คุยกับผู้ใช้:ไตรสิทธิ์

ไม่รองรับเนื้อหาของหน้าในภาษาอื่น
เพิ่มหัวข้อ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ยินดีต้อนรับสู่...วิกิพีเดียภาษาไทย[แก้]

สวัสดีครับ...ขอต้อนรับคุณ ไตรสิทธิ์ เข้าสู่วิกิพีเดียภาษาไทย สารานุกรมเสรี

วันนี้ผมขอแนะนำการใช้งานวิกิพีเดียเบื้องต้น ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการเขียนบทความต่างๆ ดังนี้

ในกรณีพูดคุยกับผู้อื่น อย่าลืมทำการลงชื่อในหน้าพูดคุย โดยการพิมพ์ --~~~~ หรือกดปุ่มที่รูป ซึ่งจะใส่ชื่อผู้ใช้ของคุณและวันเวลาให้โดยอัตโนมัติ ข้อควรระวังคือจะไม่มีการลงชื่อในหน้าบทความนะครับ นอกจากนี้สามารถบอกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวคุณให้ชาววิกิพีเดียคนอื่นทราบ ได้ที่หน้าผู้ใช้ของคุณครับ และถ้าต้องการติดต่อผู้ดูแลระบบหรือแจ้งเกี่ยวกับบทความสามารถทำได้ที่ แจ้งผู้ดูแลระบบ สุดท้ายขอให้กล้าแก้ไขบทความครับ

ถ้าหากไม่แน่ใจว่าควรจะทำอะไรก่อนดี ลองแวะไปดูได้ที่คุณช่วยเราได้ หากมีคำถามอะไรสงสัยเกี่ยวกับการใช้งาน หรือเรื่องใดๆในวิกิพีเดีย ยินดีสอบถาม ปรึกษา เข้ามาพูดคุยกันได้นะครับ --Ken-Z! Talk I hate Grean & Vandalism on Wikipedia ! 19:50, 9 พฤษภาคม 2553 (ICT)

“แผ่นดินของใคร?” กับ “ความคิดของคนโฉด”[แก้]

“แผ่นดินของใคร?”

       กับ

“ความคิดของคนโฉด”


รักแท้แน่ในใจพุทธะ[แก้]

พระราชอำนาจ (Sovereign power)]

ไทย; ออกกฎหมายใหญ่ ขัดแย้งกับสภาวธรรมแห่งสังคมคิงดอม; ที่ปกครอง ([rule]) โดย The King, not Emperor; เพราะไปรับ Form [รูปแบบ, ระบอบ, แบบแผน, สำนวน, วิธี, ปลูก, ก่อให้เกิดความคิดเห็นตาม Form นั้น ๆ] มาจากยิวฝรั่งเศส, ที่รับ Form มาจาก U.S. และ U.S. รับมาจากโรมัน อันมีผลให้ราชอาณาจักรฝรั่งเศสล้มมาแล้ว! จึงทำให้คนไทยเข้าใจการเมืองผิดธรรมเนียม คิงดอม

             ครั้นยอดยิวอย่างไอน์สไตน์ ได้เขียนไว้ใน Discovering Ancient Wisdom in a Modern World เมื่อ พ.ศ. 2497 ว่า ธรรมะหรือวิชชาชีวิตสมบูรณ์ห่างไกลกับวิชาธรรม, ศาสนศาสตร์ และ dogma เช่น รัฐศาสตร์, นิติศาสตร์ ที่บังคับให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดโดยขัดแย้งกับปัจจัยอื่น ๆ อันควบคุมได้เพียงชีวิตรูป คือ The natural หรือ Body and mind เท่านั้น ขณะที่วิชชาชีวิตจริงคือ ธรรมศาสน์; ควบคุมได้ทั้ง The natural และ The spiritual [Essence of Mind = ชีวิตอรูปที่อมตะ อัน Coming – Being and Pass away อย่างเวียนว่ายตายเกิด] และว่า “ไม่มีวิทยาการหรือวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าสุดใดจะไปเหนือธรรมศาสน์ได้” จึงน่าจะทำให้คนดีไทยได้ศึกษาวิชชาชีวิตจริงเพื่อเข้าใจวิชาการเมืองให้ทะลุปรุโปร่ง

แถม ศ.วิลเลียม ไอร์วิน ทอมสัน จากม.คอนแนลยังได้เขียน passage about earth exploration of the new planetary culture พ.ศ. 2516 ให้ walking out on the University กันเสียบ้าง; เพราะเข้าไปติดระบบวิชาการยิวทั้งนั้น, ให้หันมาศึกษาวิชชาชีวิตจริงของ Buddha เพื่อจะได้สร้าง “สถาบันความรู้ประจำชาติตน” กันเสียบ้าง ก็น่าจะเห็นตามกันบ้าง!

