การคลังสาธารณะประเทศอังกฤษ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

โครงสร้างภาษี[1][แก้]

1. ฐานภาษี

ผู้ที่ต้องเสียภาษ คือผู้ที่มีรายได้จากการจ้างงานตนเองและหน่วยงาน ธุรกิจ ค่าเผื่อเงินบำนาญเกษียณ รายได้จากการให้บริการของธนาคาร และการจ่ายเงินปันผลหุ้น รายได้จากผลประโยชน์ การเสียภาษีรายได้จะไม่เกี่ยวกับการประกันสังคม

2. เงินสมทบประกันแห่งชาติ (NICs)

เงินสมทบประกันแห่งชาติทำหน้าที่เหมือนภาษีรายได้ แต่การชำระเงินให้สิทธิบุคคลที่จะบริจาค การรักษาความปลอดภัยทางสังคม ผลประโยชน์ในทางปฏิบัติ การจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันแห่งชาติ NI

3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายทั้งหมด เป็นภาษีที่มีมูลค่าเพิ่มในแต่ละขั้นตอนการผลิต แต่บริษัทอาจหักภาษีที่จ่ายในปัจจัยการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท

4. ภาษีทางอ้อมอื่น

เรียกเก็บภาษีจากสินค้าสามประเภทหลัก คือ เครื่องดื่มมีส่วนของแอลกอฮอล์ เชื้อเพลิง ยาสูบ และถนนโดยจะถูกเรียกเก็บในอัตราที่แบน

5. ภาษีกำไร (CGT)
5.1 ภาษีกำไรหุ้น บริษัทที่มีกำไรจะต้องเสียภาษี มีการเรียกเก็บจากกำไรที่เกิดขึ้นจากการจำหน่ายสินทรัพย์โดยบุคคลและคณะกรรมาธิการ
5.2 ภาษีมรดก ใช้แทนเงินทุนโอนภาษี ภาษีนี้ถูกนำไปใช้กับการถ่ายโอนทรัพย์สินก่อนตาย
5.3 อากรแสตมป์ เรียกเก็บจากหลักทรัพย์ (หุ้นและพันธบัตร) การทำธุรกรรมและยานพาหนะและการโอนที่ดินและทรัพย์สิน
6. ภาษีคอร์ปอเรชั่น เป็นภาษีนิติบุคคลเกี่ยวกับผลกำไรทั่วโลกของบริษัทที่มีถิ่นที่อยู่ในสหราชอาณาจักร ภาษีนิติบุคคลเป็นค่าใช้จ่ายประกอบด้วยรายได้จากการค้าการลงทุนและกำไรจากการหักเงินต่างๆ
7. ภาษีอากร ของการผลิตเหนือทะเล มีสามชั้นของภาษี คือ ภาษีปิโตรเลียม ภาษีรายได้ และภาษีนิติบุคคลและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ภาษีเหล่านี้จะมีการเรียกเก็บจากมาตรการของกำไร แต่มีความแตกต่างกันที่ค่าใช้จ่ายและการหักเงินที่อนุญาต
8. จัดเก็บธนาคาร เป็นเงินประกันที่ให้ความชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เราจะได้รับจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในอนาคต
9. ภาษีสภา เป็นการเก็บภาษีแทนที่การเก็บภาษีท้องถิ่น ภาษีเป็นไปตามการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น อัตราส่วนความแตกต่างกำหนดโดยรัฐบาลกลาง
10. อัตราการธุรกิจ เป็นการเรียกเก็บภาษีจากธุรกิจที่ไม่ใช่ร้านค้า สำนักงาน คลังสินค้าและโรงงาน

หน่วยงานที่รับผิดชอบรายจ่ายประจำปีและหน่วยงานที่รับผิดชอบการร่างงบประมาณ [2][แก้]

การร่างงบประมาณและรายจ่ายประจำปีเป็นหลักการพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบดังนี้

1. รัฐบาล มีหน้าที่ในการเสนอคำร้อง
2. สภาสามัญ มีหน้าที่ในการอนุมัติ
3. สภาขุนนาง มีหน้าที่ในการให้ความยินยอมเห็นชอบ
4. สำนักงานตรวจบัญชีแห่งชาติ หรือ NAO มีหน้าที่ในการประเมิน

