ผู้ใช้:Hay game/กระบะทราย
เกณฑ์มาตรฐานการบริหารจัดการภาครัฐ ในปี พ.ศ. 2546 – 2550 มีการพัฒนาความสามารถในการทำงานของส่วนต่างๆของราชการให้ดีขึ้น โดยคำนึงถึงการจัดการบ้านเมืองที่ดี ต่อมาได้มีการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของส่วนราชการ โดยสำนักงาน ก.พ.ร.ที่ได้ร่วมมือกับสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ตาม พ.ร.ฎ.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ที่คาดหวังให้ประชาชนได้รับประโยชน์รวมไปถึงการอำนวยความสะดวกโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐตามวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และกำหนดเกณฑ์การวัดผลการบริหารจัดการภาครัฐ ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่มีคุณภาพสูง โดยที่มาของเกณฑ์อยู่ระหว่างคริสต์ศักราชที่ 1980-1987 ประเทศที่เป็นคู่แข่งกับสหรัฐอเมริกาได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่องทำให้สหรัฐอเมริกาได้เผชิญกับปัญหาความสามารถในทางธุรกิจ สหรัฐอเมริกาจึงต้องการสนับสนุนด้านการบริหารจัดการให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น จึงสร้างเกณฑ์แห่งชาติที่มีชื่อว่า Malcolm Baldrige National Quality Award (MBNQA) ขึ้น เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐนำไปใช้ประโยชน์เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานสู่ระดับสากลรวมไปถึงการใช้เป็นแนวทางในการประเมินตนเองและเป็นพื้นฐานการติดตามรวมถึงประเมินผลการบริหารจัดการของหน่วยงานของรัฐ ในปัจจุบัน Malcolm Baldrige National Quality Award (MBNQA) ได้รับความเชื่อมั่นว่าเป็นเกณฑ์ที่มีคุณภาพที่สุด โดยเกณฑ์นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้กับทุกระดับชั้น ทุกประเภท ทุกองค์การไม่ว่าจะภาครัฐรวมไปถึงภาคเอกชน เป็นสาเหตุให้ประเทศต่างๆนำไปประยุกต์เป็นเกณฑ์รางวัลของแต่ละประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วยที่นำมาประยุกต์ใช้ให้ตรงกับบริบทของราชการไทยโดยมีชื่อเกณฑ์ว่า Prime Minister Quality Award (PMQA) ซึ่งมีลักษณะสำคัญของเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐโดยมีลักษณะสำคัญของเกณฑ์คือการมุ่งเน้นให้ส่วนราชการดำเนินงานอย่างมีคุณภาพ มีประเด็นที่สำคัญร่วมกัน ให้ได้ผลลัพธ์ที่มากกว่าวิธีปฏิบัติ เครื่องมือ หรือโครงสร้างส่วนราชการ มีการสนับสนุนเชิงระบบเพื่อให้เป้าหมายดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน อันนำไปสู่การแก้ไขในทุกด้าน ใช้กลยุทธ์ ระบบการบริหารการจัดการ และส่วนราชการโดยมีวิธีการใช้เกณฑ์หลักเป็น 2 ขั้นตอนคือ
ขั้นตอนแรก เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ PMQA โดยการวัดว่าสามารถตอบคำถามได้มากน้อยเท่าใดจากการศึกษาลักษณะสำคัญขององค์การ โดยการศึกษาหลักฐานพื้นฐานและที่มาของคำถามต่างๆหรือศึกษาค่านิยมหลัก 11 ข้อ โดยได้ว่า ต้องการกำหนดทิศทาง สร้างแรงผลักดักในการทำงาน อย่างมีวิสัยทัศน์ ให้ความสำคัญ กับประชาชนผู้ซึ่งได้รับและเสียผลประโยชน์ให้เกิดความพอใจในคุณภาพการบริการ การให้ความสำคัญเป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้บุคคลและเครือข่ายมีความร่วมมือกันจากทั้งภายในและภายนอก ส่วนราชการที่ดีส่งผลให้มีการพัฒนา และขีดความสามารถที่เพิ่มขึ้นทำให้เข้ากับสภาวะปัจจุบันและ สนับสนุนให้เกิดการแก้ไขบริการ กระบวนการ และการปฏิบัติของส่วนราชการ ตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลสารสนเทศอย่างแท้จริง ผู้บริหารของส่วนราชการมีจริยธรรม มีความคิดที่จะรับผิดชอบต่อสาธารณะ และปฏิบัติงานโดยมุ่งเน้นผลลัพธ์เป็นสำคัญ ซึ่งส่วนราชการจะพิจารณาว่าควรจะปรับปรุงในเรื่องได้บ้างจากจำนวนของค่านิยมหลักเหล่านี้ มองความเชื่อมโยงของระบบการบริหารจัดการเพื่อการดำเนินงานภาพรวมจากการตรวจสอบชื่อหมวด หัวข้อ ประเด็น เนื่องจากส่วนราชการจะตรวจสอบว่าการดำเนินงานและการวัดผลนั้นได้คำนึงถึงมิติข้างต้นหรือไม่