แต่การศึกษาวิชชาชีวิตจริงนี้ต้อง learn and practise ศีลสิกขา, จิตสิกขา, และปัญญาสิกขา ที่เรียกว่าไตรวิชชาจนเกิดพุทธะ (wise) และเป็นคนดีให้ได้เป็นสำคัญ แถมพระองค์ให้ Noble example ในการดู (ฟัง) อะไร ๆ นั้นว่า “ต้องดูอย่างใกล้ชิด, ติดต่ออย่างเคารพจนกว่าจะเห็นไปถึงรากฐานที่มาและเห็นไปถึงทายาทในอนาคต” อันพิสูจน์ได้ว่า “บรรดา ผ.ศ., ร.ศ., ศ. และมหาบัณฑิต, ด็อกเตอร์ 99%” ล้วนอวิชชา ไม่รู้ว่าชีวิตนี้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม (the law of life) ที่ติดไปกับ “จิตตวิญญาณ” อันเป็น “จิตโตมนุสโส” ตามปุพเพกตปุญญตา 2 ประเภท 7 ชนิด คือ กุศลจิต 3 ชนิด กับอกุศลจิต 4 ชนิด คือ บัวปริ่มน้ำ 1 ส่วน กับบัวใต้น้ำ 3 ส่วนนั่นเอง ดังจะเห็นว่าเมื่อ “จิตต์” ออกจากร่างกาย (ชีวิตรูป), ชีวิตก็เป็นศพ นั่นคือ ชีวิตจริง = จิตต์กุศลกับอกุศลนั่นเอง –แต่ไม่มีนักวิชาการใดได้เข้าถึงแท้!

ด้วยเหตุแห่งการอวิชชาจึงโม่ห์มืดจนไม่รู้ว่าร่างกาย คือ กามธาตุ (รัก-ใคร่-อยาก = love-long-desire) รวมของพ่อ-แม่ที่มีจิตต์ 2 ประเภท เป็นประมุข ครั้น birth ออกมาถูกธาตุดิน-น้ำ-ลม-ไฟ จากดวงดาวและวิญญาณธาตุ (Cosmic consciousness) ประจุเข้าสู่ร่างกายให้เกิดอุปาทิ คือ จิต, มโน หรือ เบ็ญจขันธ์ที่ยึดถือ (รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณขันธ์) อันรูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส (อุ่นเย็นร้อน) มากระทบร่างกายให้เกิดเวทนา-สัญญาและสังขาร (ความคิด) จนเป็นจิต (อารมณ์รู้) โดยจิตต์ประมุขเป็นตัวให้พลังรู้แก่จิตลูก (จิตลูกรู้สึกนึกคิด, จิตต์แม่รู้คิด) (พระอรหันต์จึงต้องทำอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ)

จึงเห็นได้ว่า “ใครจะพูดได้กี่ภาษา, และจะพูดด้วยกาษาอะไร, แต่จะพูดได้ไม่เกินความคิด” ที่สำคัญเรื่อง ความคิด (สังขาร) นี้ก่อให้เกิดจิตลูก (mind) ทั้งจิตลูกนี้ยังเกิดจากภูมิประเทศ (สิ่งแวดล้อม-ชาติ) และอาชีพที่เรียกว่า “เจตนาและเจตสิก” อันอุปมาว่าจิตเจตนาเป็นรถ, เจตสิกเป็นสารถี

จึงพบว่าความคิดเห็นทางการเมืองเพื่อสันติสุขจากมีเงินโดยงานนั้น เกิดจาก “จิตเจตนา” ที่เจตสิกพาไป โดยเจ้าตัวไม่รู้ตัว แต่คนในภูมิประเทศและอาชีพเดียวกันจะเข้าใจกัน อังกฤษจึงให้คนอาชีพ (ชนชั้น) เดียวกัน, เลือกตัวแทนกัน เพราะคนอาชีพเดียวกัน, แม้จะอยู่คนละภาค, ประเทศ ก็คิดเห็นเรื่องความต้องการของชีวิตเรื่องอาชีเหมือนกัน อันสรุปได้ว่า การโง่-ฉลาดเรื่องความต้องการของคนเรานี้ทางการเมือง ไม่เกี่ยวกับวิชาการ ดังเข้าใจผิดกันมาจนเป็น-โง่กันอยู่แทบทั้งโลก

ด้วยเหตุนี้จึงขอให้บรรดาอาจารย์, มหาบัณฑิต และศาสตราจารย์ทั้งปวง; โปรดได้เข้าใจตามนี้ดีกว่า เพื่อท่านจะได้ดูให้รู้เห็นสูตร, ทฤษฎี, กฎหมายหรือ Form ทั้งหลายจากต้นกำเนิด และให้เห็นทายาทคือผลสุดท้าย

