ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อำพัน"
ล โรบอต เพิ่ม: tl:Amber |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{otheruses}} |
|||
{{รอการตรวจสอบ}} |
|||
[[ภาพ:Amber.pendants.800pix.050203.jpg|thumb|อำพันที่นำมาทำเป็นเครื่องประดับ]] |
|||
[[Image:amber.pendants.800pix.050203.jpg|thumb|อำพันตกแต่งเป็นเหรียญประดับรูปไข่ขนาด 2x1.3 นิ้ว]] |
|||
'''อำพัน''' คือ[[ยางไม้]]เก่าแก่เป็น[[ซากดึกดำบรรพ์]]มีสีเหลืองใส เหมือนยางไม้ นิยมใช้เป็นเครื่องประดับ |
|||
'''อำพัน''' เป็นซากดึกดำบรรพ์ของยางไม้ เป็นสิ่งมีค่าด้วยสีสันและความสวยงามของมัน อำพันที่มีคุณภาพดีเยี่ยมจะถูกนำมาผลิตเป็นเครื่องประดับและอัญมณี แม้ว่าอำพันจะไม่เป็นแร่แต่ก็ถูกจัดให้เป็นพลอย |
|||
==ความเชื่อ== |
|||
ความเชื่อเกี่ยวกับอำพัน ช่วยสร้างความสดใสกระปรี้กระเปร่าให้กับร่างกาย |
|||
โดยทั่วไปแล้วจะเข้าใจผิดกันว่าอำพันเกิดจากน้ำเลี้ยงของต้นไม้ แท้ที่จริงแล้วน้ำเลี้ยงเป็นของเหลวที่ไหลเวียนอยู่ในระบบท่อลำเลียงของพืช ขณะที่ยางไม้เป็นอินทรียวัตถุเนื้ออสัณฐานกึ่งแข็งที่ถูกขับออกมาผ่านเซลล์เอพิทีเลียมของพืช |
|||
เพราะว่าอำพันเคยเป็นยางไม้ที่เหนียวนิ่มเราจึงพบว่าอาจมีแมลงหรือแม้แต่สัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กอยู่ในเนื้อของมันได้ ยางไม้ที่มีสภาพเป็นกึ่งซากดึกดำบรรพ์รู้จักกันในนามของ[[โคปอล]] |
|||
สีของอำพันมีได้หลากหลายสีสัน ปรกติแล้วจะมีสีน้ำตาล เหลือง หรือส้ม เนื้อของอำพันเองอาจมีสีได้ตั้งแต่ขาวไปจนถึงเป็นสีเหลืองมะนาวอ่อนๆ หรืออาจเป็นสีน้ำตาลจนถึงเกือบสีดำ สีที่พบน้อยได้แก่สีแดงที่บางทีก็เรียกว่า[[อำพันเชอรี่]] อำพันสีเขียวและสีฟ้าหายากที่มีการขุดค้นหากันมาก |
|||
อำพันที่มีค่าสูงมากๆจะมีเนื้อโปร่งใส ในทางตรงกันข้ามอำพันที่พบกันมากทั่วไปจะมีสีขุ่นหรือมีเนื้อทึบแสง อำพันเนื้อทึบแสงมักมีฟองอากาศเล็กๆเป็นจำนวนมากที่รู้จักกันในนามของ[[อำพันบาสตาร์ด]]หมายถึงอำพันปลอม ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็เป็นอำพันของแท้ๆนั่นเอง |
|||
==ที่มาของชื่อ== |
|||
[[Image:Gouttes-drops-resine-2.jpg|thumb|right|ยางไม้โบราณเป็นแหล่งกำเนิดของอำพัน]] |
|||
อำพันหมายถึงแอมเบอร์ในภาษาอังกฤษสืบทอดมาจากคำในภาษาอาราบิกโบราณว่า “แอนบาร์กริส” หรือ “[[แอมเบอร์กริส]]” ซึ่งหมายถึงวัตถุที่เป็นน้ำมันหอมที่ขับออกมาโดยวาฬสเปิร์ม ภาษาอังกฤษยุคกลางและฝรั่งเศสยุคเก่าเขียนเป็น ambre ส่วนภาษาลาตินเก่าเขียนเป็น ambra หรือ ambar เป็นวัตถุที่ลอยน้ำได้และมักถูกซัดไปสะสมตัวอยู่ตามชายหาด ด้วยความสับสนในการใช้ศัพท์ มันจึงถูกนำมาใช้เรียกยางไม้ที่กลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ซึ่งก็พบได้ตามชายหาดได้เช่นกัน มีน้ำหนักเบากว่าหินแต่ก็เบาไม่เพียงพอที่จะลอยน้ำได้ |
|||
[[พลินี เดอะ เอลเดอร์]] ได้สังเกตเห็นซากแมลงอยู่ในเนื้อของอำพันดังที่พบมีการบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ธรรมชาติของเขา โดยเขาได้อธิบายไว้เป็นทฤษฎีได้อย่างถูกต้องว่าอำพันเคยมีสถานะเป็นของเหลวมาก่อนที่ไหลไปห่อหุ้มตัวแมลงไว้ ที่ทำให้เขาเรียกมันว่า [[ซัคคินั่ม]] หรือ [[หินยางไม้]] ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังถูกนำมาใช้เรียก[[กรดซัคคินิก]] และรวมถึง ”ซัคคิไนต์” เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกประเภทของอำพันโดย[[เจมส์ ดวิกต์ ดานา]] (ดูด้านล่างที่อำพันบอลติก) |
|||
ภาษากรีกเรียกอำพันว่า ''ηλεκτρον'' (''อิเล็กตรอน'') และถูกเชื่อมโยงไปที่เทพแห่งดวงอาทิตย์ซึ่งอีกฉายาหนึ่งของท่านคือ ''อิเล็กเตอร์'' หรือ ''อะเวกเคนเนอร์'' <ref name=King1>{{cite book | last = King | first = Rev. C.W. | title = The Natural History of Gems or Decorative Stones | publisher = Cambridge (UK) | year = 1867}} [http://www.farlang.com/gemstones/king-gems-decorative-stones/page_315 Amber Chapter, Online version] </ref> มันถูกกล่าวถึงโดย[[ธีโอฟาสตุส]]ที่เป็นไปได้ว่าวัตถุลักษณะนี้เคยมีผู้กล่าวถึงมาแล้วเป็นครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล คำว่า ''[[อิเล็กตรอน]]'' ในยุคปัจจุบันถูกนำมาใช้ในปี ค.ศ. 1891 โดยนักฟิสิกส์ชาวไอริช [[ยอร์จ จอห์นสโตน สโตนี]] โดยใช้เป็นคำศัพท์ภาษากรีกสำหรับเรียกอำพัน (ซึ่งถูกแปลให้เป็นอิเล็กตรัม) ตามคุณสมบัติทางไฟฟ้าสถิตของมันเป็นครั้งแรก การลงท้ายด้วย ''-on'' ทั่วไปจะใช้สำหรับอนุภาคในอะตอมทั้งหมดและใช้ในความหมายเดียวกับ ''[[ion]]''<ref>{{cite web | url = http://www.emporia.edu/earthsci/amber/amber.htm | author = Susie Ward Aber | publisher = Emporia State University | title = Welcome to the World of Amber | accessdate = 2007-05-11}} </ref><ref> [http://www.patent-invent.com/electricity/inventions/electron.html Origin of word Electron] </ref> |
|||
เมื่อเผาอำพันจะนุ่มและท้ายสุดจะไหม้เกรียมซึ่งเป็นเหตุผลทำไม้คำว่าแอมเบอร์ในภาษาเยอรมันจึงมีความหมายว่า ''หินไหม้'' (ในภาษาเยอรมันใช้คำว่า ''Bernstein'' ส่วนภาษาดัตช์ใช้คำว่า ''barnsteen'') เมื่อเผาอำพันที่อุณหภูมิสูงกว่า 200 องศาเซลเซียสอำพันจะสลายตัวระเหยเป็นน้ำมันของอำพันเหลือเศษเถ้าสีดำที่รู้จักกันว่า "แอมเบอร์โคโลโฟนี" หรือ "แอมเบอร์พิตช์" เมื่อละลายในน้ำมัน[[เทอร์เพนทีน]]หรือน้ำมัน[[ลินซีด]]จะทำให้เกิดน้ำมันชักเงาอำพัน (แอมเบอร์วาร์นิช) หรือครั่งอำพัน (แอมเบอร์แลค) |
|||
อำพันจากทะเลบอลติกมีการซื้อขายกันอย่างกว้างขวางมาตั้งแต่โบราณกาลนานกว่า 2,000 ปีมาแล้ว โดยชาวพื้นเมืองเรียกมันว่า ''แกลส'' ด้วยสามารถมองผ่านทะลุได้อย่างแก้ว |
|||
ภาษาบอลติกและภาษาลิธัวเนียเรียกอำพันว่า ''ยินตาแรส'' และภาษาแลตเวียเรียกว่า ''ดิงทาร์'' ศัพท์ทั้งสองคำและรวมถึงคำว่า ''แจนทาร์'' ในภาษาสลาฟที่คิดว่าผิดเพี้ยนมาจากภาษาฟีนิเชียนคำว่า ''จายนิตาร์'' (หมายถึงยางไม้ทะเล) อย่างไรก็ตามขณะที่ภาษาสลาฟทั้งหลายอย่างเช่นภาษารัสเซียและภาษาเช็คยังคงสงวนไว้ซึ่งคำภาษาสลาฟเก่าที่ถูกแทนที่ด้วยคำว่า ''เบอซ์ทีน'' ในภาษาโปแลนด์ซึ่งได้มาจากภาษาเยอรมัน |
|||
[[Image:Insects in baltic amber.jpg|thumb|ยุงและแมลงในอำพันบอลติกอายุ 40 และ 60 ล้านปีที่ถูกทำเป็นเครื่องประดับร้อยเป็นสายสร้อย]] |
|||
==เคมีของอำพัน== |
|||
อำพันมีองค์ประกอบเป็นสารเนื้อผสม แต่เนื้อของมันก็ประกอบไปด้วยสารมีชันหลายชนิดที่ละลายได้ใน[[เอทานอล]] [[ไดเอตทิลอีเทอร์]] และ[[คลอโรฟอร์ม]] รวมถึงสารที่ละลายไม่ได้จำพวก[[บิทูเมน]] อำพันประกอบไปด้วยสารโมเลกุลขนาดใหญ่จากการเกิดพอลิเมอร์ด้วยการเติมอนุมูลอิสระของสารดั้งเดิมในกลุ่มของแลบเดน กรดคอมมูนิก คัมมูนอล และไบโฟร์มีน<ref>''Assignment of vibrational spectra of labdatriene derivatives and ambers: A combined experimental and density functional theoretical study'' Manuel Villanueva-García, Antonio Martínez-Richa, and Juvencio Robles [[Arkivoc]] (EJ-1567C) pp 449-458 [http://www.arkat-usa.org/ark/journal/2005/I06_Juaristi/1567/EJ-1567C.asp Online Article]</ref> สารแลบเดนนี้เป็นไดเทอร์ปีน (C<sub>20</sub>H<sub>32</sub>) และไทรอีนซึ่งหมายความว่าเป็นโครงร่างทางอินทรีย์สารของอัลคีน 3 กลุ่มที่ยอมให้เกิดพอลีเมอร์ เมื่ออำพันมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆก็จะมีการเกิดพอลิเมอร์มากขึ้นเรื่อยๆเช่นกันพร้อมๆไปกับปฏิกิริยาไอโซเมอร์ การเชื่อมโยงข้าม และการจัดเป็นวง องค์ประกอบเฉลี่ยทั่วๆไปของอำพันเขียนเป็นสูตรทางเคมีได้ว่า [[Carbon|C]]<sub>10</sub>[[Hydrogen|H]]<sub>16</sub>[[Oxygen|O]] |
