ข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกัน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ตารางการบินที่แสดงเที่ยวบินร่วมที่ท่าอากาศยานวอลซอล โชแปง
ตารางการบินที่แสดงเที่ยวบินร่วมที่ท่าอากาศยานฟุกุโอะกะ

ข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกัน (อังกฤษ: codeshare agreement หรือ codeshare) หรือ เที่ยวบินร่วม เป็นข้อตกลงทางธุรกิจการบินระหว่าง 2 สายการบินหรือมากกว่าทำการบินร่วมกันในเที่ยวบินเดียวกัน (การบินร่วมในที่นี้หมายถึงแต่ละสายการบินทำการจำหน่ายตั๋วเครื่องบินสายการบินของตนเอง แต่ทำการรวมเที่ยวบินของแต่ละสายมาใช้เครื่องบินลำเดียวกันและตารางเวลาเที่ยวบินเดียวกัน) ซึ่งผู้โดยสารสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินของสายการบินและเที่ยวบินที่ต้องการ แต่อาจทำการบินด้วยสายการบินเดียวที่ร่วมข้อตกลงนั้นไว้ โดยทั่วไปจะเรียกว่า สายการบินที่ปฏิบัติการ หรือ "สายการบินที่บริการจัดการ[1]" (ตามคำนิยามใน IATA Standard Schedules Information Manual)

สำหรับรหัสของเที่ยวบินของเที่ยวบินร่วมนั้น จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษรสองตัวที่แทนรหัสของสายการบินตาม IATA แล้วตามด้วยเลขที่เที่ยวบิน เช่น XX123 (เที่ยวบินที่ 123 ทำการบินด้วยสายการบิน XX) ซึ่งอาจจะทำการขายตั๋วเครื่องบินของสายการบินอื่นโดยใช้เที่ยวบินอื่นเช่น สายการบิน YY เที่ยวบินที่ YY4456 และ สายการบิน ZZ เที่ยวบินที่ ZZ9876. โดยสายการบิน YY และ ZZ ในที่นี้จะถูกเรียกว่า "สายการบินที่ทำการตลาด" ซึ่งสายการบินหลักๆ ส่วนใหญ่ทั่วโลก ต่างมีข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกันแทบทุกสายการบิน และเที่ยวบินร่วมถือเป็นหน้าที่หลักของพันธมิตรการบิน โดยพันธมิตรการบินเดียวกันมักจะทำเที่ยวบินร่วมกันก่อนเสมอ

ประวัติ[แก้]

ในปี พ.ศ. 2510 ริชาร์ด เอ. เฮนสัน ร่วมกับ ยูเอสแอร์เวย์ ทำข้อตกลงกับ อาเลเกยนี่แอร์ไลน์ ทำเที่ยวบินร่วมเป็นเที่ยวแรก[2] โดยคำว่า "เที่ยวบินร่วม" ถูกเริ่มใช้เมื่อปี พ.ศ. 2532 โดยสายการบิน ควอนตัส กับ อเมริกันแอร์ไลน์[3] และในปี พ.ศ. 2533 ทั้งสองสายการบินได้เริ่มใช้เที่ยวบินร่วมระหว่างกัน ในเที่ยวบินภายในประเทศระหว่างเมือง ในประเทศออสเตรเลีย และ สหรัฐอเมริกา ข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกันจึงเป็นที่แพร่หลายนำจากนั้นมา ซึ่งต่อได้ทำให้เกิดการร่วมตัวของสายการบินขนาดใหญ่รวมกันเป็น "พันธมิตรสายการบิน" และในพันธมิตรสายการบินก็ต่างใช้เที่ยวบินร่วมเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และจัดตั้งรายการสะสมแต้มการบินร่วมกันด้วย

การนิยามคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง[แก้]

ภายใต้ข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกัน สายการบินที่ดูแลการบิน (สายการบินที่ถือสิทธิ์ในการปฏิบัติงานภายในสนามบิน การวางแผน การควบคุมเที่ยวบิน และการจัดการภาคพื้นดิน) จะเรียกว่า "สายการบินที่ปฏิบัติการ" หรือเรียกว่า OPE CXR ถึงแม้ว่า IATA SSIM จะให้คำนิยามของ Administrating carrier ซึ่งเป็นคำนิยามที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า เนื่องจากอาจมีผู้ให้บริการรายที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยทั่วไปแล้วจะเกิดขึ้นในกรณีที่สายการบินเดิมที่จำปฏิบัติการบินจำเป็นต้องจ้างผู้รับเหมาเพื่อดำเนินการบินในนามของสายการบินเดิม (มักเป็นการเช่าอากาศยานแบบ Wet Lease คือ การเช่าอากาศยานไปพร้อมลูกเรือ และสิ่งอำนวยความสะดวกบนเที่ยวบิน เนื่องจากการจำกัดทางความจุ หรือปัญหาทางเทคนิค เป็นต้น) ในกรณีนี้สายการบินที่บรรทุกผู้โดยสารจะกำหนดให้เป็น สายการบินที่ปฏิบัติการ เนื่อจากทำหน้าที่บรรทุกผู้โดยสารหรือสินค้า

เมื่อมีการขายที่นั่งบนเครื่องบินโดยใช้ชื่อผู้ให้บริการและหมายเลขเที่ยวบินตามที่อธิบายข้างต้น สายการบินที่ปฏิบัติการ จะเรียกว่า "สายการบินหลัก"

เหตุผลและประโยชน์[แก้]