และในส่วนรายจ่ายประจำปีนั้น มีหน่วยงานที่รับผิดชอบดังนี้

1. หน่วยงานที่ต้องการใช้งบประมาณ มีหน้าที่ยื่นคำร้องต่อรัฐบาล
2. รัฐบาล มีหน้าที่พิจารณาและเสนอคำร้อง
3. เมื่อมีการอนุมัติแล้วและหน่วยงานได้นำงบประมาณไปใช้แล้ว สำนักงานตรวจบัญชีแห่งชาติ หรือ NAO จึงมีหน้าที่เข้ามาทำการตรวจสอบและประเมิน

กระบวนการงบประมาณแผ่นดิน[3][แก้]

ในเรื่องกระบวนการด้วยงบประมาณแผ่นดินของประเทศอังกฤษ สภาสามัญได้มีหน้าที่ในการควบคุมทางการคลัง โดยการอนุมัติงบประมาณ ให้ความเห็นชอบการใช้จ่ายงบประมาณ และคอยตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีจะมีอำนาจในการกำหนดงบประมาณประจำปี รวมทั้งมีบทบาทอย่างยิ่งในการพิจารณาผ่านร่างงบประมาณประจำปีของรัฐสภา เมื่อรัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องนำเงินงบประมาณไปใช้รัฐบาลจะต้องอธิบายถึงรายละเอียดว่าจะนำเงินงบประมาณไปใช้และใครหรือหน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบเพื่อให้มีความมั่นใจว่าเงินเหล่านี้จะนำไปใช้อย่างเหมาะสมแล้วจึงส่งคำร้องไปที่สภาสามัญเมื่อสภาสามัญอนุมัติคำร้องแล้วก็จะต้องได้รับการยินยอมอย่างเป็นทางการจากสภาขุนนางถ้าคำร้องได้รับการอนุมัติแล้วจะมีพระราชบัญญัติที่ระบุเกี่ยวกับการใช้งบประมาณออกมาอันเป็นกฎหมายที่กำหนดแนวทางการนำงบประมาณแผ่นดินไปใช้

สวัสดิการทางสังคม[4][แก้]

แนวคิดแบบรัฐสวัสดิการ ซึ่งถือหลักการปกครองแบบพ่อกับลูก เป็นแนวคิดที่มีมาตั้งแต่ยุครัฐสมบูรณาญาสิทธิราชภายใต้อิทธิพลของศาสนาคริสต์ตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๘ และต่อมาในศตวรรษที่ ๑๙ ก็ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดสวัสดิการสังคม ที่ว่ารัฐมีหน้าที่ส่งเสริมและดำเนินการต่างๆ รวมทั้งใช้อำนาจแทรกแซงกลไกการแข่งขันอย่างเสรี เพื่อประกันสวัสดิภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ได้มาตรฐาน ให้สงเคราะห์แก่สมาชิกสังคมที่อ่อนแอ ด้อยโอกาสและตกทุกข์ได้ยากที่ไม่สามารถยกระดับชีวิตให้ได้มาตรฐานตามกำลังของตนเองบรรเทาความเลื่อมล้ำทางสังคม โดยรัฐมีหน้าที่

1. ประกันสวัสดิการขั้นต่ำ โดยจัดให้มีการสงเคราะห์แก่ผู้ยากไร้
2. ประกันสวัสดิภาพสังคมให้มั่นคง
3. บรรเทาความเหลื่อล้ำและยกระดับสวัสดิภาพและการครองชีพให้ได้มาตรฐานโดยจัดให้มีบริการสาธารณะ:อย่างพอเพียง และดำเนินนโยบายสังคมในรูปแบบต่างๆตามความเหมาะสม


อ้างอิง[แก้]

  1. "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2005-10-27. สืบค้นเมื่อ 2013-12-31.
  2. "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-12-05. สืบค้นเมื่อ 2013-12-31.
  3. "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-12-05. สืบค้นเมื่อ 2013-12-31.
  4. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2013-12-31.