|||
อำพันมีความแตกต่างไปจากโคปอล การเกิดพอลีเมอร์ระหว่างโมเลกุลภายใต้ความกดดันและอุณหภูมิทำให้ยางไม้เปลี่ยนไปเป็นโคปอลก่อน จากนั้นเมื่อโคปอลมีอายุมากขึ้นไปอีกสารเทอร์ปีนในเนื้อของมันจะค่อยๆระเหยออกไปตามกาลเวลาก็จะทำให้โคปอลเปลี่ยนไปเป็นอำพัน |
|||
อำพันบอลติกมีความแตกต่างไปจากอำพันชนิดอื่นๆของโลกด้วยเนื้อของมันมีกรด[[ซัคคินิก]]{{Fact|date=April 2008}} ที่ทำให้อำพันบอลติกเป็นที่รู้จักกันในนามของ[[ซัคคิไนต์]] |
|||
== อำพันในทางธรณีวิทยา == |
|||
อำพันที่เก่าแก่ที่สุดพบในยุคคาร์บอนิเฟอรัสหรือประมาณ 345 ล้านปีมาแล้ว ส่วนอำพันที่เก่าแก่ที่สุดที่มีแมลงอยู่ในเนื้อของมันด้วยนั้นได้มาจากยุคครีเทเชียสหรือประมาณ 146 ล้านปีมาแล้ว |
|||
แหล่งอำพันที่สำคัญที่สุดในเชิงพาณิชย์คือแหล่งในบอลติกและโดมินิกัน<ref>Lecture at the university of cologne http://www.fortunecity.com/campus/geography/243/ambdepos.html</ref> |
|||
[[Image:Fossil amber with abee.jpg|thumb|ผึ้งและใบไม้ในเนื้อของอำพัน]] |
|||
อำพันบอลติกหรือซัคคิไนต์ (มีบันทึกทางประวัติศาสตร์เรียกกันว่าอำพันปรัสเซีย) ถูกค้นพบเป็นก้อนทรงมนผิวขรุขระในทรายกลอโคไนต์ที่สะสมตัวกันในทะเลหรือที่รู้จักกันว่า “บลูเอิร์ธ” มีอายุสมัยโอลิโกซีนตอนต้นในเขตซัมแลนด์ของปรัสเซียโดยในแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ถูกเรียกขานกันว่า ''แกลสซาเรีย'' หลังปี ค.ศ. 1945 ดินแดนแถบนี้รอบๆเมือง[[โกนิกส์บวก]]ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของเมือง[[กาลินิงกราด โอบลาสต์]]ของประเทศรัสเซียซึ่งปัจจุบันมีการทำเหมืองอำพันกันอย่างเป็นระบบมีแบบแผน<ref>{{cite book | first=Jean | last=Langenheim | title=Plant Resins: Chemistry, Evolution, Ecology, and Ethnobotany | publisher=Timber Press Inc. | year=2003|isbn=0-88192-574-8}}</ref> อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ามีอำพันบางส่วนเกิดจากการสะสมตัวในช่วงต้นๆของยุคเทอร์เชียรี (อีโอซีน) และก็ยังพบได้ด้วยในชั้นหินที่มีอายุอ่อนขึ้นมาเช่นกัน มีการพบเศษซากพืชมากมายในเนื้อของอำพันขณะที่เนื้อยางไม้ยังสดๆอยู่ เศษซากพืชเหล่านั้นพิจารณาได้ว่ามีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพืชพันธุ์ทางเอเชียตะวันออกและทางตอนใต้ของอเมริกาเหนือ [[เฮนริช กอปเปิร์ต]]ได้ตั้งชื่ออำพันที่มีเศษซากสนไพน์จากป่าบอลติกว่า “ไพไนต์ ซัคคิไนเตอร์” แต่ในส่วนของเศษซากไม้แล้วบางคนพิจารณาว่าดูเหมือนว่าจะไม่ได้แตกต่างไปจากสกุลของสนที่มีการตั้งชื่อกันเอาไว้ก่อนแล้วที่เรียกกันว่า “ไพนัส ซัคคินิเฟอรา” อย่างไรก็ตามไม่น่าจะเป็นไปได้ที่อำพันที่พบจะเกิดขึ้นจากไม้สนเพียงชนิดเดียว เนื่องจากจริงๆแล้วในเนื้ออำพันเหล่านี้พบเศษซากไม้สนต่างสกุลกันอย่างหลากหลาย |
|||
อำพันโดมินิกันถูกพิจารณาให้เป็น[[ริติไนต์]]เนื่องจากไม่พบกรดซัคคินิก พบมี 3 แหล่งใหญ่ๆในสาธารณรัฐโดมินิกันคือ [[ลาคอร์ดิลเลอร่าเซฟเทนทริโอนอล]]ทางตอนเหนือ และ[[บายากัวน่า]]และ[[ซาบาน่า]]ทางตะวันออก ในทางเหนือพบว่าชั้นหินที่มีอำพันสะสมอยู่นั้นเป็นพวกหินเนื้อประสม หินทรายที่ตกสะสมตัวบริเวณสันดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ หรือแม้แต่ลงไปในทะเลลึก อำพันที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดและมีความแข็งที่สุดมาจากเขตเทือกเขาทางตอนเหนือของพื้นที่[[แซนติเอโก้]]จากเหมืองที่[[ลาคัมเบอร์]] [[ลาโตก้า]] [[ปาโลควีมาโด้]] [[ลาบูคารา]] และ[[ลอสคาซิออส]]ในคอร์ดิลเลอร่าเซฟเทนทริโอนอลไม่ไกลจากเมืองแซนติเอโก้นัก อำพันจากแนวเทือกเขาเหล่านี้พบฝังตัวแน่นในเนื้อลิกไนต์ของชั้นหินทราย |
|||
มีอำพันพบทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง[[บายากัวน่า]]และ[[ซาบาน่า]]ด้วยเหมือนกัน เป็นอำพันมีเนื้ออ่อนกว่าบางทีก็เปราะและเมื่อนำขึ้นมาจากเหมืองแล้วจะเกิดการออกซิเดชันซึ่งทำให้ราคาถูก มีการพบโคปอลด้วยพบว่ามีอายุประมาณ 15-17 ล้านปี ในพื้นที่ทางตะวันออกพบอำพันในชั้นทราย ดินเหนียวปนทราย แทรกสลับด้วยลิกไนต์ รวมถึงชั้นกรวดและชั้นทรายเม็ดปูน ที่มีลักษณะเป็นชั้นบางๆของอินทรียวัตถุแทรกสลับอยู่ด้วย |
|||
ทั้งอำพันบอลติกและอำพันโดมินิกันเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยซากดึกดำบรรพ์ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่ายิ่งเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตของป่าในอดีต <ref>Howard Stableford, BBC, Radio 4: amber http://db.bbc.co.uk/radio4/science/amber.shtml</ref> |
|||
อำพันยุค[[ครีเทเชียส]]ตอนกลางมีการพบจากเมือง[[เอลล์สเวิร์ธคันที]] มลรัฐ[[แคนซัส]] เป็นอำพันที่มีอายุประมาณ 100 ล้านปีที่พบซากของ[[แบคทีเรีย]]และ[[อะมีบา]]ฝังอยู่ในเนื้อของมัน จากลักษณะสัณฐานพบว่ามีความใกล้เคียงกับแบคทีเรียสกุล[[เลฟโตทริกซ์]] และอะมีบาสกุล[[พอนติกูลาเรีย]]และ[[เนเบลา]]ที่ได้รับการยืนยัน<ref> |
|||
http://www.ucmp.berkeley.edu/museum/171online/PB171BMWPG1.html Benjamin M. Waggoner, ''Bacteria and protists from Middle Cretaceous amber of Ellsworth County, Kansas'', from: PaleoBios, Volume 17, Number 1, Pages 20-26, July 13, 1996</ref> |
|||
== สิ่งที่เข้าไปอยู่ในเนื้ออำพัน == |
|||
[[Image:Spider in amber (1).jpg|thumb|แมงมุมในเนื้ออำพัน]] |
|||
[[Image:Ant in amber.jpg|thumb|[[มด]]ในเนื้ออำพัน]] |
|||
นอกจากในเนื้อของอำพันจะเก็บรักษาโครงสร้างของพืชเอาไว้อย่างสวยงามแล้ว ยังมีการพบซากสัตว์อื่นๆอย่างเช่นซากเหลือของแมลง แมงมุม แอนนาลิด กบ<ref>[http://www.msnbc.msn.com/id/17168489/ Scientist: Frog could be 25 million years old]</ref> crustaceans, marine microfossils<ref>{{cite journal |
|||
| doi = 10.1073/pnas.0804980105 |
|||
| year = 2008 |
|||
| month = Nov |
|||
| author = Girard, V; Schmidt, Ar; Saint, Martin, S; Struwe, S; Perrichot, V; Saint, Martin, Jp; Grosheny, D; Breton, G; Néraudeau, D |
|||
| title = Evidence for marine microfossils from amber. |
|||
| volume = 105 |
|||
| issue = |
|||
| page = 17426 |
|||
| issn = 0027-8424 |
|||
| pmid = 18981417 |
|||
| journal = Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America |
|||
| pages = 17426 }}</ref> และสิ่งมีชีวิตเล็กๆอื่นๆซึ่งถูกจับยึดไว้ด้วยผิวเหนียวๆจนฝังแน่นเข้าไปอยู่ในเนื้อของยางไม้ในขณะที่ยังเป็นของไหลหนืดอยู่ โครงสร้างทางอินทรีย์เกือบทั้งหมดจะหายไปถูกทิ้งไว้เพียงช่องโพลงกลวงเท่านั้นและอาจพบร่องรอยของสารไคตินอยู่บ้าง บางครั้งก็พบเส้นขนและแผงขนปรากฏอยู่ด้วย มักพบเศษชิ้นส่วนของไม้ที่ยังถูกรักษาเนื้อไม้เอาไว้อย่างดีในเนื้อของยางไม้ บางครั้งก็พบใบ ดอก และผลในสภาพที่สมบูรณ์ดีเยี่ยม อำพันอาจพบมีลักษณะคล้ายหยดน้ำหรือเป็นลำเรียวยาวในลักษณะที่เกิดจากการหยดย้อยลงมาจากรอยแผลของต้นไม้ นอกเหนือจากยางไม้จะไหลไปตามผิวของลำต้นไม้แล้ว ยางไม้ยังอาจไหลไปในรูกลวงและรอยแตกของต้นไม้ที่ทำให้สามารถพัฒนาเป็นอำพันที่มีรูปลักษณะไม่แน่นอน.<ref>[http://www.gplatt.demon.co.uk/whatis.htm What is amber?<!-- Bot generated title -->]</ref> |
|||