ขั้นตอนที่สอง ใช้เกณฑ์เพื่อการประเมินองค์การ ตอบคำถามในลักษณะสำคัญขององค์การที่เก็บรวบรวมมาให้ครบถ้วนที่สุดเพื่อใช้ประเมินการดำเนินงานของทั้ง 7 หมวด ดังนี้
1. การนำองค์การ
2. การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์
3. ความสำคัญต่อผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
4. การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้
5. การมุ่งเน้นบุคลากร
6. การมุ่งเน้นระบบปฏิบัติการ
7. ผลลัพธ์การดำเนินการ
โดยอาศัยการกำหนดขอบเขตของการประเมินว่าครอบคุลมทั้งส่วนราชการ หน่วยงาน พื้นที่ย่อย แต่งตั้งกรรมการเพื่อรวบรวมข้อมูลในการตอบคำถาม รวมถึงผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องในหมวด 7 การประเมินข้อมูลที่รวบรวมได้มาเปรียบเทียบกับเกณฑ์การประเมินในการให้คะแนนเพื่อหาข้อบกพร่องในการดำเนินงานและการโยงสู่ผลลัพธ์และสรุปผลการประเมินและแจ้งให้ผู้บริหารส่วนราชการทราบถึงผลการประเมิน รวมไปถึงการนำเอาผลการประเมินและโอกาสในการปรับปรุงที่มาจากการร่วมมือของผู้บริหารส่วนราชการกับกรรมการพิจารณาไปจัดทำเป็นแผนเพื่อพัฒนาส่วนราชการต่อไป จากข้อวิธีการใช้เกณฑ์ข้างต้นจะเห็นได้ว่าส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของวิธีการใช้เกณฑ์ก็คือค่านิยมและหลักการ ที่ซึ่งเป็นที่มาของคำถามต่างๆในเกณฑ์ที่นำไปใช้ในการประเมินการปฏิบัติงานขององค์การหรือหมวดต่างๆและเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ส่วนราชการควรใช้การประเมินเพื่อเสริมสร้างจุดแข็งและใช้โอกาสในการแก้ไขในการพัฒนาและสร้างความมั่นคงให้กับส่วนราชการ และเมื่อส่วนราชการพร้อมอาจยื่นเอกสารขอรับการประเมินเพื่อขอรับรางวัลจาก ก.พ.ร. หรือหน่วยงานภายนอกต่อไป ซึ่งเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐมีโครงสร้าง มีโครงสร้างความสัมพันธ์ของระบบที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ ประกอบด้วยเกณฑ์ 6 หมวด ( การนำองค์การ , การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ , การให้ความสำคัญกับผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย , การวัดและวิเคราะห์อีกทั้งการจัดการความรู้ , การมุ่งเน้นบุคลากร , การมุ่งเน้นระบบปฏิบัติการ ) ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินการต่อในหมวด 7 ( ผลลัพธ์การดำเนินการ ) ซึ่งสามารถแบ่งตามรูปแบบการปฏิบัติการเป็นกลุ่มย่อยได้ดังนี้ กลุ่มแรก ลักษณะสำคัญขององค์การ ชี้ให้เห็นถึงลักษณะและอธิบายวิธีการปฏิบัติของส่วนราชการซึ่งเป็นทางที่ครอบคลุมระบบการจัดการผลการดำเนินการโดยรวม กลุ่มที่สอง การนำองค์การ ( การนำองค์การ , การวางแผนยุทธศาสตร์ และการมุ่งเน้นประชาชนผู้ซึ่งได้รับผลประโยชน์และเสียผลประโยชน์ ) มุ่งเน้นความสำคัญว่าการนำองค์การโดยใช้ยุทธศาสตร์เป็นสิ่งจำเป็น ผู้รับบริการ และผู้มีส่วนได้ประโยชน์และส่วนเสียเสียประโยชน์ โดยผู้บริหารของส่วนราชการต้องกำหนดแนวคิดในการสร้างความยั่งยืนให้ส่วนราชการ กลุ่มที่สาม ผลลัพธ์ ประกอบด้วย ( การเน้นบุคลากร การเน้นระบบการปฏิบัติ และผลลัพธ์การดำเนินการ ) กลุ่มที่สี่ พื้นฐานของระบบ ( การวัดการวิเคราะห์และการจัดการความรู้ ) มีความสำคัญและทำให้ส่วนราชการมีการจัดการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพและมีการแก้ไขผลการดำเนินการและเพิ่มความสามารถการแข่งขันโดนใช้ข้อมูลจริงและใช้ความรู้ จากที่กล่าวมาข้างต้น เกณฑ์ PMQA ทั้ง 7 หมวดมีหัวข้อและประเด็นซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นสามกลุ่มตามประเภทของข้อมูลที่ส่วนราชการต้องอธิบายทำให้เกิดลำดับโครงสร้างคำถามคือ ลักษณะสำคัญขององค์การ หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ และหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์
เกณฑ์คะแนนของคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ โดยให้คะแนนตามหมวดรวมกันทั้งหมด 7 หมวดนั้นเท่ากับ 1000 คะแนน
โดยสามารถแบ่งคะแนนตามแต่ละหมวดและหัวข้อได้ดังนี้
หมวดที่ 1 การนำองค์การ มี 120 คะแนน ประกอบด้วย การนำองค์การโดยผู้บริหารองส่วนราชการ 70 คะแนน การกำกับดูแลองค์การและความรับผิดชอบต่อสังคม 50 คะแนน
หมวดที่ 2 การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ มี 80 คะแนน ประกอบด้วย การจัดทำยุทธศาสตร์ 40 คะแนน การนำยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติ 40 คะแนน
หมวดที่ 3 การให้ความสำคัญกับผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มี 110 คะแนน ประกอยด้วย สารสนเทศผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 50 คะแนน การสร้างความผูกพัน 60 คะแนน ,
หมวดที่ 4 การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการคามรู้ มี 100 คะแนน ประกอบด้วย การวัด การวิเคราะห์ และการปรับปรุงผลการดำเนินการของส่วนราชการ 50 คะแนน การจัดการความรู้ สารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศ 50 คะแนน
หมวดที่ 5 การมุ่งเน้นบุคลากร มี 90 คะแนน ประกอบด้วย สภาพแวดล้อมด้านบุคลากร 40 คะแนน ความผูกพันของบุคลากร 50 คะแนน
หมวดที่ 6 การมุ่งเน้นระบบการปฏิบัติการ มี 100 คะแนน ประกอบด้วย กระบวนการทำงาน 60 คะแนน ประสิทฺธิผลการปฏิบัติการ 40 คะแนน
หมวดที่ 7 ผลลัพธ์การดำเนินการ มี 400 คะแนน ประกอบด้วย ผลลัพธ์ด้านประสิทธิผลและการบรรลุพันธกิจ 60 คะแนน ผลลัพธ์ด้านให้ความสำคัญผู้รับบริการหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 70 คะแนน ผลลัพธ์ด้านการมุ่งเน้นบุคลากร 70 คะแนน ผลลัพธ์ด้านการนำองค์การและการกำกับดูแล 70 คะแนน ผลลัพธ์ด้านงบประมาณ การเงิน และการเติบโต 60 คะแนน ผลลัพธ์ด้านประสิทฺผลของกระบวนการและการจัดการห่วงโซ่อุปทาน 70 คะแนน
เกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ มีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ ให้ความสำคัญกับข้อกำหนดที่อาจจะมีผลต่อการดำเนินการและผลลัพธ์ที่สำคัญในส่วนของราชการ หากพบว่ามีสารสนเทศที่ขัดแย้ง ไม่เพียงพอ หรือสูญเสียไป ส่วนราชการสามารถนำมาเป็นประเด็นเพื่อที่จะนำไปวางแผนปรับปรุงในระบบงานได้และสุดท้ายองค์การสามารถกำหนดบริบทในการเนื้อหาชองคำตอบต่างๆ ในหมวดที่ 1 – 7
อ้างอิง[แก้]
- ↑ รศ.รัชต์วรรณ กาญจนปัญญาคม, เกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ, 21 กุมภาพันธ์ 2560
- ↑ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ2560, เกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ พ.ศ.2558, 21 กุมภาพันธ์ 2560
- ↑ สำนักเลขธิการวุฒิสภา, การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ, 23 เมษายน 2560
- ↑ น.อ.รศ.นเรศ เพ็ชรนิน, การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ, 25 เมษายน 2560
- ↑ บุญยเกียรติ การะเวกพันธุ์, การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ, 26 เมษายน 2560