นกเงือกดินเหนือ
นกเงือกดินเหนือ | |
---|---|
ตัวผู้ | |
ตัวเมีย ทั้งคู่ พบที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเซมิคิ อูกันดา | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Aves |
อันดับ: | Bucerotiformes |
วงศ์: | Bucorvidae |
สกุล: | Bucorvus |
สปีชีส์: | B. abyssinicus |
ชื่อทวินาม | |
Bucorvus abyssinicus (Boddaert, 1783) |
นกเงือกดินเหนือ หรือ นกเงือกดินอะบิสซิเนีย (อังกฤษ: northern ground hornbill หรือ Abyssinian ground hornbill; ชื่อวิทยาศาสตร์: Bucorvus abyssinicus) เป็นนกเงือกขนาดใหญ่หนึ่งในสองชนิดในวงศ์นกเงือกดิน มีพฤติกรรมหากินและดำรงชีวิตบนพื้นดินเป็นหลัก พบเฉพาะในตอนเหนือของเส้นศูนย์สูตรของทวีปแอฟริกา นกเงือกดินเหนือต่างจากนกเงือกดินใต้ ตรงที่มีขนาดเล็กกว่า มีสีหนังขอบตาสีฟ้า และถุงคอสีฟ้า (ในนกตัวเมีย)
อนุกรมวิธาน
[แก้]นกเงือกดินเหนือ (B. abyssinicus) ได้รับการระบุชนิดโดยจอร์จ-ลุยส์ เลอแคลค เคานต์แห่งบูฟฟง (Georges-Louis Leclerc, Comte de Buffon) นักธรรมชาติวิทยาและพหุคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1780 ในหนังสือประวัติศาสตร์ธรรมชาติของนก (Histoire Naturelle des Oiseaux)[2] นกเงือกดินเหนือยังปรากฏในภาพพิมพ์แกะสลัก (ด้วยมือ) โดยฟรองซัวร์-นิโคลา มาร์ติเนต (François-Nicolas Martinet) เป็นภาพประกอบหนึ่งในพันภาพของชุดสมุดภาพประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (Planches Enluminées D'Histoire Naturelle) ซึ่งผลิตภายใต้การกำกับของเอดเมอ-ลุยส์ เดาเบ็นทง (Edme-Louis Daubenton) และประกอบกับคำอธิบายลักษณะของบูฟฟง[3]
ทั้งภาพประกอบบรรยายและคำอธิบายของบูฟฟงดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อวิทยาศาสตร์ จนกระทั่ง ค.ศ. 1783 พิเอแทร์ โบดแดร์ท (Pieter Boddaert) นักธรรมชาติวิทยาชาวดัตช์ได้บัญญัติชื่อทวินาม Buceros abyssinicus ในบัญชีรายชื่อประกอบที่เขาสร้างเพิ่มเติมในชุดสมุดภาพประวัติศาสตร์ธรรมชาติ[4] ตัวอย่างชนิดต้นแบบเก็บจากประเทศเอธิโอเปีย (หรือที่เรียกอะบิสซิเนีย)[5] ปัจจุบันนกเงือกดินเหนือ (หรือนกเงือกดินอะบิสซิเนีย) อยู่ในสกุลนกเงือกดิน (Bucorvus) ซึ่งเดิมเป็นสกุลย่อยระบุโดยเรอเน เลซง (René Lesson) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1830[6][7] นกเงือกดินเหนือมีชนิดย่อยเดียว (monotypic)[7]
ชื่อสามัญ (ชื่อสกุล Bucorvus) ของนกเงือกดินเหนือ (และนกเงือกดินใต้) ดัดแปลงมาจากชื่อสกุล Buceros ที่กาโรลุส ลินเนียส นำเสนอใน ค.ศ. 1758 สำหรับสกุลนกเงือกเอเชียขนาดใหญ่ โดยที่ corvus เป็นคำภาษาละตินสำหรับ เป็น "นกกา" จากลักษณะโดยรวมที่คล้ายอีกา[8]
ลักษณะ
[แก้]นกเงือกดินเหนือเป็นนกเงือกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในทวีปแอฟริกา รองจากนกเงือกดินใต้ที่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย
เป็นนกขนาดใหญ่ (ปลายปากถึงรูทวาร) ยาวรวม 90 ถึง 110 เซนติเมตร (35 ถึง 43 นิ้ว) อาศัยบนพื้นเป็นหลัก มีขนบนลำตัวสีดำและขนปีกหลักสีขาวซึ่งมองเห็นได้ในขณะบิน ตัวผู้ที่โตเต็มวัยมีผิวเปลือยสีฟ้ารอบดวงตา มีถุงหนังเปลือยที่คอสีแดงและพองตัวได้ แต้มด้วยหนังเปลือยสีฟ้าที่คางซึ่งหนังคางสัฟ้านี้มีขนาดต่าง ๆ กันในแต่ละตัว จะงอยปากยาวสีดำ มีแถบสีแดงที่โคนจะงอยปากใต้โหนก ด้านบนของจะงอยปากมีโหนกแข็ง (casque) สีดำปลายเปิด ทู่ และสั้น นกตัวเมียมีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่เล็กกว่า ผิวเปลือยทั้งหมด (รอบตา ถุงคอ และคาง) เป็นสีน้ำเงินเข้ม (ยังคงมีแถบสีแดงบนโคนจะงอยปาก) นกรุ่นมีขนสีน้ำตาลเข้ม มีปากที่เล็กกว่าและโหนกแข็งในระยะเริ่มต้น มักใช้เวลา 3 ปีในการเจริญเป็นตัวเต็มวัยซึ่งจะค่อย ๆ พัฒนาส่วนที่เป็นขนนก สีของผิวเปลือย และโหนกแข็ง[9]
นกเงือกดินเหนือ มีขนยาวคล้ายขนตาที่ล้อมรอบดวงตา ช่วยปกป้องดวงตาจากการบาดเจ็บ[10]
จากการศึกษาพบว่า เมื่อยืนนกสูงประมาณ 90 ถึง 100 เซนติเมตร (35 ถึง 39 นิ้ว) อาจสูงได้ 110 ซม. (43 นิ้ว) และหนักประมาณ 4 กิเลกรัม (8.8 ปอนด์) จากรายงานการศึกษาของสตีเวนสันและแฟนชอว์ ระบุว่านกเงือกดินเหนือเป็นชนิดที่มีขนาดเฉลี่ยที่ที่ 102 เซนติเมตร (40 นิ้ว) ใหญ่กว่านกเงือกดินใต้ แต่น้ำหนักและการวัดมาตรฐานในส่วนอื่นขัดแย้งกันซึ่งระบุว่านกเงือกดินใต้นั้นใหญ่กว่าเล็กน้อยจริง ๆ [11][12]
เสียงร้อง
[แก้]มีเสียงร้องที่ลึกต่ำและกังวาน "อุ-อุ" และ "อุ-อุ-อุ" ซึ่งได้ยินชัดจากระยะไกล มักร้องในตอนเช้าจากทั้งขณะเกาะคอนหรือขณะอยู่บนพื้นดิน[9] โดยทั่วไปนกตัวผู้และตัวเมียจะร้องเพลงคู่กัน[13]
การกระจายพันธุ์และถิ่นอาศัย
[แก้]นกเงือกดินเหนือ พบได้ทางตอนเหนือของภูมิภาคแอฟริกาใต้สะฮารา (โดยเฉพาะช่วงตอนเหนือของเส้นศูนย์สูตรของภูมิภาคฯ) จากตอนใต้ของมอริเตเนีย เซเนกัล และกินีทางตะวันออกถึงเอริเทรีย เอธิโอเปีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโซมาเลีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเคนยา และยูกันดา[14][15] พบในแหล่งที่อยู่อาศัยแบบเปิด เช่น ทุ่งหญ้าสะวันนา ทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทราย และบริเวณที่เป็นหิน โดยชอบพื้นที่ที่มีพืชพรรณต้นเตี้ยซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในพฤติกรรมการหาอาหารด้วยสายตา มักอาศัยในพื้นที่ที่แห้งแล้งกว่าถิ่นที่อยู่ที่นกเงือกใต้เลือก นกเงือกดินเหนือทนต่อพื้นที่ธรรมชาติที่ถูกรบกวน แต่ยังต้องการต้นไม้ขนาดใหญ่เพื่อใช้เป็นที่ทำรัง[13]
มีประชากรนกเงือกดินเหนือหลบหนีหรือถูกปล่อยโดยเจตนาในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา แต่ไม่มีหลักฐานว่าประชากรนกเงือกเหล่านี้กำลังขยายพันธุ์และคงสืบพันธุ์อยู่ได้หลังการปล่อยหรือหลบหนี[16]
พฤติกรรม
[แก้]นกเงือกดินเหนืออาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าโล่ง อยู่เป็นคู่หรืออาศัยแบบครอบครัวเล็ก ๆ มักออกลาดตระเวนอาณาเขตของตนด้วยการเดินและมักไม่เลือกที่จะบิน โดยปกติแล้วจะบินขึ้นไปในอากาศเมื่อตื่นตระหนกเท่านั้น[9] กลุ่มนกเงือกดิน (ฝูงครอบครัวขนาดเล็ก) ครอบครองพื้นที่ขนาด 2–100 ตารางไมล์ (5.2–259.0 km2) เป็นนกที่หากินกลางวัน นกที่เลี้ยงในกรงขังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ 35–40 ปี
อาหารในธรรมชาติประกอบด้วยสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลายชนิด รวมทั้งเต่าบกขนาดเล็ก กิ้งก่า งู นก แมงมุม ด้วง และหนอนผีเสื้อ นอกจากนี้ยังอาจกินซากศพ ผลไม้ เมล็ดพืช และถั่วเปลือกแข็งที่พบที่พื้น
การผสมพันธุ์
[แก้]ฤดูผสมพันธุ์ของนกเงือกดินเหนือแตกต่างกันไปตามช่วงการกระจายพันธุ์ ได้แก่ ประชากรนกในแอฟริกาตะวันตกผสมพันธุ์ในเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ประชากรในไนจีเรียและยูกันดาผสมพันธุ์ในเดือนมกราคม และประชากรในเคนยาผสมพันธุ์ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พวกมันชอบทำรังบนต้นไม้ใหญ่ โดยมักใช้โพรงในต้นเบาบับและตอปาล์ม รวมทั้งได้รับการบันทึกว่าทำรังในโพรงประเภทอื่น ๆ ได้แก่ รูในหินและโพรงที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่นในกล่องเลี้ยงผึ้งหรือตะกร้า
การทำรังของนกเงือกดิน นกตัวเมียจะฟักและดูแลในโพรงรังที่ปิดผนึกบางส่วนโดยใช้ส่วนผสมของโคลนและพืชพรรณ ซึ่งต่างกับนกเงือกชนิดอื่น ๆ ตัวเมียที่ทำรังจะสลัดขนปีกหลักออกทั้งหมด นกเงือกดินตัวผู้เตรียมรังโดยใช้ใบไม้แห้งบุก้นโพรงก่อนที่ตัวเมียจะเข้าไปและวางไข่หนึ่งหรือสองฟองในช่วงห่างประมาณห้าวัน ตัวเมียเริ่มฟักไข่ทันทีที่วางไข่เพื่อให้ลูกนกที่ฟักออกมาก่อนมีพัฒนาการที่เหนือลูกนกตัวถัดมา การฟักไข่แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 37 ถึง 41 วัน ตลอดช่วงฟักไข่นกไม่มีความพยายามที่จะรักษาโพรงให้สะอาดและนกตัวผู้มีหน้าที่จัดหาอาหารให้กับตัวเมียที่กำลังฟักไข่ น้ำหนักของลูกไก่ที่เพิ่งฟักออกมาใหม่จะอยู่ที่ประมาณ 70 กรัม (2.5 ออนซ์) และลูกนกที่ฟักครั้งแรกจะโตอย่างรวดเร็วเพื่อแย่งทรัพยากรจากลูกนกที่ฟักออกตัวที่สองซึ่งปกติแล้วจะตายจากความอดอยากก่อนที่มันจะอายุสี่วัน โดยลูกนกตัวแรกอาจมีน้ำหนักมากถึง 350 กรัม (12 ออนซ์) (ในระยะเพียงช่วงระหว่างไข่ใบแรกและใบที่สองฟัก) เมื่อลูกนกที่รอดตายอายุ 21 ถึง 33 วัน แม่จะออกจากรังและเริ่มให้อาหารจากนอกรัง ลูกนกจะออกจากรังหลังจากวันที่ 80 ถึง 90[13]
นกเงือกดินเหนือลงทุนทางทรัพยากรอย่างมากในลูกหลานของพวกมัน และลูกนกที่โตเต็มวัยจะอยู่กับพ่อแม่ได้นานถึงสามปี พวกมันมีอัตราการผสมพันธุ์ที่ต่ำ โดยเฉลี่ยแล้วนกหนึ่งตัวจะโตเต็มวัยเมื่ออายุ 9 ปี ดังนั้นการลงทุนในการเติบโตเต็มวัยในนกแต่ละตัวของพ่อแม่นกจึงสูงเป็นพิเศษ[13]
การหาอาหาร
[แก้]นกเงือกดินเหนือ เป็นนกที่หาอาหารตามโอกาส ไม่ว่าโดยการหาอาหารตามหลังฝูงสัตว์กีบและจากไฟป่า โดยใช้กลยุทธ์การรอโอกาสกินสัตว์เล็ก ๆ ที่ถูกรบกวนโดยฝูงสัตว์ขนาดใหญ่หรือเปลวไฟ นกเงือกดินเหนือแต่ละตัวสามารถเดินได้ไกลถึง 11 กิโลเมตร (6.8 ไมล์) ในแต่ละวัน เมื่อพบอาหารจะพุ่งกระโจนเข้าหาและกินสัตว์ขนาดเล็กทุกอย่างที่พวกมันเจอ มีการบันทึกว่านกเงือกดินเหนืออาจขุดหาสัตว์จำพวกแมลงและแมงในดินและโจมตีรังผึ้งเพื่อกินรังผึ้ง นกเงือกดินเหนือมักไม่ค่อยกินพืชใด ๆ อาจเนื่องจะงอยปากที่ยาวแข็งแรงเหมาะกับการใช้เพื่อจับและฆ่าเหยื่อในการกิน[13]