ภายใต้ข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกัน สายการบินที่เข้าร่วมสามารถแสดงหมายเลขเที่ยวบินทั่วไปได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่

ต่อผู้โดยสาร[แก้]

  • การต่อเที่ยวบิน: ช่วยในการกำหนดเส้นทางที่ชัดเจนให้แก่ผู้โดยสาร โดยช่วยให้ผู้โดยสารสามารถจองเที่ยวบิน จาก จุด A ไปจุด C ผ่าน B ได้โดยใช้รหัสสายการบินเดียวกัน แทนที่จะต้องจองจากจุด A ไปจุด B ด้วยรหัสสายการบินหนึ่ง และจากจุด B ไปจุด C ด้วยรหัสสายการบินอีกรหัสหนึ่ง ซึ่งสายการบินที่มีข้อตกลงการบินร่วมกันพยายามที่จะปรับตารางบินให้ตรงกันด้วย

ต่อสายการบิน[แก้]

  • เที่ยวบินจากสายการบินที่บินในเส้นทางเดียวกัน: ช่วยเพิ่มความถี่ในการให้บริการในเส้นทางที่บินด้วยสารการบินเดียว
  • ช่วยให้รับรู้ถึงความต้องการในตลาด: วิธีนี้ช่วยให้สายการบินที่ไม่ได้บินด้วยเครื่องบินของตนในเส้นทาง ได้รับข้อมูลทางการตลาดผ่านการแสดงหมายเลขเที่ยวบินของสายการบิน
  • เมื่อสายการบินนำที่นั่งของตนให้กับสายการบินอื่นในฐานะสายการบินคู่พันธมิตร ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะลดลง[4]

ประเภทของข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกัน[แก้]

ข้อตกลงการบินมีหลายประเภท ดังนี้

  1. Block space codeshare: สายการบินที่ทำการตลาดซื้อที่นั่งอย่างจำนวนแน่นอนจากสายการบินที่ปฏิบัติการ (หรือ สายการบินหลัก) โดยจะจ่ายในราคาที่แน่นอนให้กับสายการบินหลักและจะไม่อยู่ภายใต้การจัดการการขายของสายการบินหลัก สายการบินที่ทำการตลาดจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะจำหน่ายที่ใดในชั้นใด (บริเวณของที่นั่งจะถูกกำหนดไว้อย่างแน่นอน)
  2. Free flow codeshare: ระบบการจองของสายการบินที่ทำการตลาดและสายการหลักจะมีการสื่อสารกันตลอดเวลา โดยใช้ระบบ IATA AIRIMP/PADIS messaging (TTY and EDIFACT) ชั้นของบัตรโดยสารจะถูกจัดการร่วมกัน โดยไม่มีที่นั่งถูกจำกัดไว้ให้แต่ละสายการบิน และแต่ละสายการบินจะจำหน่ายเป็นจำนวนเท่าใดก็ได้
  3. Capped free flow: จะคล้ายกับ Free flow codeshare แต่จะมีการกำหนดจำนวนที่นั่งสูงสุดที่จำหน่ายได้ของแต่ละสายการบินที่ทำการตลาดภายใต้ข้อตกลงร่วมกับสายการบินปฏิบัติการ

ความกังวลของสายการบินคู่แข่ง[แก้]

การแข่งขันในอุตสาหกรรมการบินเกิดขึ้นที่การจำหน่ายตํ๋ว (หรือ "การจองที่นั่ง") กลยุทธ์ (การบริการรายได้, การกำหนดราคาแปรผัน, ภูมิศาสตร์ทางการค้า) อย่างไรก็ตาม องค์กรเพื่อผู้บริโภคสหรัฐอเมริกา และองค์การการค้าแห่งสหรัฐอเมริกามีการต่อต้านการใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกันเนื่องจากเป็นการสร้างความสับสนและเป็นการไม่โปร่งใสแก่ผู้โดยสาร[5]

พันธมิตรทางอากาศ-ทางราง[แก้]

นอกจากนี้ยังมีการทำข้อตกลงระหว่างสายการบินและบริษัทรถไฟหรือรู้จักในนาม พันธมิตรทางอากาศ-ทางราง โดยมักทำการตลาดในรูปของ "Rail & Fly" โดยเกิดมาจากความนิยมของ ด็อยท์เชอบานกับสายการบินจำนวนมาก[6] โดยเกิดจากการบูรณาการรูปแบบการเดินทางทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน ในการหาวิธี่การเดินทางเชื่อมต่อที่เร็วที่สุดและเชื่อมต่อระหว่างเครื่องบินและรถไฟโดยใช้บัตรโดยสารใบเดียว ซึ่งช่วยให้ผู้โดยสารสามารถจัดการจองการเดินทางทั้งหมดในเวลาเดียวกัน และมักจะมีราคาที่ถูกกว่าการซื้อตั๋วโดยสารแยกกัน

อ้างอิง[แก้]

  1. ตามคำนิยามของ IATA Standard Schedules Information Manual
  2. "Piedmont's Roots Run Deep".
  3. Financial Review, 21 พฤศจิกายน, 1989
  4. Sharkey, Joe (5 ธันวาคม, 2011). "Forget the Airline's Name; It's All About Alliances". The New York Times. เข้าถึงวันที่ 14 พฤษภาคม 2019.
  5. "What the Heck Is a Codeshare, Anyway?". ABC News.
  6. ""Rail&Fly"". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-05-14. สืบค้นเมื่อ 2019-05-14.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]