เช่นกฎหมายการปกครองของโรมันที่เรียกว่า “กฎหมาย 12 โต๊ะ” อันเขียนลงในแผ่นทองแดง 12 แผ่น, ประกาศไว้ในใจกลางกรุงโรมเมื่อ พ.ศ. 93 ว่าการร่างกฎหมาย; ก็คือร่างสัญญากันระหว่างประชาชนชั้นสูงกับชั้นกลางที่รวมกันไม่เกิน 40% (ประชาชนชั้นล่างจะเป็นส่วนมากเสมอ) โดยมีที่มาของสังคมโรมันนี้ว่า ชนชั้นสูงกับชั้นกลางได้เป็นสมาชิกสภาซีเนท ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครอง, แต่ปกครองดังว่านี้คือ governed (U.S. นำมาใช้แบบ administration) มิใช่ rule = ที่ปกป้อง, คุ้มครอง

นั่นคือ สภาซีเนทเลือกตั้งผู้รักษาผลประโยชน์ชาติ (Consuls) ครั้งละ 2 คน ยามปกติ, แต่ยามสงครามเลือก Dictator คนเดียว ที่ว่าเมื่อ 13 รัฐของอเมริการบกับอังกฤษจนได้ Liberty; ก็ไปดูกฎหมาย 12 โต๊ะ ของโรมันมาเป็น Base โดยต้องทำให้ตรงกันข้ามกับของอังกฤษ (Kingdom) ดังมี Continentalism (ขนบธรรมเนียมนิสัยใจคอของชาวยุโรปแผ่นดินใหญ่ทั้งหมดที่แตกต่างกับอังกฤษ) เป็นพยาน; จึงได้อุบัติคำว่า Constitution ขึ้นใน U.S. เป็นแห่งแรก อันไทยเรียก “รัฐธรรมนูญ”; นั่นคือ U.S. ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2330 เรียกว่าใช้ “ระบอบการปกครองของประชาชน คือ Republican” ตามโรมันที่ได้มาจากเพลโตชาวกรีก แต่คนไทยไม่รู้แจ้งเรื่องนี้

ครั้นฝรั่งเศสทำการปฏิวัติโค่นล้ม “ระบอบการปกครองของกษัตริย์ได้” เมื่อ พ.ศ. 2332 ก็ร่างสิ่งที่ไทยเรียกว่า รัฐธรรมนูญตาม U.S. ขึ้นใช้เมื่อปลายปี 2334 และต้นปี 2335 ก็สถาปนาสภาวประเทศเป็น Republic เพื่อจะสถาปนาระบอบการปกครองที่เรียกว่า “Republican” ขึ้น; แต่เพราะอวิชชากันทั้งหมด ทำให้พวกคณะปฏิวัติ ถูกตัดสินกันเอง ให้ประหารชีวิตกันวันละ 196 คน เป็นปี ๆ จนเกิดมี 3 Consuls ก็แล้ว; แต่ท้ายสุดจอมพลนโปเลียน; ยึดอำนาจเสียและสถาปนาตนขึ้นเป็น Emperor; เปลี่ยนสภาวสังคมเป็น Empire มาแต่ พ.ศ. 2347; แต่ พ.ศ. 2358 กลับมาเป็น Kingdom อีก ทำให้เกิดพรรคการเมือง 2 พรรค คือ liberal (พรรคของเสรีนิยม) กับพรรคชาตินิยม; ทำให้เกิดการปฏิวัติของพวกเสรีนิยมขึ้นอีกเมื่อพ.ศ. 2373 จนชนะ, จึงได้นำระบอบพิสดารที่คิดขึ้นด้วยจิตโม่ห์มืดดิบตามการอวิชชาของพวกเสรีนิยมแต่หาว่าทันสมัย คือ เกิด Constitutional Monarchy (คำว่าเสรี คือ เสรีนิยมนั่นเอง)

