กัลมาษบาท
ในเทพปกรณัมฮินดู กัลมาษบาท (สันสกฤต: कल्माषपाद กลฺมาษปาท), เสาทาส (สันสกฤต: सौदास), มิตรสหะ (สันสกฤต: मित्रसह), หรือ อมิตรสหะ เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์อิกษวากุ ซึ่งถูกฤษีวสิษฐะสาปให้กลายเป็นรากษส[1] พระเจ้ากัลมาษบาทเป็นต้นวงศ์ของพระรามซึ่งถือกันว่าเป็นอวตารของเทพวิษณุและเป็นวีรบุรุษในมหากาพย์ฮินดูเรื่อง รามายณะ เอกสารหลายฉบับพรรณนาว่า พระเจ้ากัลมาษบาททรงถูกสาปให้สิ้นพระชนม์ถ้าร่วมประเวณีกับพระมเหสี พระองค์จึงขอให้ฤษีวสิษฐะประทานบุตรให้ด้วยวิธีนิโยคอันเป็นวิธีตามประเพณีโบราณที่ชายสามารถขอให้ภริยามีสัมพันธ์กับชายอื่นเพื่อให้เกิดบุตรได้ [1] พระเจ้ากัลมาษบาทยังปรากฏในร้อยกรองเรื่องสำคัญอย่าง ปุราณะ, มหาภารตะ, และ รามายณะ[1]
ภูมิหลัง
[แก้]ปุราณะ และ มหาภารตะ ระบุตรงกันว่า พระเจ้ากัลมาษบาทเป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทัศน์ แต่ รามายณะ ว่า เป็นพระโอรสของพระเจ้ารัคหุ ขณะที่เอกสารอื่นกลับระบุว่า พระรัคหุทรงเป็นเชื้อสายของพระเจ้ากัลมาษบาท[2] เอกสารทั้งหมดกล่าวเหมือนกันว่า บรรพบุรุษของพระเจ้ากัลมาษบาท คือ พระเจ้าสัคระ และพระเจ้าภคีรถ แต่ระบุต่างกันตรงสายวงศ์ฝ่ายพระเจ้าภคีรถจนถึงพระเจ้ากัลมาษบาท[3][2]
บางฉบับว่า พระเจ้ากัลมาษบาทเป็นที่รู้จักด้วยพระนาม "เสาทาส" อันเป็นชื่อวงศ์ฝ่ายพระบิดา และมีพระนามเดิมว่า "มิตรสหะ" แปลว่า ผู้งดเว้นเพื่อน[4] อรรถกถาซึ่งอธิบาย วิษณุปุราณะ กล่าวว่า มิตรสหะเป็นพระนามที่ทรงได้มาเนื่องจากทรงงดตอบโต้ฤษีวสิษฐะผู้เป็นพระสหาย หลังจากฤษีวสิษฐะสาปแช่งพระองค์[5]
ส่วน พรัหมปุราณะ, วายุปุราณะ, หริวงศ์, และ อัคนิปุราณะ ออกพระนามพระองค์ว่า "อมิตรสหะ" อันแปลว่า ผู้งดเว้น "อมิตร" (ศัตรู) จึงมีการตีความว่า เอกสารเหล่านี้ถือเอาฤษีวสิษฐะเป็นศัตรูของพระองค์[5]
เอกสารกล่าวว่า พระเจ้ากัลมาษบาทเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรโกศล เมืองหลวง คือ อโยธยา พระมเหสี คือ พระนางมทยันตี[1] แต่ ภาควตปุราณะ ว่า พระมเหสี คือ พระนางทมยันตี[3]
การกลายเป็นรากษส
[แก้]คำสาปของศักติ
