ข้ามไปเนื้อหา

นาฬิกาหกชั่วโมง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

นาฬิกาหกชั่วโมง เป็นระบบการนับเวลาแต่โบราณซึ่งใช้ในภาษาไทยและภาษาลาว ควบคู่กันไปกับนาฬิกายี่สิบสี่ชั่วโมงที่ใช้อย่างเป็นทางการ เช่นเดียวกับระบบอื่นที่ใช้กันทั่วไป ระบบดังกล่าวนับว่าหนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ในหนึ่งวันจะแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ส่วนละหกชั่วโมง

การเรียก

[แก้]

วิธีนับเวลาตามประเพณี แบ่งเป็น 3 ช่วงหลัก คือ โมง ทุ่ม และตี

  • โมง หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีในเวลากลางวัน ถ้าเป็นเวลาก่อนเที่ยงวัน ตั้งแต่ 7 นาฬิกา ถึง 11 นาฬิกา เรียกว่า โมงเช้า ถึง 5 โมงเช้า ถ้าเป็น 12 นาฬิกา นิยมเรียกว่า เที่ยงวัน ถ้าหลังเที่ยงวัน ตั้งแต่ 13 นาฬิกา ถึง 17 นาฬิกา เรียกว่า บ่ายโมง ถึง บ่าย 5 โมง ถ้า 18 นาฬิกา นิยมเรียกว่า 6 โมงเย็น หรือ ยํ่าคํ่า
  • ทุ่ม หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีสำหรับ 6 ชั่วโมงแรกของกลางคืน ตั้งแต่ 19 นาฬิกา ถึง 24 นาฬิกา เรียกว่า 1 ทุ่ม ถึง 6 ทุ่ม แต่ 6 ทุ่ม นิยมเรียกว่า สองยาม หรือ เที่ยงคืน และจะเรียกไปตามลำดับตัวเลข 7 ทุ่ม 8 ทุ่ม 9 ทุ่มเป็นต้น
  • "ตี หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีในเวลากลางคืน หลังเที่ยงคืน ตั้งแต่ 1 นาฬิกา ถึง 6 นาฬิกา เรียกว่า ตี 1 ถึง ตี 6 แต่ตี 6 นิยมเรียกว่า ยํ่ารุ่ง [1]


ชื่อเรียกต่าง ๆ เหล่านี้มาจากเสียงของการบอกเวลาแต่โบราณ ซึ่งใช้ฆ้องในการบอกโมงยามในเวลากลางวัน และใช้กลองในเวลากลางคืน คำว่า "โมง" อันเป็นเสียงเลียนธรรมชาติของเสียงฆ้อง และ "ทุ่ม" ซึ่งเป็นการเลียนเสียงกลอง ตี เป็นคำกริยาสามารถหมายถึงทำให้เกิดเสียง [2] ส่วน "เช้า" และ "บ่าย" เป็นคำช่วยแบ่งครึ่งช่วงกลางวัน

ชั่วโมงที่หกของแต่ละส่วนนั้นเรียกโดยใช้คำแตกต่างกัน ชั่วโมงที่หกที่ตรงกับรุ่งเช้านั้นจะเรียกว่า ย่ำรุ่ง ชั่วโมงที่หกในช่วงเย็นนั้นจะเรียกว่า ย่ำค่ำ ซึ่งทั้งสองคำหมายถึงการตีฆ้องหรือกลองเป็นลำดับเพื่อบอกให้ทราบถึงการเปลี่ยนช่วงเวลา (ย่ำ) ส่วน รุ่ง และ ค่ำ หมายถึง ช่วงเช้าและช่วงเย็น ที่ใช้แสดงถึงเวลา ช่วงที่อยู่กลางกลางวันและกลางคืนเรียกว่า เที่ยงวัน และ เที่ยงคืน ตามลำดับ

เที่ยงคืนยังเรียกว่า สองยาม ซึ่งหมายความว่าเป็นจุดสิ้นสุดของการนับยามช่วงที่สอง นอกเหนือจากนี้ หกทุ่ม และ ตีหก ยังอาจใช้หมายถึงเที่ยงคืนหรือหกโมงเช้า