อันชนชั้นสูงวาง Form ตามกฎธรรมชาติที่ว่า คนชนชั้น (อาชีพ) ไหนคิด, ก็จะคิดด้วยเจตนา-เจตสิกของคนชนชั้นนั้น จึงเท่ากับ Form ของพวกนักธุรกิจเสรีนิยม, มากำหนดให้พระประมุขต้องทำผิดหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ที่ว่า “พ่อเป็นประมุขบ้าน, สมภารเป็นประมุขวัต, กษัตริย์เป็นประมุขเมือง” แลทำให้เป็นไปตามที่ว่าใช้ฟอร์มอะไร ก็จะเกิดจิตความคิด, นิสัยเป็นไปตามฟอร์มนั้น นั่นคือ พ.ศ. 2383 เกิดฝ่ายขัดขวางขึ้นคือ “ระบอบคอมมิวนิสต์” และ พ.ศ. 2391 ถูกพวกเสรีนิยมกับสังคมนิยมร่วมกันทำการปฏิวัติโค่นล้มราชบัลลังก์ แต่ผู้หวังดีพยายามแก้กันแบบโม่ห์ ๆ กัน จนพ.ศ. 2416 ให้[[[พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5]]] (เคานท์แห่งซองบอร์ด) มาเป็นกษัตริย์อีกครั้ง โดยนายพลเม็คมาฮอน อัญเชิญมา; แต่ไม่กี่เดือนก็ต้องสละราชบัลลังก์; เป็นการจบสิ้นถาวร จึงเห็นได้ว่าแม้แต่ผู้ปรารถนาดีจะให้มีกษัตริย์ก็จริง แต่ยังยืนหยัดตามอดีตนายกธีแอร์ที่ว่า “กษัตริย์ควรทรงราชย์แต่ไม่ควรปกครอง” ซึ่งคิดตามการอวิชชาให้ผิดสภาวธรรม [ที่เกิดขึ้นตามกฎธรรมชาติ เช่น การเกิดสังคมคือครอบครัวจนเกิดอาการต่าง ๆ เช่น การปกครอง, ผู้ปกครอง, กฎ, กติกา ฯลฯ] จึงทำให้ราชอาณาจักรฝรั่งเศสล่มสลาย

ก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ถ้าปฏิบัติ (คิด-ทำ) ไม่สอดคล้องกับสภาวธรรม-ย่อมต้องทุกข์” อย่างเรื่อง “สิทธิ” นั้น พวกนักบวชของลัทธิยูนิตาเรียนคือชาวยิวคิดชูเป็นธงชีวิต; แต่คิดด้วยจิตดิบตามที่ Buddha ได้ทรงรำพึงในวันที่ 50 หลังจากวันตรัสรู้ว่า “มนุษย์ทุกคนสุดแสนโม่ห์” (They were very ignorant) โดยไม่รู้ว่าความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นความสั่นสะเทือนของกามธาตุที่มีธรรมชาติวิสัย love-long-desire คือ วิสัยรัก-ใคร่-อยาก ของร่างกายที่เป็นไปเองโดยเจ้าตัวไม่รู้ตัว ดุจต้นอ้อยหวาน, บรเพ็ดขม เป็นเหตุโดยไม่มีใครเห็นโทษของการเห็นแก่ตัวนี้ตามที่ว่า “Thoughts are vibrations sent forth by the ego or by the Soul” ตามการเป็นโรคอารมณ์ (mental diseases จนเป็น spiritual disease ที่ 99% ของบัณฑิต, มหาบัณฑิต, นักวิชาการเป็นโรคปัญญานี้ ดังถึงกับหาว่าพุทธศาสน์เป็นวิทยาศาสตร์ทั้ง ๆ ที่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์มาก ๆ แต่ไฉนไม่เข้าใจกัน?

หากมีพุทธะ (wise) จริงจะคิดเห็นเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ที่ว่าคลาสสิกนั้นเป็นการดีที่ถูกใจคนชนชั้นสูงไม่เกิน 20% เท่านั้น แต่ทว่ามนุษย์โลกล้วนโม่ห์มืด จึงล้วนยึดติดวิชาการหรือศาสตร์ว่าใครจบสูงคือผู้รู้; ทั้ง ๆ ที่ยัง very ignorant ถึงขนาดภิกษุส่วนมากยังไม่อาจแยกพุทธศาสตร์กับธรรมศาสน์ได้, ไม่อาจแยกธรรมกับธรรมะได้, บ้างซูฮกไอน์สไตน์แต่ยังถือว่าวิทยาการ-วิทยาศาสตร์เหนือธรรมศาสน์; เพราะไม่รู้ว่าชีวิตนี้คือจิตตวิญญาณบัวใต้น้ำ 3 ส่วน; บัวปริ่มน้ำส่วนเดียว ที่บรรดาเศรษฐีล้วนอวิชชาคือเป็นบัวใต้น้ำ ดังคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าไว้ว่า “ให้เศรษฐีขึ้นสวรรค์ได้; ยากกว่าเอาอูฐลอดรูเข็ม”

ดังในวิชชาสมณะสี่ของบุดดาว่า สมณะที่ 1 นั้นคือ “พระโสดาบัน” ได้แก่ ผู้ปฏิบัติอธิศีลสิกขา, จนสำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว (ไม่จำต้องเป็นภิกษุ) ว่าเมื่อชีวิตชาติภพนี้ตายลง, ชีวิตอรูปคือจิตวิญญาณจะจุติไปเป็นโอปะปาติกะระดับเทวดาเจ็ดชาติ

