงแค่ความชอบ จึงได้เริ่มต้นร้านอาหารแรก ในนาม กัลปพฤกษ์ ในปี พ.ศ.2540 ซึ่งกิจการในวันแรกที่เปิดบริการเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เพราะการเปิดร้านอาหารเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา ณชกเล่าว่า ไม่คาดคิดว่ารสนิยมคนไทยจะเปลี่ยนมาทานอาหารในห้างมากมายขนาดนี้ ทำให้วันแรกร้านอาหารไม่มีพื้นที่พอกับปริมาณของลูกค้า เขาจึงตัดสินใจแบกรับเรื่องความไม่พร้อม โดยการให้ลูกค้าทานฟรี โดยรายได้ในวันแรกที่สามารถเก็บเงินจากลูกค้าได้บางส่วน เป็นเงินเพียง 6,000 บาท พร้อมกับทำหน้าที่เสริฟและกราบสวัสดีลูกค้าทุกท่านที่มาอุดหนุนพร้อมทั้งกล่าวขอโทษในความไม่พร้อม และจากจุดนี้เองที่ทำให้เขาเริ่มเห็นลู่ทางในธุรกิจอาหาร และรับงานด้านการออกแบบน้อยลง

ทำธุรกิจอาหาร พ.ศ.2541 – ปัจจุบัน[แก้]

ความสำเร็จจากร้านอาหารกัลปพฤกษ์ ทำให้ณชกต้องทำงานหนักขึ้นเพราะ ยังถือว่าธุรกิจอาหารเป็นเรื่องใหม่และมีเรื่องให้ต้องพัฒนาอีกมากมาย แต่แล้วก็ได้เกิดความท้าทายใหม่ ระหว่างที่เดินตรวจห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียมในช่วงที่เพิ่งเปิดบริการ บังเอิญว่าที่ชั้น 1 หัวมุมของอาคาร มีพื้นที่ว่างอยู่ เพราะร้านเสื้อผ้ายี่ห้อหนึ่งได้หมดสัญญาไป จึงเกิดความคิดที่จะทำร้านอาหารขึ้นมา ทั้งๆที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่อับสายตาพอสมควร แต่ก็คิดแล้วว่าจะลองใช้ทักษะทางด้านการออกแบบให้เป็นประโยชน์ ปรับปรุงพื้นที่ที่อับสายตา ให้เป็นพื้นที่ที่น่าค้นหาได้ ที่หัวมุมชั้น 1 ของห้างเอ็มโพเรียมจึงมีร้านอาหารไทยขนาดใหญ่เต็มรูปแบบ ชื่อเดียวกันกับสาขาแรก คือ “ กัลปพฤกษ์ on 1” ซึ่งสามารถรองรับลูกค้าได้มากกว่า อาหารหลากหลายกว่า และเดินทางสะดวกเพราะอยู่ที่ชั้น 1 ของห้างสรรพสินค้า จุดนี้เองจึงเป็นเครื่องตอกย้ำความสำเร็จของร้านอาหาร เพราะ มีร้านกัลปพฤกษ์ถึง 2 ร้าน ในห้างสรรพสินค้าเดียว ปริมาณลูกค้าที่ติดใจในรสชาติของอาหารจึงมีมากขึ้น ต้องมีการจองคิวล่วงหน้า ซึ่งมีคิวเต็มทุกวันไปตลอด 2-3 ปี ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีของการทำธุรกิจร้านอาหาร โดยเมนูที่จำหน่ายมาอย่างยาววนานที่สุดก็คือ “ โรตีแกงเนื้อ” ซึ่งแม้ว่ากัลปพฤกษ์ จะเปลี่ยนชื่อมาเป็น “ชิงช้าชาลี” แล้วในปัจจุบัน แต่เมนูแรกอย่าง "โรตีแกงเนื้อ" ก็ยังมีเสริฟอยู่ จึงถือว่าเป็นเมนูอาหารที่มีอายุยาวนานที่สุดกว่า 21 ปี โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงสูตร

จากนั้น ในปี พ.ศ.2547 ณชกได้ทดลองทำ Bar and Bistro สไตล์ฝรั่งเศษ ในนาม “ Extase ” ในโครงการ H1 Community Mall ทองหล่อ ซึ่งเน้นไปที่อาหารแบบฝรั่งเศษตอนใต้ ใช้วัตถุดิบที่ดีเยี่ยมในการปรุงอาหาร อีกทั้งมีจุดเด่นในเรื่องของเครื่องดื่มสไตล์ Cocktail ซึ่งที่แห่งนี้ ได้เป็นห้องทดลองใหม่ให้ณชกรู้จักกลุ่มลูกค้าที่นิยมสังสรรค์ในช่วงค่ำคืน ประกอบกับจังหวะที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตคนทำธุรกิจอาหารก็ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เพราะในช่วงเดียวกันมีการเปิดประมูลพื้นที่ทำเลทองย่านราชประสงค์ ซึ่งที่แห่งนี้เองจึงได้เป็นต้นกำเนิดของร้านอาหารในตำนานอย่าง "Fallabella"