ประวัติ

[แก้]

ระบบนี้ใช้กันมาในบางรูปแบบตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ได้รับการจัดให้เป็นหมวดหมู่คล้ายกับในปัจจุบันในปี พ.ศ. 2444 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 17 หน้า 206[3] ปัจจุบันระบบดังกล่าวใช้ในการสนทนาระดับไม่เป็นทางการเท่านั้น

ตารางเปรียบเทียบ

[แก้]
เวลานาฬิกาหกชั่วโมงนาฬิกาหกชั่วโมง (แผลง)นาฬิกายี่สิบสี่ชั่วโมง
1:00 น.ตีหนึ่งตีหนึ่งหนึ่งนาฬิกา
2:00 น.ตีสองตีสองสองนาฬิกา
3:00 น.ตีสาม, ยามสามตีสามสามนาฬิกา
4:00 น.ตีสี่ตีสี่สี่นาฬิกา
5:00 น.ตีห้าตีห้าห้านาฬิกา
6:00 น.ย่ำรุ่ง, ตีหก, ยามสี่ตีหก, หกโมงเช้า, หกโมงหกนาฬิกา
7:00 น.โมงเช้า, หนึ่งโมงเช้าเจ็ดโมงเช้า, เจ็ดโมงเจ็ดนาฬิกา
8:00 น.สองโมงเช้าแปดโมงเช้า, แปดโมงแปดนาฬิกา
9:00 น.สามโมงเช้าเก้าโมงเก้านาฬิกา
10:00 น.สี่โมงเช้าสิบโมงสิบนาฬิกา
11:00 น.ห้าโมงเช้าสิบเอ็ดโมงสิบเอ็ดนาฬิกา
12:00 น.ย่ำเที่ยง, เที่ยงวัน, เที่ยงเที่ยงวัน, เที่ยงสิบสองนาฬิกา
13:00 น.บ่ายโมงบ่ายโมง, บ่ายหนึ่งสิบสามนาฬิกา
14:00 น.บ่ายสองโมงบ่ายสองสิบสี่นาฬิกา
15:00 น.บ่ายสามโมงบ่ายสามสิบห้านาฬิกา
16:00 น.บ่ายสี่โมงสี่โมงเย็น, สี่โมงสิบหกนาฬิกา
17:00 น.บ่ายห้าโมงห้าโมงเย็น, ห้าโมงสิบเจ็ดนาฬิกา
18:00 น.ย่ำค่ำ, หกโมงเย็นหกโมงเย็น, หกโมงสิบแปดนาฬิกา
19:00 น.หนึ่งทุ่มหนึ่งทุ่มสิบเก้านาฬิกา
20:00 น.สองทุ่มสองทุ่มยี่สิบนาฬิกา
21:00 น.สามทุ่ม, ยามหนึ่งสามทุ่มยี่สิบเอ็ดนาฬิกา
22:00 น.สี่ทุ่มสี่ทุ่มยี่สิบสองนาฬิกา
23:00 น.ห้าทุ่มห้าทุ่มยี่สิบสามนาฬิกา
24:00 น., 00:00 น.หกทุ่ม, เที่ยงคืน, สองยามหกทุ่ม, เที่ยงคืนยี่สิบสี่นาฬิกา, ศูนย์นาฬิกา

อ้างอิง

[แก้]
  1. ศรีอำไพ, รัตติกาล. "โมง-ทุ่ม-ตี". สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. สืบค้นเมื่อ 29 March 2022.
  2. Thongprasert, Chamnong (1985), "ทุ่ม-โมง-นาฬิกา (Thum-Mong-Nalika)", ภาษาไทยไขขาน (Thai Unlocked), Bangkok: Prae Pitaya Press, pp. 229–237, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-06-07, สืบค้นเมื่อ 2011-07-03. (ไทย)
  3. "ประกาศใช้ทุ่มโมงยาม" (PDF), Royal Gazette, no. 17, p. 206, 29 July 1901, สืบค้นเมื่อ 2008-10-18. (ไทย)
  • Royal Institute (2003), พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ (Royal Institute Dictionary, BE 2542), Bangkok: Nanmee Books Publications, ISBN 974-9588-04-5. (ไทย)