การพัฒนาที่ผิดปรกติของยางไม้เรียกว่า “ซัคคิโนซิส” มักพบมีมลทินปะปนอยู่ในเนื้อของอำพันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยางไม้หยดลงไปบนพื้นดินที่จะทำให้อำพันนั้นไร้ค่านอกเสียจากการนำไปทำน้ำมันชักเงาและเราเรียกอำพันที่มีมลทินนี้ว่า “เฟอร์นิสส์” การมีแร่ไพไรต์อยู่ด้วยอาจทำให้อำพันมีสีอมน้ำเงิน อำพันที่เรียกกันว่า[[อำพันสีดำ]]เกิดจากมีลิกไนต์เป็นมลทิน “อำพันโบนี” มีลักษณะขุ่นมัวไปจนถึงมีฟองอากาศเล็กๆในเนื้อของมัน |
|||
อำพันที่โปร่งแสงเมื่อนำไปขัดผิวแล้วจะไม่ทำให้โปร่งใสขึ้นมาเสมอไปด้วยมีมลทินที่ปนเปื้อน มีการพัฒนาเทคนิคการตรวจสอบอำพันที่ขุ่นข้นและทึบแสงเพื่อหาสิ่งที่เข้าไปอยู่ในเนื้ออำพันได้โดยการใช้รังสีเอกซ์ที่มีความคมชัดละเอียดสูงในยุโรเปียน ซินโครตรอน เรดิเอชัน แฟซิลิตี<ref>[http://news.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/7324564.stm BBC News, " Secret 'dino bugs' revealed", 1 April 2008]</ref> มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเกือบ 360 ชิ้นในเนื้ออำพันทึบแสงจากเมือง[[ชาเรนเทส]]ในฝรั่งเศส พบตัวต่อโบราณ แมลงมีปีก มด และแมงมุมโดยวัดขนาดได้เพียงไม่กี่มิลลิเมตร ซากสิ่งมีชีวิตที่ถูกติดกับอยู่ในเนื้ออำพันทึบแสงเหล่านั้นสามารถถูกสร้างเป็นภาพสามมิติผ่านเครื่องไมโครโตกราฟฟีที่ทำให้เห็นรายละเอียดได้ถึงระดับมาตราส่วนไมโครมีเตอร์ทีเดียว รูปทรงจำลองสามมิติขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นทำด้วยพลาสติกสามารถถูกสร้างขึ้นมาเลียนแบบซากสิ่งมีชีวิตจริงที่อยู่ในเนื้ออำพันเพื่อใช้เป็นสื่อทดแทนในการตั้งชื่อสายพันธุ์ใหม่ของซากดึกดำบรรพ์ในเนื้ออำพันนั้นได้ |
|||
==แหล่งอำพัน== |
|||
===อำพันบอลติก=== |
|||
[[Image:Lithuanian traditional headdress.jpg|thumb|หญิงสาวชาวลิทัวเนียในชุดประจำชาติพร้อมสายสร้อยอำพัน]] |
|||
อำพันบอลติกพบกระจายตัวกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่กว้างของยุโรปตอนเหนือและแผ่ออกมาทางตะวันออกถึง[[อูรัลส์]] |
|||
อำพันบอลติกมีส่วนประกอบของกรดซัคคินิกอยู่ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 3 – 8 ซึ่งเป็นลักษณะของอำพันที่มีความขุ่นมัวหรือที่เรียกว่า ''อำพันโบนี'' กลิ่นหอมๆระคายเคืองที่ปล่อยออกมาจากการเผาเป็นของกรดชนิดนี้เป็นหลัก อำพันบอลติกมีความแตกต่างไปจากอำพันอื่นๆตรงที่มีกรดซัคคินิกและเป็นที่มาของชื่อ ''ซัคคิไนต์'' เสนอขึ้นโดยศาสตราจารย์เจมส์ ดวิกต์ ดานา และปัจจุบันก็ใช้เขียนกันทั่วไปในฐานะชื่อทางทางวิทยาศาสตร์สำหรับอำพันปรัสเซียน ซัคคิไนต์มีความแข็งระหว่าง 2 – 3 ซึ่งค่อนข้างจะแข็งกว่ายางไม้กลายเป็นซากดึกดำบรรพ์อื่นๆ มีความถ่วงจำเพาะระหว่าง 1.05 ถึง 1.10 เครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้ในการวิเคราะห์อำพันบอลติกคือ[[ไออาร์สเปคโตรสโคปี]] เครื่องมือนี้นอกจากสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างอำพันบอลติกออกจากอำพันจากแหล่งอื่นๆได้ด้วยค่าการดูดซับคาร์บอนิลจำเพาะแล้ว ยังสามารถตรวจจับอายุสัมพัทธ์ของอำพันหนึ่งๆได้ด้วย อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่ากรดซัคคินิกดังกล่าวไม่ใช่เป็นองค์ประกอบตั้งต้นของอำพันบอลติกแต่เป็นผลผลิตจากการสลายตัวของ[[กรดเอบิเอทติก]] [http://www.natmus.dk/cons/reports/2002/amber/amber.pdf (Rottlaender, 1970)] |
|||
แม้ว่าอำพันจะพบได้ตามชายฝั่งของทะเลบอลติกและทะเลเหนือแต่พื้นที่ผลิตอำพันส่วนใหญ่มาจาก[[แซมเบีย]]หรือ[[แซมแลนด์]]ตามชายฝั่งของเมือง[[โกนิกส์บวก]]ใน[[ปรัสเซีย]]ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ[[รัสเซีย]]มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 ประมาณร้อยละ 90 ของอำพันโลกได้มาจาก[[กาลินิงกราด โอบลาสต์]]ของรัสเซียในทะเลบอลติก<ref>[http://science.enotes.com/how-products-encyclopedia/amber How Products Are Made: Amber]</ref> เศษชิ้นของอำพันที่หลุดออกมาจากใต้ท้องทะเลถูกพัดขึ้นมาด้วยแรงคลื่นและไปสะสมตัวที่ชายฝั่ง บางครั้งนักวิจัยก็ลุยลงไปในทะเลพร้อมตาข่ายที่ใช้ลากดึงสาหร่ายทะเลก็จะมีอำพันติดขึ้นมาได้ หรือบริเวณน้ำตื้นๆอาจใช้เรือแล่นออกไปแล้วคราดตักเอาอำพันขึ้นมาจากระหว่างโขดหิน นอกจากนี้อาจจ้างนักประดาน้ำงมลงไปเก็บอำพันในที่ที่น้ำลึกมากขึ้น ครั้งหนึ่งเคยมีการขุดหาอำพันใต้ทะเลอย่างจริงจังที่[[คูโรเนียนลากูน]]โดยสแตนเตียนและเบคเกอร์พ่อค้าอำพันชาวโกนิกส์บวก ในปัจจุบันมีการทำเหมืองอำพันกันอย่างกว้างขวาง ก่อนหน้านี้มีการทำเหมืองเปิดเพื่อขุดหาอำพันแต่ปัจจุบันมีการทำเหมืองใต้ดินด้วย ก้อนทรงมนจาก[[บลูเอิร์ธ]]ต้องปลอดจากเนื้อประสานและปลดส่วนทึบแสงออกไปซึ่งอาจทำได้โดยการเขย่าถังทรงกระบอกที่บรรจุทรายและน้ำ อำพันที่หลุดจากพื้นทะเลจะสูญเสียเปลือกนอกออกไปแต่มักพบพื้นผิวของอำพันเป็นรอยขีดข่วนเป็นพื้นผิวด้านจากการกลิ้งไปมาบนพื้นทราย |
|||
นับตั้งแต่ที่มีการจัดตั้ง[[เส้นทางสายอำพัน]]ทำให้อำพันเป็นที่รู้จักกันในนามของ[[ทองปรัสเซีย]] (ซึ่งปัจจุบันก็มีการเรียกกันด้วยว่า[[ทองลิทัวเนีย]]) ทำให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงทั้งทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม อัญมณีอำพันและเครื่องประดับอำพันถูกนำเสนอแก่นักท่องเที่ยวในร้านขายของที่ระลึกทั้งหลายซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของ[[ลิทัวเนีย]] เมืองชายทะเลอย่าง[[พาแลงก้า]]มีการก่อสร้าง[[พิพิธภัณฑ์อำพันพาแลงก้า]]ที่มีการนำเสนอเรื่องราวของอำพันไว้ อำพันสามารถพบได้ใน[[แลตเวีย]] [[เดนมาร์ค]] ทางเหนือของ[[เยอรมนี]] [[โปแลนด์]] และรัสเซียนับตั้งแต่ที่รัสเซียได้ผนวกเอาปรัสเซียเข้าไปอยู่ในการปกครองในปี ค.ศ. 1945 |
|||
===อำพันโดมินิกัน=== |
|||
[[Image:blue amber masbaha.jpg|thumb|left|ชุดลูกปัดของอาหรับที่หายาก ([[มาสบาฮา]]) ทำจากอำพันโดมินิกัน ([[อำพันสีฟ้า]])]] |
|||
อำพันโดมินิกันแตกต่างไปจากอำพันบอลติกด้วยเป็นอำพันโปร่งแสงและมักพบซากดึกดำบรรพ์อยู่ด้วย ทำให้สามารถรื้อฟื้นระบบนิเวศน์ในอดีตได้อย่างละเอียดของป่าเขตร้อนที่สูญสิ้นไปแล้วมาเป็นเวลานาน<ref name = Poinar/> ยางไม้จากพืชชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้วของ[[ฮายเมนนี พรอเทอรา]]นับเป็นแหล่งยางไม้ของอำพันโดมินิกันและอำพันทั้งหมดอาจพบในเขตร้อน อำพันชนิดนี้ไม่เป็นพวก[[ซัคคิไนต์]]แต่จะเป็นพวก[[ริติไนต์]]<ref>Grimaldi, D. A.: Amber - Window to the Past. - American Museum of Natural History, New York 1996</ref> ในทางตรงกันข้ามกับอำพันบอลติก อำพันโดมินิกันในตลาดโลกเป็นอำพันธรรมชาติมาจากเหมืองโดยตรงและไม่ได้มีการปรับแต่งเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งทางกายภาพและทางเคมี อำพันโดมินิกันนี้มีอายุมากถึง 40 ล้านปี<ref>{{cite web |url=http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?sec=health&res=9E0CE2DD123BF936A1575AC0A964958260 |title= 40-Million-Year-Old Extinct Bee Yields Oldest Genetic Material |accessdate=2008-04-15 |last=Browne|first=Malcolm W.|year=1992|work=New York Times}}</ref> |
|||
อำพันโดมินิกันทั้งหลายจะเรืองแสง จะพบเป็นสีน้ำเงินได้ยากมาก มันเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินในแสงอาทิตย์ธรรมชาติและแหล่งแสงอื่นๆที่มีรังสีอุลตร้าไวโอเลตทั้งหมดหรือบางส่วน แสงอุลตร้าไวโอเลตซึ่งเป็นแสงคลื่นยาวมีคุณสมบัติสะท้อนแสงได้อย่างรุนแรงคือแสงสีขาวเกือบทั้งหมด ปีหนึ่งๆมีการขุดค้นพบอำพันชนิดนี้เพียงประมาณ 100 กิโลกรัมเท่านั้นซึ่งถือว่าเป็นอำพันที่มีค่าสูงและมีราคาแพง<ref>Manuel A. Iturralde-Vennet 2001. Geology of the Amber-Bearing Deposits of the Greater Antilles. Caribbean Journal of Science, Vol. 00, No. 0, 141-167, 2001</ref> |