[แก้]มหาภารตะ ว่า ครั้งหนึ่ง พระเจ้ากัลมาษบาทประพาสป่าล่าสัตว์ เสด็จมาถึงทางแคบ ทรงพบศักติมหาฤษี บุตรหัวปีของฤษีวสิษฐะ แต่ไม่ทรงหลีกทางให้ เพราะถือว่า พระองค์ทรงอยู่ในวรรณะกษัตริย์ซึ่งสูงกว่าวรรณะนักบวช ส่วนฤษีศักติก็ไม่หลีกทางให้พระองค์เช่นกัน พระเจ้ากัลมาษบาทพิโรธ ทรงตีฤษีศักติด้วยแส้ในพระหัตถ์ ฤษีศักติจึงสาปให้พระองค์ต้องทรงติดอยู่ในป่า 16 ปี เมื่อฤษีวิศวามิตร คู่แข่งของฤษีวสิษฐะ ทราบเรื่อง จึงส่งรากษสตนหนึ่งไปสิงพระเจ้ากัลมาษบาท เพื่อใช้พระองค์บ่อนทำลายโคตรวงศ์ของฤษีวสิษฐะ ด้วยอำนาจของรากษสที่มาสิงสู่อยู่ในพระองค์ พระเจ้ากัลมาษบาททรงออกล่ามนุษย์เอาเนื้อมาเซ่นสรวงพราหมณ์ จึงทรงกลายเป็นรากษสกินเนื้อมนุษย์ในที่สุด[1][6][7]
คำสาปของวสิษฐะ
[แก้]ใน ศิวปุราณะ และในภาค อุตตรกัณฑ์ ของ รามายณะ มีเนื้อหาว่า ฤษีวสิษฐะสาปพระเจ้ากัลมาษบาท โดย อุตตรกัณฑ์ ว่า ครั้งหนึ่งขณะเสด็จป่าล่าสัตว์ พระเจ้ากัลมาษบาททรงประหารรากษสตนหนึ่งซึ่งแปลงกลายเป็นลูกเสือ เพื่อนตนอื่น ๆ ของรากษสนั้นจึงคืนร่างแล้วประกาศจะล้างแค้นแทนเพื่อน ส่วน ภาควตปุราณะ และ ศิวปุราณะ ว่า รากษสที่คืนร่างนั้นมิใช่เพื่อน แต่เป็นน้องชายหรือพี่ชาย และไม่ได้ระบุเกี่ยวกับการแปลงกลายเป็นเสือ[3][1] ขณะที่ วิษณุปุราณะ ว่า เป็นยักษ์ มิใช่รากษส[1]
เมื่อเสด็จกลับพระนคร พระเจ้ากัลมาษบาททรงเชิญฤษีวสิษฐะมาร่วมพิธีอัศวเมธ รากษสที่ว่าจะล้างแค้นจึงแปลงตัวเป็นฤษีวสิษฐะมาทูลว่า ตนประสงค์จะบริโภคเนื้อ ขอให้พระองค์จัดมาถวายถึงอาศรมด้วยเถิด แต่ตามปรกติแล้ว นักบวชไม่บริโภคเนื้อ เมื่อพระเจ้ากัลมาษบาทเสด็จพร้อมด้วยพระมเหสีมาถวายเนื้อต่อฤษีวสิษฐะถึงอาศรม ฤษีจึงมองว่า เป็นการดูถูกเหยียดหยาม และสาปให้พระเจ้ากัลมาษบาทกลายเป็นรากษส[1]
ส่วน ภาควตปุราณะ, วิษณุปุราณะ, และ ศิวปุราณะ ว่า รากษสล้างแค้นด้วยการแปลงตนเป็นพราหมณ์เข้าไปในครัวหลวง เมื่อฤษีวสิษฐะมาถึงพระราชวังเพื่อร่วมพิธีสารท รากษสตนนั้นก็ปรุงเนื้อมนุษย์มาถวายฤษี กล่าวว่า เป็นของจากพระมหากษัตริย์ ฤษีจึงโกรธ สาปให้พระเจ้ากัลมาษบาทกลายเป็นรากษสกินเนื้อมนุษย์ ต้องเร่ร่อนอยู่ในป่าเรื่อยไป พระเจ้ากัลมาษบาทเห็นว่า พระองค์มิได้กระทำผิดอันใด ฤษีจึงให้พระองค์กลายเป็นรากษสไปร่อนเร่อยู่ในป่าเป็นเวลา 12 ปีแทน พระเจ้ากัลมาษบาทไม่พอพระทัย ทรงคว้าน้ำมาสาปและจะสาดใส่ฤษีวสิษฐะ พระมเหสีทรงห้ามไว้ แต่น้ำที่สาปแล้วมิอาจลบล้างได้ หากสาดลงดิน พืชพันธุ์ก็พังสิ้น สาดขึ้นฟ้า ฟ้าฝนก็สูญสิ้น หรือสาดไปทิศใด สรรพชีวิตก็ตายสิ้น พระองค์จึงตัดสินพระทัยสาดลงตรงพระบาทของพระองค์เอง เป็นเหตุให้พระบาทกลายเป็นสีกระดำกระด่าง[1][6][3][8]