ฉะนั้นการเข้าใจว่า “นักธุรกิจ – เศรษฐีเป็นคนฉลาด-ดีนั้น จึงไม่จริง” เพราะฉลาดนั้นคือ ฉลาดเจ้าเล่ห์ (astute) ต่างหาก แต่ฉลาดที่บุดดาทรงต้องการคือพุทธะ (wise) และดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นต่างหาก

จึงสรุปว่า “Form ของ Polity (policy-political) คือ Form ของอำนาจรัฐ, รัฐสภา (รัฐบาล) แบบแผนฯ และรัฐธรรมนูญของ U.S., ที่ฝรั่งเศสคิดขึ้นใช้กับสังคม Republic แต่อังกฤษถือ Constitution นี้ว่าคือกฎทางการเมือง (governed) ที่เป็นเรื่อง “สิทธิของประชาชน” เท่านั้น ดังหลังพ.ศ. 2378 ได้รวมเรียก พ.ร.ฏ. กับ พ.ร.บ. ว่า The British Constitution อันเป็นส่วนหนึ่งคือเป็นลูกของ Magna Carta ที่เป็นเรื่อง “เสรีภาพของพลเมือง” ทางการปกครอง (rule) ที่เขียนไว้ในหนังแกะเมื่อ พ.ศ. 1758

เราจึงรู้ได้ว่า “นักวิชาการ, นักการเมืองไทย; ล้วนโม่ห์ในเรื่องความเป็นชีวิตสังคมตามกฎธรรมชาติ” จึงแม้อ้างว่ารัก, จงรักภักดีสถาบันกษัตริย์แต่ล้วนเพื่อประโยชน์ตน ดังความจริงมักลดพระราชอำนาจตามความรู้สึกเห็นแก่ตัวของคนโม่ห์ทั้งนั้น, ทั้ง ๆ ที่แม้แต่สรรพสัตว์ก็ยังมีหน้าที่ความเป็นประมุขคือ ผู้ปกครองป้องกันภัยให้แก่ลูก ๆ (บริวาร) ดังนั้น ในไทยจึงคิดกฎขัดกับธรรมะที่บุดดาว่า “หากปฏิบัติชีวิตผิดหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ก็ย่อมทำให้สังคมนั้น ๆ ต้องทุกข์” จึงไม่อาจปล่อยให้นักวิชาการและนักการเมืองเดิม ๆ มาจัดการต่อไปอีก!

แลควรรู้ว่าการปกครองตามกฎธรรมชาติต้องมีทั้ง rule และ governed โดย rule; เพื่อความปลอดภัยของพลเมือง; แต่ governed; เพื่อสันติสุข

ดังนั้นหากนักวิชาการ, นักสิทธิมนุษยชน, ที่ยิวหลอกใช้; ไม่โง่จนเกินไป ดังคอยคิดริดรอนพระราชอำนาจอยู่ทุกเวลา ก็ควรจะรู้ได้ว่าพระราชอำนาจของพระประมุข (ruler) นั้นต่างกับของประธานประเทศ – เพราะประธานแม้เป็นผู้ปกครองด้วยก็จริงแต่ปกครองแบบ Governor ซึ่งทำหน้าที่เมนคือผู้บริหารจัดการแบบผู้จัดการบริษัทแบบ manager นั่นเอง

ทว่าบรรดานักอ้างธรรมะ แต่ส่วนมากมักเป็นเช่นนักธรรมคริสต์ คือ Theologian; ที่ยังเข้าใจพุทธศาสตร์แทนพุทธศาสน์ เช่นเข้าใจวิชาเปรียญธรรม, ศาสนศาสตร์ ว่าเป็นอันเดียวกับวิชชาธรรมะหรือธรรมศาสน์ โดยไม่เข้าใจว่าการปฏิบัติศีลสิกขา 4 ประการ ที่ประการที่ 2 คือ กำจัดอกุศลกรรมกามสุขัลลิกานุโยค นั้นได้แก่การกำจัดอารมณ์รัก-ใคร่-อยากต่อความสุขจากรูป เสียง กลิ่น รส อบอุ่น และประการที่ 3 คือ กำจัดอบายภูมิ 4 คือ การปฏิบัติศีล 5 รวมถึงประการที่ 4 คือ อาศัยการปฏิบัติศีลนี้ให้ได้สุขโดยปราศจากโทษ ได้แก่ ไม่ยึดศีลจนโม่ห์เช่นไม่กล้าฆ่าสัตว์เป็นอาหาร ฯลฯ