|||
[[Image:Dragon dominican blue amber.jpg|อำพันโดมินิกันสีน้ำเงินสลักรูปมังกร|left|thumb]] |
|||
อำพันโดมินิกันและโดยเฉพาะอย่างยิ่งอำพันโดมินิกันสีน้ำเงินมีการทำเหมืองเปิดกันแบบไม่มีการวางแผน ซึ่งมีอันตรายต่อคนงานเหมืองสูงมากที่ต้องเสี่ยงที่ผนังเหมืองอาจถล่มลงมาทับร่างเหล่าคนงานได้<ref>Wilfred Wichard und Wolfgang Weitschat: Im Bernsteinwald. - Gerstenberg Verlag, Hildesheim, 2004, ISBN 3-8067-2551-9</ref> เหมืองเปิดแบบนี้เป็นการขุดบ่อเหมืองด้วยเครื่องง่ายๆที่หาได้ อาจเริ่มต้นด้วยการใช้มีด และอาจตามด้วย พลั่ว เสียม แชลง และค้อน โดยจะขุดให้ลึกลงไปเท่าที่จะขุดได้หรือเท่าที่จะปลอดภัย บางครั้งลงไปในแนวดิ่ง บางครั้งก็หักทิศทางไปในแนวราบ แต่ไม่เคยมีการวัดคำนวณใดๆ จะทำการขุดคดโค้งไปมาไปที่เชิงเขาบ้าง ดิ่งลึกลงไปบ้าง หรืออาจจะไปบรรจบกับหลุมอื่นๆได้ ขุดตรงเข้าไปจนอาจไปโผล่อีกแห่งหนึ่งโดยไม่ได้คะเนไว้ น้อยนักที่ขนาดของหลุมขุดจะมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะยืนอยู่ได้หรืออาจจะมีเฉพาะที่ตรงทางเข้าเท่านั้น คนงานเหมืองจะคลานเข้าไป ใช้มือจับแชลง พลั่ว หรือมีดที่มีด้ามสั้นๆ อำพันที่พบไม่ขายต่อโดยตรงเป็นวัตถุดิบธรรมชาติก็อาจจะตัดหรือขัดเรียบโดยไม่มีการปรุงแต่งใดๆเพิ่มเติม<ref name=Poinar>George Poinar, Jr. and Roberta Poinar, 1999. ''The Amber Forest: A Reconstruction of a Vanished World'', (Princeton University Press) ISBN 0691028885</ref> |
|||
โดยทั่วไปแล้วจะใช้อำพันโดมินิกันเป็นเครื่องประดับและอัญมณี ขณะที่สีสันและสิ่งที่อยู่ในเนื้อของอำพันจะเพิ่มมูลค่าให้มากยิ่งขึ้นทำให้มีราคาแพงเป็นที่หมายปองเพื่อการจัดแสดงทั้งของนักสะสมส่วนตัวและของภาครัฐ<ref>Poinar, G. O.: Life in Amber. - Stanford University Press, Stanford 1992</ref> ในตะวันออกไกลได้มีการนำเอาอำพันสีน้ำเงินที่หายากมากไปเกาะสลักเป็นชิ้นงานทางศิลปะ นอกจากนี้ได้มีการนำเอาอำพันสีน้ำเงินไปทำเป็นอัญมณีด้วยคุณสมบัติเรืองแสงตามธรรมชาติภายใต้แสงอุลตร้าไวโอเลต ในโลกของชาวอิสลาม มีการนำเอาอำพันโดมินิกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกปัดอำพันสีน้ำเงินไปใช้ประกอบการสวดมนต์เพื่อการผ่อนคลายความเครียด<ref>{{cite web |url=http://www.saudiaramcoworld.com/issue/196806/worry.beads.htm |title=''Worry Beads'' -- The use of Misbahas in modern times |accessdate=2008-04-15 |last=Da Cruz|first=Daniel|year=1968 |month=November/December|work=Saudi Aramco World}}</ref><ref>Leif Brost and Ake Dahlstrom. The Amber Book, Geoscience Press, Inc., Tucson , AZ, 1996 ISBN 0-945005-23-7</ref> |
|||
===แหล่งอื่นๆ=== |
|||
แหล่งสะสมตัวของอำพันมีการพบได้ทั่วโลก บางแห่งมีอายุเก่าแก่กว่าแหล่งที่รู้จักกันดีในแถบทะเลบอลติกและในสาธารณรัฐโดมินิกันและบ้างก็มีอายุอ่อนกว่า อำพันบางแห่งมีอายุเก่าแก่ได้ถึง 345 ล้านปี (นอร์ธอัมเบอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา) |
|||
แหล่งอำพันที่ไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักกันอยู่ในยูเครนในพื้นที่ป่าบริเวณเขตแดนโวลีน-โปเลซี ด้วยอำพันในพื้นที่นี้อยู่ที่ระดับตื้นๆที่สามารถขุดขึ้นมาได้เพียงใช้เครื่องมือง่ายๆและก็ทำให้ง่ายในการลักลอบขุดค้นภายใต้การปกคลุมด้วยป่าทึบ อำพันในยูเครนนี้มีหลากหลายสีสันและเคยถูกนำไปใช้ปฏิสังขรณ์ห้องแอมเบอร์ในพระบรมมหาราชวังของจักรพรรดินีแคธีรีนในกรุงเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก (ดูด้านล่าง) |
|||
[[Image:Sailboat from amber.jpg|thumb|เรือใบทำจากอำพันทั้งหมดในร้านขายของชำร่วยแห่งหนึ่ง]] |
|||
อำพันชิ้นกลมมนปรกติมีขนาดเล็กๆแต่ก็พบเป็นชิ้นขนาดใหญ่ๆได้ ที่อาจพบได้ในบริเวณชายฝั่งด้านตะวันออกของอังกฤษที่เป็นไปได้ว่าถูกชะขึ้นมาจากแหล่งใต้ทะเลเหนือ ที่[[โครเมอร์]]เป็นตำแหน่งที่รู้จักกันดีที่สุด แต่ก็พบได้ในส่วนอื่นๆของชายฝั่ง[[นอร์ฟอล์ค]] อย่างเช่นที่[[เกรตยาร์เมาธ์]] รวมไปถึงที่[[เซ้าธ์โวล์ด]] [[อัลดิเบอร์ก]] และ[[เฟลิกซ์สโตว์]]ใน[[ซัฟฟอล์ค]] และที่ไกลลงไปทางตอนใต้ถึง[[วอลตัน-ออน-เธอะ-นาซ]]ใน[[เอสเซ๊กซ์]] ของอังกฤษ ขณะที่ขึ้นไปทางตอนเหนือนั้นรู้จักกันในยอร์กเชอร์ อีกด้านหนึ่งของทะเลเหนือมีการพบอำพันหลายแห่งตามแนวชายฝั่งของ[[เนเธอร์แลนด์]]และ[[เดนมาร์ค]] บนชายฝั่งของทะเลบอลติกไม่ได้พบเฉพาะในเยอรมนีและโปแลนด์เท่านั้นแต่ยังพบอยู่ทางตอนใต้ของสวีเดนในเบอร์นโฮล์มและหมู่เกาะอื่นๆและรวมไปถึงทางตอนใต้ของ[[ฟินแลนด์]] แหล่งอำพันในทะเลบอลติกและทะเลเหนือบางแห่งเป็นที่รู้จักกันในสมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้วและนำไปสู่การค้าขายกับทางตอนใต้ของยุโรปผ่าน[[เส้นทางสายอำพัน]] อำพันถูกนำไปที่[[โอลเบีย]]ในทะเลดำ [[แมสซิลเลีย]] (ปัจจุบันคือ[[มาร์เซลล์]]) ใน[[ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน]] และ[[เอเดรีย]]ที่ส่วนปลายของ[[เอเดรียติก]]และจากจุดศูนย์กลางนี้อำพันถูกแพร่กระจายไปทั่วของโลกยุคกรีกโบราณ |
|||
มีการพบอำพันใน[[สวิตเซอร์แลนด์]] [[ออสเตรีย]] และ[[ฝรั่งเศส]] อำพันจากเทือกเขาแอลป์ของสวิตซ์มีอายุประมาณ 55-200 ล้านปี และอำพันจากกอลลิ่งมีอายุประมาณ 225-231 ล้านปี [[อำพันชิชิเลียน]] (โคปอล-สิเมติต) มีอายุประมาณ 10-20 ล้านปี |
|||
ในแอฟริกามีการพบโคปอลในประเทศแนวแนวชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออกและแอฟริกาตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาดากัสการ์ อำพันมาดากัสการ์มีอายุเพียง 1,000-10,000 ปีเท่านั้นที่ประกอบไปด้วยยางไม้สนที่แข็งตัว ไนจีเรียก็พบอำพันด้วยเหมือนกันซึ่งมีอายุประมาณ 60 ล้านปี |
|||
อำพันก็พบได้ในเอเชียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพม่าที่เรียกว่าเบอร์มิต มีอายุประมาณ 50 ล้านปีและ[[อำพันเลบานอน]]มีอายุ 130-135 ล้านปี อำพันในเขตทะเล[[ออสเตรเลีย]]พบได้ใน[[นิวซีแลนด์]]และ[[บอร์เนียว]] ([[อำพันซาราวัก]]) มีอายุ 20-60 และ 70-100 ล้านปี |
|||
[[Image:Polished Borneo amber from Sabah.jpg|thumb|อำพันบอร์เนียวโปร่งใสขัดผิวเรียบจากซาบาร์ มาเลเซีย]] |
|||
อำพันพบได้ใน[[สหรัฐอเมริกา]]เป็นหย่อมเล็กๆอยู่ในทรายสีเขียวใน[[นิวเจอร์ซี]]แต่มีค่าทางเศรษฐกิจน้อย อำพันยุคครีเทเชียสตอนกลางก็พบใน[[เอลล์สเวอร์ธคันที]] [[รัฐแคนซัส]] มันมีค่าน้อยในการทำเป็นอัญมณี แต่มีค่าอย่างยิ่งต่อนักชีววิทยา แหล่งของอำพันนี้อยู่ใต้ทะเลสาบที่มนุษย์ขุดขึ้น |
|||
อำพันเรืองแสงก็พบในรัฐทางตอนใต้ของ[[เชียร์ปาส]]ใน[[เม็กซิโก]]และถูกทำเป็นอัญมณีแบบอายแคตชิ่ง ในอเมริกากลางมีอารยะธรรม[[โอลเม็ค]]ที่มีการทำเหมืองอำพันเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ใน[[เม็กซิโก]]มีตำนานที่หลากหลายที่กล่าวถึงการใช้อำพันในการประดับตกแต่ง และใช้ในการลดความเครียดซึ่งเป็นการเยียวยารักษาแบบธรรมชาติ |
|||
ขณะที่อินโดนีเชียก็มีแหล่งอำพันที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งโดยพบเป็นเศษอำพันขนาดใหญ่ที่ขุดขึ้นมาจากชวาและบาหลี |
|||
==การปรับปรุงคุณภาพของอำพัน== |
|||
[[Image:Amber hg.jpg|thumb|left|อำพันขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 ซม.]] |
|||
โรงงานอำพันในเวียนนาซึ่งใช้อำพันสีจางๆในการผลิตกล้องยาสูบและอุปกรณ์การสูบบุหรี่อื่นๆโดยการกลึงและขัดพื้นผิวด้วยสารฟอกขาวและน้ำหรือหินผุๆกับน้ำมัน ท้ายสุดทำให้เป็นมันเงาโดยการขัดด้วยผ้าสักหลาดนุ่มๆ |