ศัตรูในธรรมชาติ
[แก้]สัตว์นักล่า
[แก้]สัตว์นักล่าของนกเงือกดินเหนือ ได้แก่สัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ เช่น เสือดาว การถูกล่าเป็นอาหารของมนุษย์เกิดขึ้นในบางประเทศ ได้แก่แคเมอรูนตอนเหนือและบูร์กินาฟาโซ รังอาจตกเป็นเหยื่อโดยสัตว์บกนักล่าแม้มีขนาดเล็กกว่า
ปรสิตและโรคต่าง ๆ
[แก้]เป็นที่รู้จักดีว่ามักพบเหานก Bucorvellus docophorus, Bucerophagus productus และ Bucerophagus africanus ในนกเงือกดินเหนือ และยังพบปรสิตเช่นไส้เดือนฝอย (พยาธิตัวกลม) Histiocephalus bucorvi และพยาธิตัวตืด Chapmania unilateralis, Idiogenes bucorvi, Ophryocotyloides pinguis และ Paruterina daouensis นกเลี้ยงในกรงขังที่จับมาจากธรรมชาติมักตายจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Aeromonas hydrophila ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคทั่วไปในปลา แต่ไม่พบรายงานการติดเชื้อนี้ในนกเงือกดินเหนือในธรรมชาติ ในอเมริกาเหนือพบว่านกเงือกดินเหนือในกรงเลี้ยงตายเพราะไวรัสเวสต์ไนล์[13]
ความสำคัญในวัฒนธรรม
[แก้]นกเงือกดินเหนือ ไม่ใช่เหมืองนกที่ถูกล่าเพื่อการค้านกเชิงพาณิชย์ แม้ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบพวกมันในสวนสัตว์
ในบางพื้นที่นกชนิดนี้มีความสำคัญทางวัฒนธรรม พรานล่าสัตว์ใช้หัวและคอของนกเงือกดินห้อยรอบคอด้วยความเชื่อที่ว่าจะช่วยให้พวกมันสะกดรอยตามฝูงสัตว์กีบเท้า ในบางหมู่บ้านมักจะเลียนแบบเสียงร้องของนกชนิดนี้ แม้กระทั่งบางเพลงที่แต่งขึ้นจากพื้นฐานเสียงร้องคู่ประสานของนกเงือกดินเหนือตัวผู้และตัวเมีย[13]
สถานภาพและการอนุรักษ์
[แก้]นกเงือกดินเหนืออยู่ภายใต้ภาวะการสูญเสียและความเสื่อมโทรมของถิ่นที่อยู่ และบางส่วนของการถูกล่า ในลักษณะเดียวกันกับญาติของมันคือ นกเงือกดินใต้ เป็นผลให้แนวโน้มประชากรของนกเงือกดินทั้งสองชนิดอาจเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ระบุให้มีสถานะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกือบอยู่ในข่ายใกล้การสูญพันธุ์ (VU)
-
คู่นก ที่สวนสัตว์ฟอร์ดเวิร์ธ
-
คู่นกในธรรมชาติ
-
นกเงือกดินใต้ตัวเมียในธรรมชาติ ที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกเมอร์ชิสัน
-
นกชนิดนี้มีขนตาที่ยาว และตัวเมียมีถุงคอสีฟ้า ที่เห็นเด่นชัด
-
ขนปีกหลัก (ขนปีกนอก) สีขาว
-
ตีนของนกเงือกดินใต้ นิ้วสั้นทู่ ไม่เหมาะกับการจับคอน
-
ไข่ของนกเงือกดินใต้ จากภาพของ MHNT
อ้างอิง
[แก้]- ↑ BirdLife International (2018). "Bucorvus abyssinicus". IUCN Red List of Threatened Species. 2018: e.T22682632A132204438. doi:10.2305/IUCN.UK.2018-2.RLTS.T22682632A132204438.en.