และการปฏิบัติจิตสิกขา คือ สมาธิ 4 ประการ นั้นว่าเฉพาะข้อที่ 3 คือการกำจัดกามธาตุ (รัก-ใคร่-อยาก) ทุกเวลา เพื่อให้เกิดปัญญารู้ว่าท่านนบีฯ มีกุศโลบายโดยรู้แจ้ง; จึงวาง Form ให้ชาวมุสลิมปฏิบัติศีล-สมาธิ-ปัญญาอย่างไม่รู้ตัว จึงเห็นว่าชาวมุสลิมได้ผลกว่าชาวพุทธส่วนมาก, ทั้งต้องทำละหมาดวันละ 5 ครั้งทุกวันอีกด้วย, เท่ากับทบทวนการกระทำ 2-3 ช.ม.ครั้ง จึงได้ผลมาก

อันชี้ให้เห็นได้ว่า เรื่องการสร้างชีวิตสังคม; ให้ดีมีสันติสุขนั้น; ต้องอาศัยผู้รู้วิชชาชีวิตจากการปฏิบัติศีลสิกขา, จิตสิกขา, ปัญญาสิกขาเพื่อให้เกิดพุทธะ (wise); เป็นคนดีที่ชอบช่วยผู้อื่นเสมอ ๆ

ดังนั้น การจะคิดดี, เป็นคนดีทางการเมืองเรื่องกุศโลบายให้พลเมืองมีสันติสุขได้จริงนั้น; ต้องโดยคนมีพุทธะ, เป็นคนดีที่เห็นใจคนอื่น ๆ แค่ 2-3 คน ก็พอ; ช่วยวาง Form ให้; โดยมุ่งให้มีการปฏิบัติตาม Form ของคนระดับ wiseman มิใช่ให้คนมาก ๆ มาร่วมคิดตามอ้างประชาธิปไตยดังเข้าใจ ๆ กัน เพราะคน 3 ส่วน แม้เรียนเก่ง, สูงปานใด; แต่ก็ยังเป็นคนบัวใต้น้ำอยู่ดี คือคิดด้วยจิตเจตนาที่อกุศลจิตต์ (จิตต์แม่) เป็นผู้ให้พลังรู้อยู่ – แต่ยังมีการเข้าใจผิดกันว่า “คนเรียนมาก, มีตำแหน่งสูง; เป็นคนบัวปริ่มน้ำนั้น; ไม่เสมอไป” ดังที่ว่าเศรษฐียังเป็นคนบัวใต้น้ำตามที่คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวไว้นั้นแล:

ฉะนั้นการอ้างสิทธิ์ตามยาพิษของยิวนั้น; ต้องรู้ว่าเฉพาะทางการเมืองนั้น wiseman ต้องวาง Form ให้; อย่างรู้แจ้ง โดยมุ่งให้คนอาชีพเดียวกันเลือกพวกเดียวกัน; เพราะมุ่งได้คนฉลาด-ดีที่มีเจตนา-เจตสิกเดียวกันแทนกันตามกฎที่ว่า Nine Soldiers out of ten born fool

นั่นคือต้องหา “คนฉลาดและดี, ที่ชอบช่วยผู้อื่น” มาเป็นผู้วางรูปแบบ, ระบอบ, สำนวน, วิธี ฯลฯ (Form) ให้ถูกกฎธรรมชาติที่สุด, ดีกว่าการสอนที่ผู้สอน 90% ดังผ่าน ๆ มายังเข้าใจผิดว่าถูกต้องและดีแล้วทั้งๆ ที่สูญเปล่า; พอ ๆ กับสอนวิชชาชีวิตจริงของมนุษย์ (ธรรมะ) ที่ Buddha ให้ไว้ 2598 ปีแล้ว แต่เพราะพระสาวกส่วนมากยังนำมาสอนอย่างไม่เป็น wiseman จึงแทบไม่ได้ผล เพราะไม่รู้แจ้งว่าการสอนที่ดีคือการออก Form ให้ปฏิบัติเป็นหลัก แล้วค่อยสอนเพียงน้อยแบบของชาวมุสลิมนั้นแล

การเมืองไทยไม่ก้าวหน้า ดังเราจะพบว่า “ผู้ภูมิใจว่าตนมีความรู้การเมือง” มีสิทธิ์, มีโอกาส, มีอำนาจออกที.วี.บ่อย ๆ; แต่ผิด ๆ เพราะอวิชชาจึงไม่มี wise เห็นวิชาการเมืองอย่างสว่างโร่ จึงเท่ากับคนโม่ห์สอนการเมืองที่เป็นเรื่องละเอียดลึก; เพราะเป็นเรื่องของการทำให้พลเมืองมีสันติสุข; ที่แม้ต้องให้มีเงินก็จริง; แต่ถ้ามุ่งเรื่องเงินอย่างเอาเป็นเอาตาย; ก็จะกลายเป็นเห็นเศรษฐีเป็นเทวดา ทั้ง ๆ ที่ผิด; ดังในไทยนักธุรกิจใช้เงินจ้างประชาชนให้ทำตามนายทุนต้องการจึงทำให้เกิดไม่สันติสุขจริง ดังปรากฏความเลวร้ายทางการเมืองตลอดมา โดยเฉพาะนักเก่งวิชาการเมืองที่ไร้พุทธะ – จะไม่รู้แผนยิวที่ผลิตยาพิษเรื่องสิทธิ์ขึ้นมาอย่างเจตนาดีแต่พาไปนรกเลยทำให้พลโลก คือคนมักยึดสิทธิ์; แต่ไม่ยึดหน้าที่ที่กฎธรรมชาติให้มา!