|||
เมื่อค่อยๆเพิ่มความร้อนในอ่างน้ำมันจะทำให้อำพันอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น อำพันสองชิ้นอาจหลอมรวมเป็นชิ้นเดียวกันเมื่อทาด้วยน้ำมันลินซีดลงบนผิวของมัน ให้ความร้อน แล้วกดอำพันทั้งสองเข้าหากันขณะที่ยังร้อนอยู่ อำพันที่มีเนื้อขุ่นอาจใสขึ้นในอ่างน้ำมันเมื่อน้ำมันเข้าไปเติมเต็มรูช่องว่างทั้งหลาย ก่อนนี้เราอาจขว้างเศษอำพันเล็กๆทิ้งไปหรืออาจใช้ทำเป็นเพียงน้ำมันชักเงาแต่เดี๋ยวนี้มีการนำไปใช้ในการผลิต[[แอมบรอยด์]]หรือ[[อำพันอัด]] โดยค่อยๆให้ความร้อนกับอำพันแล้วดูดอากาศออก บีบอัดให้อำพันเป็นเนื้อเสมอด้วยเครื่องอัดไฮดรอลิก อำพันที่อ่อนตัวจะถูกกดด้วยแรงเข้าไปในรูของแผ่นโลหะ อำพันที่ได้นี้มีการนำไปใช้กันอย่างกว้างขวางสำหรับทำอัญมณีราคาถูกและวัสดุทำอุปกรณ์สูบบุหรี่ อำพันอัดนี้มีประกายสีแวววาวเมื่อต้องแสงโพลาไรซ์ อำพันอาจถูกทำเทียมได้ด้วยยางไม้อื่นๆเช่น[[โคปอล]]และ[[คอริ]]รวมถึงพวก[[เซลลูลอยด์]]หรือแม้แต่[[แก้ว]] อำพันบอลติกบางครั้งก็มีการทำสีเทียมแต่ก็ยังคงเรียกกันว่าอำพันแท้ |
|||
มีการพบบ่อยครั้งที่อำพัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีแมลงอยู่ในเนื้อของมัน) ถูกทำเทียมขึ้นด้วยวัสดุเรซินพลาสติก มีการทดสอบง่ายๆด้วยการใช้เข็ดหมุดร้อนๆสัมผัสลงไปบนพื้นผิววัตถุและทดสอบว่ามีกลิ่นของยางไม้ลอยขึ้นมาหรือไม่ ถ้าไม่ก็ถือว่าเป็นวัตถุทำเทียม อย่างไรก็ตามการทดสอบนี้อาจหาข้อสรุปไม่ได้หากผิวของวัตถุทำเทียมนี้ถูกเคลือบด้วยยางไม้แท้ๆ บ่อยครั้งที่การทำเทียมจะเห็นแมลงอยู่ในเนื้อวัตถุในท่าทางที่สมบูรณ์แบบเกินไป |
|||
==ศิลปะและเครื่องประดับจากอำพัน== |
|||
[[Image:Amber Bernstein many stones.jpg|thumb|right|หินอำพันที่ยังไม่ได้ขัด]] |
|||
อำพันถือเป็นวัตถุทำเครื่องประดับที่มีค่ามากอันหนึ่งที่ย้อนยุคกลับไปยาวนานมาก ดังเช่น มีการพบอำพันอยู่ในสุสานมายซีเนียน อำพันเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบของสวิตเซอร์แลนด์ มีการพบเป็นซากเหลือยุคนีโอลิธิกในเดนมาร์ค ขณะที่ในอังกฤษมีการพบอำพันอยู่ในหลุมฝังศพยุคบรอนซ์ |
|||
ถ้วยอำพันแห่งเมืองโฮฝ มีการค้นพบถ้วยใบหนึ่งทำจากอำพันในสุสานโบราณยุคบรอนซ์ที่เมืองโฮฝ ในอังกฤษ ที่เดี๋ยวนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ไบรท์ตัน |
|||
มีการค้นพบลูกปัดทำจากอำพันที่ตกสืบทอดมาจากชนเผ่าแองโกล-แซกซอนทางตอนใต้ของอังกฤษ อำพันถือเป็นสิ่งมีค่าที่ถือว่าเป็นเครื่องรางและยังเชื่อกันอีกว่ามีสรรพคุณในการเยียวยารักษาโรคภัย |
|||
อำพันถูกใช้ทำลูกปัดและเครื่องประดับ ทำที่สูบบุหรี่และกล้องยาสูบ พวกเติร์กถือกันว่าอำพันมีค่าเป็นพิเศษโดยกล่าวกันว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อได้เมื่อใช้ท่อทำจากอำพันต่อจากปากคนหนึ่งไปที่ปากอีกคนหนึ่ง อำพันที่มีค่ายิ่งทางตะวันออกคืออำพันที่ค่อนข้างขุ่นมัวมีสีเหลืองฟางอ่อน อำพันคุณภาพเยี่ยมจะถูกส่งไปเวียนนาเพื่อผลิตอุปกรณ์สำหรับสูบยา |
|||
ห้องอำพันเคยเป็นห้องที่สร้างขึ้นด้วยอำพันหนักถึง 6 ตันเนื้อที่ 55 ตารางเมตร สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1701 ตามพระราชบัญชาของกษัตริย์ปรัสเซีย เฟร็ดริช วิลเฮลม ต่อมาได้ถวายเป็นของขวัญแก่พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย (ปีเตอร์มหาราช) ห้องอำพันนี้ถูกซ่อนไว้ให้พ้นสายตาจากการบุกรุกของกองกำลังนาซีในปี ค.ศ. 1941 ผู้เข้าไปค้นหาในปราสาทคัธริน และได้ถอดออกไปแล้วย้ายไปเก็บไว้ที่เมืองโกนิกสบวก อะไรจะเกิดขึ้นกับห้องอำพันนี้หลังจากนั้นยังไม่เป็นที่ชัดเจนแต่มันอาจถูกทำลายไปเมื่อครั้งรัสเซียเผาป้อมปราการของเยอรมนีซึ่งเป็นสถานที่เก็บรักษาห้องอำพันนี้และได้สูญหายไปแล้ว โดยได้มีการสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 2003<ref> [http://news.bbc.co.uk/2/hi/europe/3025833.stm BBC report on Amber Room] </ref> |
|||
[[Image:Bernsteinzimmer01.jpg|thumb|The [[ห้องอำพัน]]ถูกสร้างขึ้นจาก[[อำพันกาลินินการ์ด]]]] |
|||
อำพันสามารถนำไปใช้ทำส่วนของฟร็อกของคันชักของไวโอลิน ถูกคิดค้นมอบหมายขึ้นมาโดยเกนนาดี ฟิลิโมนอฝ และผลิตขึ้นโดยช่างทำคันชักไวโอลินระดับฝีมือครูชาวอเมริกันหลังจากนั้น [[เคธ เปค]] |
|||
<ref>{{cite news | url=http://www.stringsmagazine.com/instruments/Back_Issues/ST65/AmberBow65.html | title=Mastering New Materials: Commissioning an Amber Bow, no.65 | publisher=Strings magazine | author=Jessamyn Reeves-Brown | date=November 1997 | accessdate=2007-04-09}}</ref> |
|||
[[Image:K.Peck amber bow.jpeg|right|thumb|ฟร็อกทำด้วยอำพันผลิตขึ้นโดยเคธ เปค ในปี ค.ศ. 1996/1997 มอบหมายโดยเกนนาดี ฟิลิโมนอฝ]] |
|||
== ดูเพิ่มเติม == |
|||
* [[List of types of amber]] |
|||
* [[List of minerals]] |
|||
* [[Ammolite]] |
|||
* [[Copal]] |
|||
* [[Dominican amber]] |
|||
* [[Spirit of amber]] |
|||
* [[Oil of amber]] |
|||
* [[Amber Road]] |
|||
* [[Amber Room]] |
|||
* [[Baltic amber]] |
|||
== อ้างอิง == |
|||
{{reflist}} |
|||
{{refbegin}} |
|||
*{{1911}} |
|||
*{{1911EB|Amber (resin)}} |
|||
{{refend}} |
|||
==เชื่อมต่อภายนอก== |
|||
{{commonscat|Amber}} |
{{commonscat|Amber}} |
||
* [http://www.emporia.edu/earthsci/amber/amber.htm The World of Amber] Professor Aber's amber page, Earth Science Department of Emporia State University |
|||
{{โครงธรณีวิทยา}} |
|||
*[http://www.farlang.com/gemstones/amber Farlang many full text historical references on Amber] [[Theophrastus]], [[George Frederick Kunz]], and special on [[Baltic amber]]. |
|||
* [http://fossilinsects.net/lib.htm IPS Publications on amber inclusions] International Paleoentomological Society: Scientific Articles on amber and its inclusions |
|||
* [http://www.webmineral.com/data/Amber.shtml Webmineral on Amber] Physical properties and mineralogical information |
|||
* [http://www.mindat.org/min-188.html Mindat Amber] Image and locality information on amber |
|||
* [http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?sec=health&res=9E0CE2DD123BF936A1575AC0A964958260 NY Times] 40 million year old extinct bee in Dominican amber |
|||
{{ |
{{Jewellery Materials}} |
||
[[Category:Arabic words and phrases]] |
|||
[[หมวดหมู่:ซากดึกดำบรรพ์]] |
|||
[[Category:Fossil resins]] |
|||
[[หมวดหมู่:รัตนชาติ]] |
|||
[[Category:Gemstones]] |
|||
[[Category:Amorphous solids]] |
|||
{{Link FA|de}} |
|||
[[ar:كهرمان]] |
[[ar:كهرمان]] |
||
บรรทัด 23: | บรรทัด 185: | ||
[[da:Rav]] |
[[da:Rav]] |
||
[[de:Bernstein]] |
[[de:Bernstein]] |
||
[[et:Merevaik]] |
|||
[[el:Κεχριμπάρι]] |
[[el:Κεχριμπάρι]] |
||
[[ |
[[es:Ámbar]] |
||
[[eo:Sukceno]] |
[[eo:Sukceno]] |
||
[[es:Ámbar]] |
|||
[[et:Merevaik]] |
|||
[[fa:کهربا]] |
[[fa:کهربا]] |
||
[[fi:Meripihka]] |
|||
[[fr:Ambre]] |
[[fr:Ambre]] |
||
[[gl:Ámbar]] |
[[gl:Ámbar]] |
||
[[ |
[[ko:호박 (화석)]] |
||
[[hr:Jantar]] |
[[hr:Jantar]] |
||
[[hu:Borostyán (ásvány)]] |
|||
[[id:Ambar]] |
|||
[[io:Sucino]] |
[[io:Sucino]] |
||
[[id:Ambar]] |
|||
[[is:Raf]] |
[[is:Raf]] |