- ↑ Buffon, Georges-Louis Leclerc de (1780). "Le cacao d'Abyssinie". Histoire Naturelle des Oiseaux (ภาษาฝรั่งเศส). Vol. 13. Paris: De L'Imprimerie Royale. p. 230.
- ↑ Buffon, Georges-Louis Leclerc de; Martinet, François-Nicolas; Daubenton, Edme-Louis; Daubenton, Louis-Jean-Marie (1765–1783). "Grand calao, d'Abyssinie". Planches Enluminées D'Histoire Naturelle. Vol. 8. Paris: De L'Imprimerie Royale. Plate 779.
- ↑ Boddaert, Pieter (1783). Table des planches enluminéez d'histoire naturelle de M. D'Aubenton : avec les denominations de M.M. de Buffon, Brisson, Edwards, Linnaeus et Latham, precedé d'une notice des principaux ouvrages zoologiques enluminés (ภาษาฝรั่งเศส). Utrecht. p. 48, Number 779.
- ↑ Peters, James Lee, บ.ก. (1945). Check-list of Birds of the World. Vol. 5. Cambridge, Massachusetts: Harvard University Press. p. 272.
- ↑ Lesson, René (1830). Traité d'Ornithologie, ou Tableau Méthodique (ภาษาฝรั่งเศส). Paris: F.G. Levrault. p. 256 (livre 4).
- ↑ 7.0 7.1 Gill, Frank; Donsker, David, บ.ก. (2019). "Mousebirds, Cuckoo Roller, trogons, hoopoes, hornbills". World Bird List Version 9.2. International Ornithologists' Union. สืบค้นเมื่อ 23 July 2019.
- ↑ Jobling, James A. (2010). The Helm Dictionary of Scientific Bird Names. London: Christopher Helm. p. 80. ISBN 978-1-4081-2501-4.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 Borrow, Nik; Demey, Ron (2001). Birds of Western Africa. A & C Black. ISBN 0-7136-3959-8.
- ↑ "Abyssinian ground hornbill". Smithsonian's National Zoo. สืบค้นเมื่อ 7 May 2019.
- ↑ Field Guide to the Birds of East Africa: Kenya, Tanzania, Uganda, Rwanda, Burundi by Stevenson & Fanshawe. Elsevier Science (2001), ISBN 978-0856610790
- ↑ "Birds: Hornbill". San Diego Zoo. สืบค้นเมื่อ 16 July 2013.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 13.5 13.6 "Krause, B. 2009. "Bucorvus abyssinicus" (On-line), Animal Diversity Web". Animal Diversity Web. Regents of the University of Michigan. สืบค้นเมื่อ 14 October 2016.
- ↑ "Northern Ground-hornbill (Bucorvus abyssinicus)". Lynx Edicions. สืบค้นเมื่อ 14 October 2016.
- ↑ "Bucorvus abyssinicus (Abyssinian Ground-Hornbill) - Avibase". avibase.bsc-eoc.org.
- ↑ "Abyssinian Ground-Hornbill". Florida Fish and Wildlife Conservation Commission. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-10-30. สืบค้นเมื่อ 9 January 2017.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Asefa, Addisu. "Exploration of human-bird relationships: Oromo proverbs associated with the Northern Ground-hornbill in Ethiopia." Social Sciences & Humanities Open 4, no. 1 (2021): 100-162.