ดังแทบไม่มีนักพูดในไทยคนใดตามอังกฤษ; ที่แม้คนอังกฤษส่วนมากจะไม่มีพุทธะอย่างไทย แต่เขาทำดีถึง 70% กรณีการเข้าใจ “เรื่องอำนาจหน้าที่ของพระเจ้าแผ่นดิน” เช่นเรื่องการทรงราชย์ = ครองราชย์ที่เป็นพระราชสมบัติอันสืบทอดมา – อย่างในไทยเริ่มอย่างน้อยมาแต่กรุงสุโขทัย, กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงเทพ คือ 4 ราชธานีมาแล้ว; ขณะที่พลเมืองซึ่งเข้ามาอาศัยในแผ่นดินนี้ อันเป็นราชสมบัติของพระเจ้าแผ่นดิน, บ้างเพิ่งมาอาศัยไม่ถึง 100 ปี แต่ไฉนยังกล้าทำตัวเป็นทรพี-อกตัญญู?

แลเรื่องการปกครองแบบ rule และ governed นั้น แม้แต่พ่ออันเป็นประมุขบ้าน; ยัง Limited อำนาจลงกว่าเมื่อ 80 ปีก่อนเยอะแยะ

เช่นในอังกฤษโดยเฉพาะการแต่งตั้งนายกฯ นั้นพระเจ้าแผ่นดินทรงมีเอกสิทธิ์ แลแม้ปัจจุบันพระราชอำนาจจะผ่านทางรัฐสภาในบางประการ แต่ก็ยังเป็นไปตามกฎธรรมดา (Common law) เช่นการแต่งตั้ง, ถอดถอน ร.ม.ต., เปิด-ปิด การประชุมรัฐสภา, ยับยั้งไม่ให้ความเห็นชอบต่อกฎหมาย, สถาปนาขุนนาง, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, แต่งตั้งผู้พิพากษา, พระราชทานอภัยโทษ, ดำเนินกิจการระหว่างประเทศ, ทำสนธิสัญญา, ประกาศสงคราม และระงับศึก ที่สรุปว่า “พระประมุขย่อมเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ดุจพ่อของครอบครัวที่ไม่อาจเขียนไว้ได้ละเอียดกรณีเรื่องการปกครอง, คุ้มครองให้ผู้ใต้ปกครองปลอดภัย และดูแลให้ผู้ใต้ปกครองสันติสุข” ที่ทางการเมืองหมายถึง governed อันปัจจุบันทรงผ่านทางฝ่ายบริหารของพระองค์ 2 คณะ คือ คณะรัฐมนตรี และข้าราชการประจำ

หากไม่ทรงใช้พุทธะจริง; เพราะกลัวต่างชาติที่ล้วนไม่มีพุทธะ; จะหาว่าไม่เป็นสากลนั้น ย่อมมิอาจทำให้พลเมืองมีสันติสุขจริงได้และหากจะอาศัยเงิน อย่างเดียว; จะสู้เดินแผนแบบจีน, เวียดนามได้หรือ? แหละทั้ง ๆ ที่ใน 18 ราชอาณาจักรนั้น อังกฤษราชอาณาจักรที่พระอาทิตย์ไม่ตกดินยังปักหลักว่า “พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ทรงใช้อำนาจอธิปไตยในฐานะเป็นประมุขแห่ง Kingdom; แต่จะทรงใช้พระราชอำนาจแห่งการทรงเป็น ruler นั้นในสภาวการณ์ที่ผิดปกติวิสัยเท่านั้น คือ ทรงตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง”

ดุจประมุขบ้านก็จะใช้นาน ๆ ครั้ง – จึงเป็นที่มาว่าลูก ๆ กลัวพ่อ, จึงทำให้บ้านสันติสุข – ปลอดภัย, แต่หากพ่อกลัวบ้านอื่นๆ จะนินทานั้น; ก็จะเป็นเช่นบ้านบัวใต้น้ำมากขึ้น ๆ – อย่างนี้เป็นแบบสวิเดนเสียดีกว่า!