||
[[it:Ambra (resina)]] |
[[it:Ambra (resina)]] |
||
[[ |
[[he:ענבר]] |
||
[[ko:호박 (화석)]] |
|||
[[ku:Karîban]] |
[[ku:Karîban]] |
||
[[la:Succinum]] |
[[la:Succinum]] |
||
[[lt:Gintaras]] |
|||
[[lv:Dzintars]] |
[[lv:Dzintars]] |
||
[[ |
[[lt:Gintaras]] |
||
[[hu:Borostyán (ásvány)]] |
|||
[[nl:Barnsteen]] |
[[nl:Barnsteen]] |
||
[[ja:コハク]] |
|||
[[no:Rav]] |
[[no:Rav]] |
||
[[nds:Barnsteen]] |
|||
[[pl:Bursztyn]] |
[[pl:Bursztyn]] |
||
[[pt:Âmbar]] |
[[pt:Âmbar]] |
||
[[ro:Chihlimbar]] |
[[ro:Chihlimbar]] |
||
[[ru:Янтарь]] |
[[ru:Янтарь]] |
||
[[sh:Jantar]] |
|||
[[simple:Amber]] |
[[simple:Amber]] |
||
[[sk:Jantár]] |
[[sk:Jantár]] |
||
[[sl:Jantar]] |
[[sl:Jantar]] |
||
[[sr:Ћилибар]] |
[[sr:Ћилибар]] |
||
[[sh:Jantar]] |
|||
[[fi:Meripihka]] |
|||
[[sv:Bärnsten]] |
[[sv:Bärnsten]] |
||
[[ta:அம்பர்]] |
|||
[[tl:Amber]] |
[[tl:Amber]] |
||
[[ta:அம்பர்]] |
|||
[[th:อำพัน]] |
|||
[[vi:Hổ phách]] |
|||
[[tr:Kehribar]] |
[[tr:Kehribar]] |
||
[[uk:Бурштин (смола)]] |
[[uk:Бурштин (смола)]] |
||
[[vi:Hổ phách]] |
|||
[[zh:琥珀]] |
[[zh:琥珀]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:39, 29 มีนาคม 2552
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/41/Amber.pendants.800pix.050203.jpg/220px-Amber.pendants.800pix.050203.jpg)
อำพัน เป็นซากดึกดำบรรพ์ของยางไม้ เป็นสิ่งมีค่าด้วยสีสันและความสวยงามของมัน อำพันที่มีคุณภาพดีเยี่ยมจะถูกนำมาผลิตเป็นเครื่องประดับและอัญมณี แม้ว่าอำพันจะไม่เป็นแร่แต่ก็ถูกจัดให้เป็นพลอย
โดยทั่วไปแล้วจะเข้าใจผิดกันว่าอำพันเกิดจากน้ำเลี้ยงของต้นไม้ แท้ที่จริงแล้วน้ำเลี้ยงเป็นของเหลวที่ไหลเวียนอยู่ในระบบท่อลำเลียงของพืช ขณะที่ยางไม้เป็นอินทรียวัตถุเนื้ออสัณฐานกึ่งแข็งที่ถูกขับออกมาผ่านเซลล์เอพิทีเลียมของพืช
เพราะว่าอำพันเคยเป็นยางไม้ที่เหนียวนิ่มเราจึงพบว่าอาจมีแมลงหรือแม้แต่สัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กอยู่ในเนื้อของมันได้ ยางไม้ที่มีสภาพเป็นกึ่งซากดึกดำบรรพ์รู้จักกันในนามของโคปอล
สีของอำพันมีได้หลากหลายสีสัน ปรกติแล้วจะมีสีน้ำตาล เหลือง หรือส้ม เนื้อของอำพันเองอาจมีสีได้ตั้งแต่ขาวไปจนถึงเป็นสีเหลืองมะนาวอ่อนๆ หรืออาจเป็นสีน้ำตาลจนถึงเกือบสีดำ สีที่พบน้อยได้แก่สีแดงที่บางทีก็เรียกว่าอำพันเชอรี่ อำพันสีเขียวและสีฟ้าหายากที่มีการขุดค้นหากันมาก
อำพันที่มีค่าสูงมากๆจะมีเนื้อโปร่งใส ในทางตรงกันข้ามอำพันที่พบกันมากทั่วไปจะมีสีขุ่นหรือมีเนื้อทึบแสง อำพันเนื้อทึบแสงมักมีฟองอากาศเล็กๆเป็นจำนวนมากที่รู้จักกันในนามของอำพันบาสตาร์ดหมายถึงอำพันปลอม ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็เป็นอำพันของแท้ๆนั่นเอง
ที่มาของชื่อ
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a7/Gouttes-drops-resine-2.jpg/220px-Gouttes-drops-resine-2.jpg)
อำพันหมายถึงแอมเบอร์ในภาษาอังกฤษสืบทอดมาจากคำในภาษาอาราบิกโบราณว่า “แอนบาร์กริส” หรือ “แอมเบอร์กริส” ซึ่งหมายถึงวัตถุที่เป็นน้ำมันหอมที่ขับออกมาโดยวาฬสเปิร์ม ภาษาอังกฤษยุคกลางและฝรั่งเศสยุคเก่าเขียนเป็น ambre ส่วนภาษาลาตินเก่าเขียนเป็น ambra หรือ ambar เป็นวัตถุที่ลอยน้ำได้และมักถูกซัดไปสะสมตัวอยู่ตามชายหาด ด้วยความสับสนในการใช้ศัพท์ มันจึงถูกนำมาใช้เรียกยางไม้ที่กลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ซึ่งก็พบได้ตามชายหาดได้เช่นกัน มีน้ำหนักเบากว่าหินแต่ก็เบาไม่เพียงพอที่จะลอยน้ำได้
พลินี เดอะ เอลเดอร์ ได้สังเกตเห็นซากแมลงอยู่ในเนื้อของอำพันดังที่พบมีการบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ธรรมชาติของเขา โดยเขาได้อธิบายไว้เป็นทฤษฎีได้อย่างถูกต้องว่าอำพันเคยมีสถานะเป็นของเหลวมาก่อนที่ไหลไปห่อหุ้มตัวแมลงไว้ ที่ทำให้เขาเรียกมันว่า ซัคคินั่ม หรือ หินยางไม้ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังถูกนำมาใช้เรียกกรดซัคคินิก และรวมถึง ”ซัคคิไนต์” เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกประเภทของอำพันโดยเจมส์ ดวิกต์ ดานา (ดูด้านล่างที่อำพันบอลติก)
ภาษากรีกเรียกอำพันว่า ηλεκτρον (อิเล็กตรอน) และถูกเชื่อมโยงไปที่เทพแห่งดวงอาทิตย์ซึ่งอีกฉายาหนึ่งของท่านคือ อิเล็กเตอร์ หรือ อะเวกเคนเนอร์ [1] มันถูกกล่าวถึงโดยธีโอฟาสตุสที่เป็นไปได้ว่าวัตถุลักษณะนี้เคยมีผู้กล่าวถึงมาแล้วเป็นครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล คำว่า อิเล็กตรอน ในยุคปัจจุบันถูกนำมาใช้ในปี ค.ศ. 1891 โดยนักฟิสิกส์ชาวไอริช ยอร์จ จอห์นสโตน สโตนี โดยใช้เป็นคำศัพท์ภาษากรีกสำหรับเรียกอำพัน (ซึ่งถูกแปลให้เป็นอิเล็กตรัม) ตามคุณสมบัติทางไฟฟ้าสถิตของมันเป็นครั้งแรก การลงท้ายด้วย -on ทั่วไปจะใช้สำหรับอนุภาคในอะตอมทั้งหมดและใช้ในความหมายเดียวกับ ion[2][3]
เมื่อเผาอำพันจะนุ่มและท้ายสุดจะไหม้เกรียมซึ่งเป็นเหตุผลทำไม้คำว่าแอมเบอร์ในภาษาเยอรมันจึงมีความหมายว่า หินไหม้ (ในภาษาเยอรมันใช้คำว่า Bernstein ส่วนภาษาดัตช์ใช้คำว่า barnsteen) เมื่อเผาอำพันที่อุณหภูมิสูงกว่า 200 องศาเซลเซียสอำพันจะสลายตัวระเหยเป็นน้ำมันของอำพันเหลือเศษเถ้าสีดำที่รู้จักกันว่า "แอมเบอร์โคโลโฟนี" หรือ "แอมเบอร์พิตช์" เมื่อละลายในน้ำมันเทอร์เพนทีนหรือน้ำมันลินซีดจะทำให้เกิดน้ำมันชักเงาอำพัน (แอมเบอร์วาร์นิช) หรือครั่งอำพัน (แอมเบอร์แลค)
อำพันจากทะเลบอลติกมีการซื้อขายกันอย่างกว้างขวางมาตั้งแต่โบราณกาลนานกว่า 2,000 ปีมาแล้ว โดยชาวพื้นเมืองเรียกมันว่า แกลส ด้วยสามารถมองผ่านทะลุได้อย่างแก้ว
ภาษาบอลติกและภาษาลิธัวเนียเรียกอำพันว่า ยินตาแรส และภาษาแลตเวียเรียกว่า ดิงทาร์ ศัพท์ทั้งสองคำและรวมถึงคำว่า แจนทาร์ ในภาษาสลาฟที่คิดว่าผิดเพี้ยนมาจากภาษาฟีนิเชียนคำว่า จายนิตาร์ (หมายถึงยางไม้ทะเล) อย่างไรก็ตามขณะที่ภาษาสลาฟทั้งหลายอย่างเช่นภาษารัสเซียและภาษาเช็คยังคงสงวนไว้ซึ่งคำภาษาสลาฟเก่าที่ถูกแทนที่ด้วยคำว่า เบอซ์ทีน ในภาษาโปแลนด์ซึ่งได้มาจากภาษาเยอรมัน
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/d7/Insects_in_baltic_amber.jpg/220px-Insects_in_baltic_amber.jpg)
เคมีของอำพัน
อำพันมีองค์ประกอบเป็นสารเนื้อผสม แต่เนื้อของมันก็ประกอบไปด้วยสารมีชันหลายชนิดที่ละลายได้ในเอทานอล ไดเอตทิลอีเทอร์ และคลอโรฟอร์ม รวมถึงสารที่ละลายไม่ได้จำพวกบิทูเมน อำพันประกอบไปด้วยสารโมเลกุลขนาดใหญ่จากการเกิดพอลิเมอร์ด้วยการเติมอนุมูลอิสระของสารดั้งเดิมในกลุ่มของแลบเดน กรดคอมมูนิก คัมมูนอล และไบโฟร์มีน[4] สารแลบเดนนี้เป็นไดเทอร์ปีน (C20H32) และไทรอีนซึ่งหมายความว่าเป็นโครงร่างทางอินทรีย์สารของอัลคีน 3 กลุ่มที่ยอมให้เกิดพอลีเมอร์ เมื่ออำพันมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆก็จะมีการเกิดพอลิเมอร์มากขึ้นเรื่อยๆเช่นกันพร้อมๆไปกับปฏิกิริยาไอโซเมอร์ การเชื่อมโยงข้าม และการจัดเป็นวง องค์ประกอบเฉลี่ยทั่วๆไปของอำพันเขียนเป็นสูตรทางเคมีได้ว่า C10H16O
อำพันมีความแตกต่างไปจากโคปอล การเกิดพอลีเมอร์ระหว่างโมเลกุลภายใต้ความกดดันและอุณหภูมิทำให้ยางไม้เปลี่ยนไปเป็นโคปอลก่อน จากนั้นเมื่อโคปอลมีอายุมากขึ้นไปอีกสารเทอร์ปีนในเนื้อของมันจะค่อยๆระเหยออกไปตามกาลเวลาก็จะทำให้โคปอลเปลี่ยนไปเป็นอำพัน
อำพันบอลติกมีความแตกต่างไปจากอำพันชนิดอื่นๆของโลกด้วยเนื้อของมันมีกรดซัคคินิก[ต้องการอ้างอิง] ที่ทำให้อำพันบอลติกเป็นที่รู้จักกันในนามของซัคคิไนต์
อำพันในทางธรณีวิทยา