การประมูลพื้นที่ส่วนหนึ่งของราชกรีฑาสโมสรหรือ The Royal Bangkok Sports Club ได้เริ่มขึ้นหลังจากที่เปิดร้าน "Extase" ได้ไม่กี่เดือน ซึ่งก็ปรากฏว่าทีมงานของณชกชนะการประมูล จึงได้มีโอกาสเข้าไปใช้พื้นที่ในส่วนนี้ทำร้านอาหารที่เป็นตำนานในนาม "Fallabella" ความคิดแรกเริ่มในการทำร้าน "Fallabella" ซึ่งชื่อนี้ มีที่มาที่ไป คือ ต้องการทำร้านอาหารอิตาเลี่ยน แล้วร้านก็อยู่ในพื้นที่ของสนามม้า จึงได้ค้นหาคำศัพท์ ภาษาอิตาเลี่ยนที่แปลว่า "ม้า" แล้วก็ประทับใจในคำว่า "Fallabella" ที่แปลว่า "ม้าแคระ" และถ้าทำการแยกความหมายถึงรากศัพท์ ก็จะพบความหมายที่น่าสนใจว่า "To be beautiful" ด้วยความลงตัวนี้ จึงตัดสินใจเอาชื่อนี้เป็นชื่อของร้านใหม่นี้ ณชกกล่าวว่า ความคิดแรกเริ่มคือ อยากให้เมืองไทยมีร้านอาหารที่สามารถนั่งตากอากาศด้านนอกได้ (outdoor) ซึ่งในสมัยนั้นที่เมืองไทยยังไม่เป็นที่นิยม อีกทั้งในกรุงเทพฯ อากาศไม่ค่อยเป็นใจ ทั้งยังมีปัญหาด้านมลภาวะทางอากาศ แต่พื้นที่นี้ก็มีข้อดีตรงที่ เป็นย่านชุมชนที่คนไม่พลุกพล่าน และติดกับสนามม้าที่มีต้นไม้มากมาย ทำให้ความคิดที่จะทำร้านอาหารแล้วมีพื้นที่นั่งด้านนอกเป็นจริงขึ้นมา แล้วความคิดดังกล่าวก็ได้ผลเกิดคาด ผู้คนที่มาที่นี่ ล้วนอยากนั่งด้านนอก ทำให้พื้นที่ด้านในที่เปิดแอร์นั้นไม่มีคนนั่ง จึงได้ทำการขยายพื้นที่ด้านนอกให้กว้างออกไปอีก จึงทำให้ถ้าพูดถึง "Fallabella" ทุกคนจะนึกถึง ร้านอาหาร Outdoor ที่เก๋ที่สุดแห่งยุค แต่ไม่นานก้เริ่มมีปัญหาในเรื่องพื้นที่ Outdoor เพราะ เมืองไทยมีหน้าฝนที่ยาวนาน ทำให้พื้นที่ด้านนอกปิดบริการบ่อยครั้ง เพื่อแก้ปัญหาและคง Concept เดิมของร้าน "Fallabella" จึงตั้งเต๊นท์สีขาวขนาดมหึมา กลายเป็นพื้นที่ semi-outdoor ที่ลูกค้าสามารถนั่งด้านนอกได้ตลอดทั้งวัน และไม่มีปัญหาด้านฝนอีกต่อไป ชื่อเสียงของ "Fallabella" ไม่ได้โด่งดังเฉพาะในหมู่วัยรุ่นและคนกลางคืนเท่านั้น แต่มีชื่อเสียงไปไกลถึงต่างประเทศ เพราะกระแสปากต่อปากจึงมีการ จัดงาน Party สังสรรค์ทุกรูปแบบ รวมทั้งใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานก็มีความนิยมในสถานที่แห่งนี้ มีผลต่อยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะโลกของคนกลางคืนกว่าครึ่ง เป็นนักดื่มทั้งนั้น ที่แห่งนี้จึงมีสถิติการจำหน่าย Sparkling Wine Procesco สูงสุดตลอดกาล เป็นพื้นที่ทางการตลาดของเครื่องดื่ม Grey Goose รวมทั้งเป็นพื้นที่เปิดตัวของเครื่องดื่มสำหรับนักเที่ยวกลางคืนอยู่สม่ำเสมอ จนใครๆก็ติดภาพของ "Fallabella" เป็นสุดยอดของ Pub ยิ่งไปกว่านั้น "Fallabella" ยังเป็นร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน ที่เลือกใช้วัตถุดิบแบบอิตาเลี่ยนแท้ๆ มาประกอบอาหาร จึงทำให้ร้านอาหารแห่งนี้ได้รับรางวัลจากนักชิมและสถาบันต่างๆมากมาย รวมทั้งรางวัลจากสถานฑูต ให้ "Fallabella" เป็น Top 5 ของอาหารอิตาเลี่ยนในกรุงเทพมหานคร ความนิยมของ "Fallabella" นั้น ยาวนานร่วม 10 ปี ผ่านมรสุมทางการเมืองมาหลายรอบ ถ้ายังจำเหตุการณ์ทางการเมืองที่ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง ปิดสี่แยกราชประสงค์ และก่อการจลาจลกลางกรุงเทพฯ เหตุการณ์ดังกล่าวมีผลกระทบต่อร้านแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีหลายช่วงที่ต้องปิดร้านนานนับเดือนเพื่อรอให้สถานการณ์ทางการเมืองทุเลาลงก่อน จนกระทั้งในปี 2014 ก็ถึงเวลาที่สัญญาเช่าพื้นที่หมดลง ทำให้ สุดยอดตำนานของ Pub เมืองไทยจบสิ้นลง