การเป็นรากษส
[แก้]มหาภารตะ ว่า การถูกฤษีวสิษฐะสาปให้เป็นรากษส ทำให้พระเจ้ากัลมาษบาททรงเคียดแค้นฤษีวสิษฐะและวงศ์วานยิ่งนัก พระองค์ทรงจับลูกหลานของฤษีวสิษฐะมาสังหารและเสวยเนื้อถึง 99 คนเป็นการล้างแค้น ฤษีวสิษฐะจึงหนีออกจากอาศรมไปธุดงค์ในป่า[1] มหาภารตะ และ ลิงคปุราณะ ว่า ฤษีวิศวามิตรเป็นผู้ยุยงให้รากษสกัลมาษบาทไปจับญาติพี่น้องของฤษีวสิษฐะกิน[9] ส่วนเอกสารที่เก่ากว่าอย่าง พฤหัทเทวตา เอ่ยถึงเจ้าชายกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นโอรสของพระมหากษัตริย์พระนาม สุทัส ออกเข่นฆ่าลูกหลานของฤษีวสิษฐะ[10]
เอกสารหลายฉบับกล่าวอีกว่า เมื่อทรงถูกสาปให้เป็นรากษสอยู่ในป่านั้น พระเจ้ากัลมาษบาททรงพบพราหมณ์ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังร่วมรักกัน ขณะที่ทั้งสองกำลังจะถึงจุดสุดยอด พระเจ้ากัลมาษบาททรงเข้าไปจับพราหมณ์หนุ่มเพื่อจะฆ่ากิน พราหมณ์ภรรยาร้องขอให้พระองค์ไว้ชีวิตสามีผู้กำลังจะทำให้นางตั้งครรภ์อยู่แล้ว ทั้งยังวิงวอนว่า การสังหารนักบวชนั้นเป็นบาป แต่พระเจ้ากัลมาษบาทไม่ทรงฟัง ทรงฆ่าพราหมณ์หนุ่มและเสวยเนื้อเขาเสีย พราหมณ์หญิงนั้นจึงสาปให้พระองค์สิ้นพระชนม์ทันทีที่แตะต้องหญิงใดก็ตามด้วยความรู้สึกทางเพศ ครั้นแล้ว พราหมณ์ภรรยาก็เผาร่างสามี แล้วโจนเข้ากองไฟตายตามไป[1][3]
ศิวปุราณะ ระบุต่อว่า บาปแห่งการที่พระเจ้ากัลมาษบาททรงประหารพราหมณ์ เกิดเป็นอสูรกายนามว่า พราหมณหัตยะ ออกตามล่าพระองค์ พระเจ้ากัลมาษบาททรงเร้นหนีอสูรนั้นจนมาถึงราชสำนักของพระเจ้าชนก ที่ซึ่งเคาตมมหาฤษีให้โอวาทแก่พระองค์ และแนะให้พระองค์ไปไถ่บาปที่วัดพระศิวะแห่งเมืองโคกรรณะ เมื่อเสด็จไปบำเพ็ญพรตที่โคกรรณะแล้ว อสูรพราหมณหัตยะก็เลิกจองเวรพระองค์[1]