อำพันที่เก่าแก่ที่สุดพบในยุคคาร์บอนิเฟอรัสหรือประมาณ 345 ล้านปีมาแล้ว ส่วนอำพันที่เก่าแก่ที่สุดที่มีแมลงอยู่ในเนื้อของมันด้วยนั้นได้มาจากยุคครีเทเชียสหรือประมาณ 146 ล้านปีมาแล้ว
แหล่งอำพันที่สำคัญที่สุดในเชิงพาณิชย์คือแหล่งในบอลติกและโดมินิกัน[5]
อำพันบอลติกหรือซัคคิไนต์ (มีบันทึกทางประวัติศาสตร์เรียกกันว่าอำพันปรัสเซีย) ถูกค้นพบเป็นก้อนทรงมนผิวขรุขระในทรายกลอโคไนต์ที่สะสมตัวกันในทะเลหรือที่รู้จักกันว่า “บลูเอิร์ธ” มีอายุสมัยโอลิโกซีนตอนต้นในเขตซัมแลนด์ของปรัสเซียโดยในแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ถูกเรียกขานกันว่า แกลสซาเรีย หลังปี ค.ศ. 1945 ดินแดนแถบนี้รอบๆเมืองโกนิกส์บวกถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของเมืองกาลินิงกราด โอบลาสต์ของประเทศรัสเซียซึ่งปัจจุบันมีการทำเหมืองอำพันกันอย่างเป็นระบบมีแบบแผน[6] อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ามีอำพันบางส่วนเกิดจากการสะสมตัวในช่วงต้นๆของยุคเทอร์เชียรี (อีโอซีน) และก็ยังพบได้ด้วยในชั้นหินที่มีอายุอ่อนขึ้นมาเช่นกัน มีการพบเศษซากพืชมากมายในเนื้อของอำพันขณะที่เนื้อยางไม้ยังสดๆอยู่ เศษซากพืชเหล่านั้นพิจารณาได้ว่ามีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพืชพันธุ์ทางเอเชียตะวันออกและทางตอนใต้ของอเมริกาเหนือ เฮนริช กอปเปิร์ตได้ตั้งชื่ออำพันที่มีเศษซากสนไพน์จากป่าบอลติกว่า “ไพไนต์ ซัคคิไนเตอร์” แต่ในส่วนของเศษซากไม้แล้วบางคนพิจารณาว่าดูเหมือนว่าจะไม่ได้แตกต่างไปจากสกุลของสนที่มีการตั้งชื่อกันเอาไว้ก่อนแล้วที่เรียกกันว่า “ไพนัส ซัคคินิเฟอรา” อย่างไรก็ตามไม่น่าจะเป็นไปได้ที่อำพันที่พบจะเกิดขึ้นจากไม้สนเพียงชนิดเดียว เนื่องจากจริงๆแล้วในเนื้ออำพันเหล่านี้พบเศษซากไม้สนต่างสกุลกันอย่างหลากหลาย
อำพันโดมินิกันถูกพิจารณาให้เป็นริติไนต์เนื่องจากไม่พบกรดซัคคินิก พบมี 3 แหล่งใหญ่ๆในสาธารณรัฐโดมินิกันคือ ลาคอร์ดิลเลอร่าเซฟเทนทริโอนอลทางตอนเหนือ และบายากัวน่าและซาบาน่าทางตะวันออก ในทางเหนือพบว่าชั้นหินที่มีอำพันสะสมอยู่นั้นเป็นพวกหินเนื้อประสม หินทรายที่ตกสะสมตัวบริเวณสันดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ หรือแม้แต่ลงไปในทะเลลึก อำพันที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดและมีความแข็งที่สุดมาจากเขตเทือกเขาทางตอนเหนือของพื้นที่แซนติเอโก้จากเหมืองที่ลาคัมเบอร์ ลาโตก้า ปาโลควีมาโด้ ลาบูคารา และลอสคาซิออสในคอร์ดิลเลอร่าเซฟเทนทริโอนอลไม่ไกลจากเมืองแซนติเอโก้นัก อำพันจากแนวเทือกเขาเหล่านี้พบฝังตัวแน่นในเนื้อลิกไนต์ของชั้นหินทราย
มีอำพันพบทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองบายากัวน่าและซาบาน่าด้วยเหมือนกัน เป็นอำพันมีเนื้ออ่อนกว่าบางทีก็เปราะและเมื่อนำขึ้นมาจากเหมืองแล้วจะเกิดการออกซิเดชันซึ่งทำให้ราคาถูก มีการพบโคปอลด้วยพบว่ามีอายุประมาณ 15-17 ล้านปี ในพื้นที่ทางตะวันออกพบอำพันในชั้นทราย ดินเหนียวปนทราย แทรกสลับด้วยลิกไนต์ รวมถึงชั้นกรวดและชั้นทรายเม็ดปูน ที่มีลักษณะเป็นชั้นบางๆของอินทรียวัตถุแทรกสลับอยู่ด้วย
ทั้งอำพันบอลติกและอำพันโดมินิกันเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยซากดึกดำบรรพ์ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่ายิ่งเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตของป่าในอดีต [7]
อำพันยุคครีเทเชียสตอนกลางมีการพบจากเมืองเอลล์สเวิร์ธคันที มลรัฐแคนซัส เป็นอำพันที่มีอายุประมาณ 100 ล้านปีที่พบซากของแบคทีเรียและอะมีบาฝังอยู่ในเนื้อของมัน จากลักษณะสัณฐานพบว่ามีความใกล้เคียงกับแบคทีเรียสกุลเลฟโตทริกซ์ และอะมีบาสกุลพอนติกูลาเรียและเนเบลาที่ได้รับการยืนยัน[8]
สิ่งที่เข้าไปอยู่ในเนื้ออำพัน
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/c/c8/Spider_in_amber_%281%29.jpg/220px-Spider_in_amber_%281%29.jpg)
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/dc/Ant_in_amber.jpg/220px-Ant_in_amber.jpg)
นอกจากในเนื้อของอำพันจะเก็บรักษาโครงสร้างของพืชเอาไว้อย่างสวยงามแล้ว ยังมีการพบซากสัตว์อื่นๆอย่างเช่นซากเหลือของแมลง แมงมุม แอนนาลิด กบ[9] crustaceans, marine microfossils[10] และสิ่งมีชีวิตเล็กๆอื่นๆซึ่งถูกจับยึดไว้ด้วยผิวเหนียวๆจนฝังแน่นเข้าไปอยู่ในเนื้อของยางไม้ในขณะที่ยังเป็นของไหลหนืดอยู่ โครงสร้างทางอินทรีย์เกือบทั้งหมดจะหายไปถูกทิ้งไว้เพียงช่องโพลงกลวงเท่านั้นและอาจพบร่องรอยของสารไคตินอยู่บ้าง บางครั้งก็พบเส้นขนและแผงขนปรากฏอยู่ด้วย มักพบเศษชิ้นส่วนของไม้ที่ยังถูกรักษาเนื้อไม้เอาไว้อย่างดีในเนื้อของยางไม้ บางครั้งก็พบใบ ดอก และผลในสภาพที่สมบูรณ์ดีเยี่ยม อำพันอาจพบมีลักษณะคล้ายหยดน้ำหรือเป็นลำเรียวยาวในลักษณะที่เกิดจากการหยดย้อยลงมาจากรอยแผลของต้นไม้ นอกเหนือจากยางไม้จะไหลไปตามผิวของลำต้นไม้แล้ว ยางไม้ยังอาจไหลไปในรูกลวงและรอยแตกของต้นไม้ที่ทำให้สามารถพัฒนาเป็นอำพันที่มีรูปลักษณะไม่แน่นอน.[11]
การพัฒนาที่ผิดปรกติของยางไม้เรียกว่า “ซัคคิโนซิส” มักพบมีมลทินปะปนอยู่ในเนื้อของอำพันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยางไม้หยดลงไปบนพื้นดินที่จะทำให้อำพันนั้นไร้ค่านอกเสียจากการนำไปทำน้ำมันชักเงาและเราเรียกอำพันที่มีมลทินนี้ว่า “เฟอร์นิสส์” การมีแร่ไพไรต์อยู่ด้วยอาจทำให้อำพันมีสีอมน้ำเงิน อำพันที่เรียกกันว่าอำพันสีดำเกิดจากมีลิกไนต์เป็นมลทิน “อำพันโบนี” มีลักษณะขุ่นมัวไปจนถึงมีฟองอากาศเล็กๆในเนื้อของมัน
อำพันที่โปร่งแสงเมื่อนำไปขัดผิวแล้วจะไม่ทำให้โปร่งใสขึ้นมาเสมอไปด้วยมีมลทินที่ปนเปื้อน มีการพัฒนาเทคนิคการตรวจสอบอำพันที่ขุ่นข้นและทึบแสงเพื่อหาสิ่งที่เข้าไปอยู่ในเนื้ออำพันได้โดยการใช้รังสีเอกซ์ที่มีความคมชัดละเอียดสูงในยุโรเปียน ซินโครตรอน เรดิเอชัน แฟซิลิตี[12] มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเกือบ 360 ชิ้นในเนื้ออำพันทึบแสงจากเมืองชาเรนเทสในฝรั่งเศส พบตัวต่อโบราณ แมลงมีปีก มด และแมงมุมโดยวัดขนาดได้เพียงไม่กี่มิลลิเมตร ซากสิ่งมีชีวิตที่ถูกติดกับอยู่ในเนื้ออำพันทึบแสงเหล่านั้นสามารถถูกสร้างเป็นภาพสามมิติผ่านเครื่องไมโครโตกราฟฟีที่ทำให้เห็นรายละเอียดได้ถึงระดับมาตราส่วนไมโครมีเตอร์ทีเดียว รูปทรงจำลองสามมิติขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นทำด้วยพลาสติกสามารถถูกสร้างขึ้นมาเลียนแบบซากสิ่งมีชีวิตจริงที่อยู่ในเนื้ออำพันเพื่อใช้เป็นสื่อทดแทนในการตั้งชื่อสายพันธุ์ใหม่ของซากดึกดำบรรพ์ในเนื้ออำพันนั้นได้
แหล่งอำพัน
อำพันบอลติก
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/31/Lithuanian_traditional_headdress.jpg/220px-Lithuanian_traditional_headdress.jpg)
อำพันบอลติกพบกระจายตัวกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่กว้างของยุโรปตอนเหนือและแผ่ออกมาทางตะวันออกถึงอูรัลส์
อำพันบอลติกมีส่วนประกอบของกรดซัคคินิกอยู่ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 3 – 8 ซึ่งเป็นลักษณะของอำพันที่มีความขุ่นมัวหรือที่เรียกว่า อำพันโบนี กลิ่นหอมๆระคายเคืองที่ปล่อยออกมาจากการเผาเป็นของกรดชนิดนี้เป็นหลัก อำพันบอลติกมีความแตกต่างไปจากอำพันอื่นๆตรงที่มีกรดซัคคินิกและเป็นที่มาของชื่อ ซัคคิไนต์ เสนอขึ้นโดยศาสตราจารย์เจมส์ ดวิกต์ ดานา และปัจจุบันก็ใช้เขียนกันทั่วไปในฐานะชื่อทางทางวิทยาศาสตร์สำหรับอำพันปรัสเซียน ซัคคิไนต์มีความแข็งระหว่าง 2 – 3 ซึ่งค่อนข้างจะแข็งกว่ายางไม้กลายเป็นซากดึกดำบรรพ์อื่นๆ มีความถ่วงจำเพาะระหว่าง 1.05 ถึง 1.10 เครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้ในการวิเคราะห์อำพันบอลติกคือไออาร์สเปคโตรสโคปี เครื่องมือนี้นอกจากสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างอำพันบอลติกออกจากอำพันจากแหล่งอื่นๆได้ด้วยค่าการดูดซับคาร์บอนิลจำเพาะแล้ว ยังสามารถตรวจจับอายุสัมพัทธ์ของอำพันหนึ่งๆได้ด้วย อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่ากรดซัคคินิกดังกล่าวไม่ใช่เป็นองค์ประกอบตั้งต้นของอำพันบอลติกแต่เป็นผลผลิตจากการสลายตัวของกรดเอบิเอทติก (Rottlaender, 1970)