อนึ่งการยุบสภาของอังกฤษนั้น; พระองค์ทรงปฏิเสธได้ 3 ประการ ซึ่งประการแรก คือ หากการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงเวลานั้นอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ฯลฯ

ทั้งสำคัญสุดคือพระเจ้าแผ่นดินทรงต้องช่วยรักษาสถาบันกษัตริย์; เหล่านี้คือกฎการปกครองโดยผู้ปกครอง; ต้องใช้ความรู้คิด-รู้ถึงการเมืองว่านักการเมืองล้วนใช้ความรู้สึก ที่เหตุทั่วโลกว่าสถาบันกษัตริย์พังเพราะการเมืองทั้งนั้น อย่างไทยบัดนี้พลเมืองผู้ใต้ปกครองกำลังขาดที่พึ่งจากผู้ปกครอง; จึงต้องระวัง!

กษัตริย์อังกฤษจึงมีเอกสิทธิ์ในการเตือนสติ ร.ม.ต. ว่าต้องกราบบังคมทูลให้ทรงทราบทุกครั้งในการตัดสินใจจะกระทำการใด ๆ, เอกสารที่สำคัญทางราชการทุกฉบับต้องส่งไปให้พระประมุขทรงทราบเป็นการด่วน แม้จะทรงพักผ่อนอยู่ในเรือยอร์ทหลวง, และนายกฯ ต้องเข้าเฝ้าเป็นประจำทุกสัปดาห์เป็นอย่างน้อย แต่ในไทยได้เป็นเช่นนี้ไหม?

แลสิ่งสำคัญสุด ๆ คือทุกพรรคการเมืองมักบิดเบือนข่าว, ร.ม.ต.มักลำเอียงเข้าข้างตนเองในสิ่งที่ตนได้กระทำมา และผู้นำบางคนมักจะยึดถือพรรคการเมืองเป็นจุดหมายปลายทางในตัวของมันเอง จึงพากันยึดมั่นอยู่กับหลักการของพรรคอย่างเอาเป็นเอาตาย

ทำให้ประชาชนทั่วไปซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคใดอย่างถาวร จึงจำเป็นต้องหาทางออกอันปลอดภัยโดยอาศัยบุคคลผู้หนึ่งซึ่งมีความเที่ยงธรรม ยืนอยู่เหนือการเมืองระบบพรรค, ซึ่งถือประโยชน์เดียวคือความสันติสุขของพลเมืองทั้งหมดและมีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาเท่านั้น – ว่าท่านผู้นั้นคือ “พระเจ้าแผ่นดิน

เหล่านี้ชี้ให้เห็นได้ว่า “การเมืองไทยนั้นนักการเมืองและนักวิชาการล้วนโม่ห์จึงไปรับ Form การเมืองมาจากสากล คือจากประเทศส่วนมากที่เป็นสาธารณรัฐ 150 กว่าแห่ง ขณะมีราชอาณาจักร 18 แห่ง แต่กลับไม่สนใจ เช่นราชอาณาจักรโด่งดังเช่นอังกฤษ, เนเธอร์แลนด์, นอรเวย์ หรือแม้แต่สวิเดน ที่ทั้งหมดของ Kingdom นี้ มีแต่เดนมาร์คเท่านั้นที่ทำการเมืองผิดธรรมเนียม Kingdom อย่างที่สุด! (ญี่ปุ่นไม่ใช่คิงดอม) แต่คณะอนุรักษ์ไทยไม่ต้องการให้คนไทยตามวิธีการหาเสียงของหัวหน้าพรรคแบบอังกฤษเพราะผิดธรรมเนียมของคิงดอม

จึงขอสรุปว่าหากยังมี Form การเมืองแบบนี้, และยังอาศัยความคิดดิบตามความรู้สึกของนักการเมืองและนักวิชาการรวมถึงสื่อมวลชนส่วนมากที่รู้สึกเห็นแก่ตัวอยู่เช่นนี้ รับรองว่าราชอาณาจักรไทยไม่มีทางสันติสุขได้ ยิ่งรัฐบาลชุดนี้ด้วยแล้ว – ยากมาก ๆ จะทำให้ชาติไทยปลอดภัย ยิ่งทหารบกยังเป็นแบบ Nine Soldiers out of ten are born tool ด้วยแล้ว เชื่อว่า state Kingdom อยู่ได้ไม่นาน! เพราะ “ความรู้สึก” ของนักการเมืองและบริวาร; เป็นผู้ทำลายนักปกครอง “ผู้รู้คิด” ของราชอาณาจักรมามากแล้ว


ด้วยความปรารถนาดี จาก “คณะอนุรักษ์ฯ” 30 เมษายน 2553


อภินันทนาการจาก มยุรา อุรเคนทร์ อดีตส.ส.จังหวัดมหาสารคาม