มหาภารตะ ยังว่า พระเจ้ากัลมาษบาททรงพบกับฤษีอุตตังกะผู้ฝึกวิชา ณ สำนักฤษีโคตมะมาครบ 100 ปี และต้องชำระค่าครู เรียก "คุรุทักษิณ" ภรรยาของฤษีอุตตังกะจึงกล่าวแก่สามีว่า ให้ไปขอต่างหูของพระนางมทยันตี พระมเหสีพระเจ้ากัลมาษบาท มาเป็นค่าครู เมื่ออุตตังกะออกเดินทางไปราชสำนักพระเจ้ากัลมาษบาท ก็พบว่า พระมหากษัตริย์กลายเป็นรากษสเสียแล้ว พระเจ้ากัลมาษบาทหมายพระทัยจะจับอุตตังกะเสวย แต่อุตตังกะทูลว่า ยังมีหน้าที่ต้องไปต่างหูของพระนางมทยันตีมาเป็นค่าครูเสียก่อน และยอมกลับมาให้กินเมื่อทำหน้าที่ลุล่วงแล้ว พระเจ้ากัลมาษบาทจึงทรงบอกทางให้ฤษีอุตตังกะไปเข้าเฝ้าพระนางมทยันตี แต่พระราชินีไม่ประทานต่างหู จนกว่าอุตตังกะจะถวายหลักฐานว่า พระสวามีของพระนางทรงอนุญาตแล้ว อุตตังกะจึงต้องย้อนกลับไปขอสิ่งของเป็นหลักฐานจนได้ต่างหูของนางพระยามาใช้ชำระค่าครูในที่สุด[11]
การพ้นจากคำสาป
[แก้]ตามความใน มหาภารตะ เมื่อครบกำหนด 12 ปีแล้ว ฤษีวสิษฐะมาเข้าเฝ้าพระเจ้ากัลมาษบาท แล้วถอนคำสาปให้พระองค์กลับคืนเป็นมนุษย์ไปปกครองราชอาณาจักรตามเดิม เมื่อทรงพ้นจากคำสาป พระเจ้ากัลมาษบาททรงรับเอาฤษีวสิษฐะเป็นพระอาจารย์และปุโรหิต ทั้งสองกลับไปนครอโยธยาด้วยกัน แต่คำสาปของหญิงพราหมณ์ยังไม่ถูกถอน พระเจ้ากัลมาษบาทจึงทรงไม่อาจร่วมประเวณีกลับพระมเหสีได้ ทรงขอให้ฤษีวสิษฐะร่วมรักของพระมเหสีแทนเพื่อให้พระองค์มีบุตรสืบวงศ์ พระนางมทยันตีทรงพระครรภ์มาจน 12 ปี มิอาจทรงรอได้อีกต่อไป ทรงเอาศิละทุบพระครรภ์แยก พระโอรสจึงประสูติ ได้พระนามว่า "อัศมกะ" เหตุที่เกิดจากศิลา[12]
มหาภารตะ ยังระบุว่า การยกเมียให้นักบวช ทำให้พระเจ้ากัลมาษบาทได้ขึ้นสวรรค์[13]
เหตุการณ์ครั้งนี้ยังเป็นต้นแบบให้พระมหากษัตริย์พระองค์อื่น ๆ เช่น พระเจ้าปาณฑุ ซึ่ง มหาภารตะ ว่า ทรงถูกสาปให้สวรรคตทันทีที่ทรงร่วมประเวณีกับพระมเหสี จึงทรงให้พระนางกุนตีร่วมประเวณีกับเทวดาเพื่อมีบุตร เหมือนอย่างพระเจ้ากัลมาษบาท[14] นักวิชาการสันนิษฐานว่า เรื่องพระเจ้าปาณฑุน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องพระเจ้ากัลมาษบาทซึ่งเก่าแก่กว่ามาก[15]
เอกสารบางฉบับก็กล่าวไว้อีกอย่างเกี่ยวกับการประสูติพระโอรสของพระนางมทยันตี เช่น ภาควตปุราณะ ว่า หลังจากพระนางทรงพระครรภ์มา 7 ปี ฤษีวสิษฐะเอาศิลาตีพระนาภี พระโอรสก็คลอด[3] ส่วน วิษณุปุราณะ ว่า พระราชินีทรงเอาศิลาทุบพระนาภีพระองค์เอง หลังจากทรงพระครรภ์มา 7 ปี[16]
เอกสารทุกฉบับกล่าวสอดคล้องกันว่า พระเจ้ากัลมาษบาททรงเป็นบรรพบุรุษของพระเจ้าทศรถ พระบิดาของพระราม แต่ว่าไว้ต่างกันเรื่องลูกหลานของพระเจ้ากัลมาษบาทที่สืบเชื้อสายกันมาจนถึงพระเจ้าทศรถ เช่น กูรมปุราณะ, ลิงคปุราณะ, ภาควตปุราณะ, วายุปุราณะ, และ วิษณุปุราณะ ว่า หลังจากอัศมกะแล้ว มีเชื้อสายสืบมาอีก 9 รุ่นถึงพระเจ้าทศรถ ส่วน พรัหมปุราณะ, มัตสยปุราณะ, หริวงศ์, และ อัคนิปุราณะ ขนานนามพระโอรสของพระเจ้ากัลมาษบาทว่า "สรวกรรมา" และมีเชื้อสายสืบมาอีก 9 รุ่นเช่นกัน แต่ วิษณุปุราณะ และเอกสารอื่นว่า สรวกรรมาเป็นพระนามพระเจ้าปู่หรือตาของพระเจ้ากัลมาษบาท ขณะที่ รามายณะ ว่า พระโอรสของพระเจ้ากัลมาษบาทมีพระนามว่า "สังขานะ" และสืบสายอีก 10 รุ่นจึงถึงพระเจ้าทศรถ[17]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 Mani, p. 377
- ↑ 2.0 2.1 Wilson p. 315
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 Bhagavata Purana เก็บถาวร 2013-11-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน by Prabhupada
- ↑ Mani, p. 376
- ↑ 5.0 5.1 Wilson p. 305
- ↑ 6.0 6.1 Dowson's Classical Dictionary of Hindu Mythology
- ↑ Wilson p. 306
- ↑ Wilson pp. 306-8
- ↑ Mitchiner p. 204
- ↑ Meyer p. 233
- ↑ Mani, p. 816
- ↑ Mani, pp. 377-8
- ↑ Mitchiner p. 240
- ↑ Candrabalī Tripāṭhī (1 January 2005). The Evolution of Ideals of Womenhood in Indian Society. Gyan Books. p. 140. ISBN 978-81-7835-425-5.
- ↑ Meyer, p. 234
- ↑ Wilson p. 307
- ↑ Wilson pp. 313-4
บรรณานุกรม
[แก้]- Mani, Vettam (1975). Purāṇic encyclopaedia : a comprehensive dictionary with special reference to the epic and Purāṇic literature. Delhi: Motilal Banarsidass. ISBN 978-0-8426-0822-0.
- Meyer, Johann (1971). Sexual life in ancient India : a study in the comparative history of Indian culture. Delhi: Motilal Banarsidass Publishers Private Ltd. ISBN 978-81-208-0638-2.
- Mitchiner, John (2000). Traditions of the seven Risis. Delhi: Motilal Banarisdass. ISBN 978-81-208-1324-3.
- Wilson, H. H. (1866). The Vishńu Puráńa. Trübner & CompanyBooks. สืบค้นเมื่อ 2014-07-15.