แม้ว่าอำพันจะพบได้ตามชายฝั่งของทะเลบอลติกและทะเลเหนือแต่พื้นที่ผลิตอำพันส่วนใหญ่มาจากแซมเบียหรือแซมแลนด์ตามชายฝั่งของเมืองโกนิกส์บวกในปรัสเซียซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 ประมาณร้อยละ 90 ของอำพันโลกได้มาจากกาลินิงกราด โอบลาสต์ของรัสเซียในทะเลบอลติก[13] เศษชิ้นของอำพันที่หลุดออกมาจากใต้ท้องทะเลถูกพัดขึ้นมาด้วยแรงคลื่นและไปสะสมตัวที่ชายฝั่ง บางครั้งนักวิจัยก็ลุยลงไปในทะเลพร้อมตาข่ายที่ใช้ลากดึงสาหร่ายทะเลก็จะมีอำพันติดขึ้นมาได้ หรือบริเวณน้ำตื้นๆอาจใช้เรือแล่นออกไปแล้วคราดตักเอาอำพันขึ้นมาจากระหว่างโขดหิน นอกจากนี้อาจจ้างนักประดาน้ำงมลงไปเก็บอำพันในที่ที่น้ำลึกมากขึ้น ครั้งหนึ่งเคยมีการขุดหาอำพันใต้ทะเลอย่างจริงจังที่คูโรเนียนลากูนโดยสแตนเตียนและเบคเกอร์พ่อค้าอำพันชาวโกนิกส์บวก ในปัจจุบันมีการทำเหมืองอำพันกันอย่างกว้างขวาง ก่อนหน้านี้มีการทำเหมืองเปิดเพื่อขุดหาอำพันแต่ปัจจุบันมีการทำเหมืองใต้ดินด้วย ก้อนทรงมนจากบลูเอิร์ธต้องปลอดจากเนื้อประสานและปลดส่วนทึบแสงออกไปซึ่งอาจทำได้โดยการเขย่าถังทรงกระบอกที่บรรจุทรายและน้ำ อำพันที่หลุดจากพื้นทะเลจะสูญเสียเปลือกนอกออกไปแต่มักพบพื้นผิวของอำพันเป็นรอยขีดข่วนเป็นพื้นผิวด้านจากการกลิ้งไปมาบนพื้นทราย
นับตั้งแต่ที่มีการจัดตั้งเส้นทางสายอำพันทำให้อำพันเป็นที่รู้จักกันในนามของทองปรัสเซีย (ซึ่งปัจจุบันก็มีการเรียกกันด้วยว่าทองลิทัวเนีย) ทำให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงทั้งทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม อัญมณีอำพันและเครื่องประดับอำพันถูกนำเสนอแก่นักท่องเที่ยวในร้านขายของที่ระลึกทั้งหลายซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของลิทัวเนีย เมืองชายทะเลอย่างพาแลงก้ามีการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์อำพันพาแลงก้าที่มีการนำเสนอเรื่องราวของอำพันไว้ อำพันสามารถพบได้ในแลตเวีย เดนมาร์ค ทางเหนือของเยอรมนี โปแลนด์ และรัสเซียนับตั้งแต่ที่รัสเซียได้ผนวกเอาปรัสเซียเข้าไปอยู่ในการปกครองในปี ค.ศ. 1945
อำพันโดมินิกัน
อำพันโดมินิกันแตกต่างไปจากอำพันบอลติกด้วยเป็นอำพันโปร่งแสงและมักพบซากดึกดำบรรพ์อยู่ด้วย ทำให้สามารถรื้อฟื้นระบบนิเวศน์ในอดีตได้อย่างละเอียดของป่าเขตร้อนที่สูญสิ้นไปแล้วมาเป็นเวลานาน[14] ยางไม้จากพืชชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้วของฮายเมนนี พรอเทอรานับเป็นแหล่งยางไม้ของอำพันโดมินิกันและอำพันทั้งหมดอาจพบในเขตร้อน อำพันชนิดนี้ไม่เป็นพวกซัคคิไนต์แต่จะเป็นพวกริติไนต์[15] ในทางตรงกันข้ามกับอำพันบอลติก อำพันโดมินิกันในตลาดโลกเป็นอำพันธรรมชาติมาจากเหมืองโดยตรงและไม่ได้มีการปรับแต่งเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งทางกายภาพและทางเคมี อำพันโดมินิกันนี้มีอายุมากถึง 40 ล้านปี[16]
อำพันโดมินิกันทั้งหลายจะเรืองแสง จะพบเป็นสีน้ำเงินได้ยากมาก มันเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินในแสงอาทิตย์ธรรมชาติและแหล่งแสงอื่นๆที่มีรังสีอุลตร้าไวโอเลตทั้งหมดหรือบางส่วน แสงอุลตร้าไวโอเลตซึ่งเป็นแสงคลื่นยาวมีคุณสมบัติสะท้อนแสงได้อย่างรุนแรงคือแสงสีขาวเกือบทั้งหมด ปีหนึ่งๆมีการขุดค้นพบอำพันชนิดนี้เพียงประมาณ 100 กิโลกรัมเท่านั้นซึ่งถือว่าเป็นอำพันที่มีค่าสูงและมีราคาแพง[17]
อำพันโดมินิกันและโดยเฉพาะอย่างยิ่งอำพันโดมินิกันสีน้ำเงินมีการทำเหมืองเปิดกันแบบไม่มีการวางแผน ซึ่งมีอันตรายต่อคนงานเหมืองสูงมากที่ต้องเสี่ยงที่ผนังเหมืองอาจถล่มลงมาทับร่างเหล่าคนงานได้[18] เหมืองเปิดแบบนี้เป็นการขุดบ่อเหมืองด้วยเครื่องง่ายๆที่หาได้ อาจเริ่มต้นด้วยการใช้มีด และอาจตามด้วย พลั่ว เสียม แชลง และค้อน โดยจะขุดให้ลึกลงไปเท่าที่จะขุดได้หรือเท่าที่จะปลอดภัย บางครั้งลงไปในแนวดิ่ง บางครั้งก็หักทิศทางไปในแนวราบ แต่ไม่เคยมีการวัดคำนวณใดๆ จะทำการขุดคดโค้งไปมาไปที่เชิงเขาบ้าง ดิ่งลึกลงไปบ้าง หรืออาจจะไปบรรจบกับหลุมอื่นๆได้ ขุดตรงเข้าไปจนอาจไปโผล่อีกแห่งหนึ่งโดยไม่ได้คะเนไว้ น้อยนักที่ขนาดของหลุมขุดจะมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะยืนอยู่ได้หรืออาจจะมีเฉพาะที่ตรงทางเข้าเท่านั้น คนงานเหมืองจะคลานเข้าไป ใช้มือจับแชลง พลั่ว หรือมีดที่มีด้ามสั้นๆ อำพันที่พบไม่ขายต่อโดยตรงเป็นวัตถุดิบธรรมชาติก็อาจจะตัดหรือขัดเรียบโดยไม่มีการปรุงแต่งใดๆเพิ่มเติม[14]
โดยทั่วไปแล้วจะใช้อำพันโดมินิกันเป็นเครื่องประดับและอัญมณี ขณะที่สีสันและสิ่งที่อยู่ในเนื้อของอำพันจะเพิ่มมูลค่าให้มากยิ่งขึ้นทำให้มีราคาแพงเป็นที่หมายปองเพื่อการจัดแสดงทั้งของนักสะสมส่วนตัวและของภาครัฐ[19] ในตะวันออกไกลได้มีการนำเอาอำพันสีน้ำเงินที่หายากมากไปเกาะสลักเป็นชิ้นงานทางศิลปะ นอกจากนี้ได้มีการนำเอาอำพันสีน้ำเงินไปทำเป็นอัญมณีด้วยคุณสมบัติเรืองแสงตามธรรมชาติภายใต้แสงอุลตร้าไวโอเลต ในโลกของชาวอิสลาม มีการนำเอาอำพันโดมินิกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกปัดอำพันสีน้ำเงินไปใช้ประกอบการสวดมนต์เพื่อการผ่อนคลายความเครียด[20][21]
แหล่งอื่นๆ
แหล่งสะสมตัวของอำพันมีการพบได้ทั่วโลก บางแห่งมีอายุเก่าแก่กว่าแหล่งที่รู้จักกันดีในแถบทะเลบอลติกและในสาธารณรัฐโดมินิกันและบ้างก็มีอายุอ่อนกว่า อำพันบางแห่งมีอายุเก่าแก่ได้ถึง 345 ล้านปี (นอร์ธอัมเบอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา)
แหล่งอำพันที่ไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักกันอยู่ในยูเครนในพื้นที่ป่าบริเวณเขตแดนโวลีน-โปเลซี ด้วยอำพันในพื้นที่นี้อยู่ที่ระดับตื้นๆที่สามารถขุดขึ้นมาได้เพียงใช้เครื่องมือง่ายๆและก็ทำให้ง่ายในการลักลอบขุดค้นภายใต้การปกคลุมด้วยป่าทึบ อำพันในยูเครนนี้มีหลากหลายสีสันและเคยถูกนำไปใช้ปฏิสังขรณ์ห้องแอมเบอร์ในพระบรมมหาราชวังของจักรพรรดินีแคธีรีนในกรุงเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก (ดูด้านล่าง)
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a6/Sailboat_from_amber.jpg/220px-Sailboat_from_amber.jpg)
อำพันชิ้นกลมมนปรกติมีขนาดเล็กๆแต่ก็พบเป็นชิ้นขนาดใหญ่ๆได้ ที่อาจพบได้ในบริเวณชายฝั่งด้านตะวันออกของอังกฤษที่เป็นไปได้ว่าถูกชะขึ้นมาจากแหล่งใต้ทะเลเหนือ ที่โครเมอร์เป็นตำแหน่งที่รู้จักกันดีที่สุด แต่ก็พบได้ในส่วนอื่นๆของชายฝั่งนอร์ฟอล์ค อย่างเช่นที่เกรตยาร์เมาธ์ รวมไปถึงที่เซ้าธ์โวล์ด อัลดิเบอร์ก และเฟลิกซ์สโตว์ในซัฟฟอล์ค และที่ไกลลงไปทางตอนใต้ถึงวอลตัน-ออน-เธอะ-นาซในเอสเซ๊กซ์ ของอังกฤษ ขณะที่ขึ้นไปทางตอนเหนือนั้นรู้จักกันในยอร์กเชอร์ อีกด้านหนึ่งของทะเลเหนือมีการพบอำพันหลายแห่งตามแนวชายฝั่งของเนเธอร์แลนด์และเดนมาร์ค บนชายฝั่งของทะเลบอลติกไม่ได้พบเฉพาะในเยอรมนีและโปแลนด์เท่านั้นแต่ยังพบอยู่ทางตอนใต้ของสวีเดนในเบอร์นโฮล์มและหมู่เกาะอื่นๆและรวมไปถึงทางตอนใต้ของฟินแลนด์ แหล่งอำพันในทะเลบอลติกและทะเลเหนือบางแห่งเป็นที่รู้จักกันในสมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้วและนำไปสู่การค้าขายกับทางตอนใต้ของยุโรปผ่านเส้นทางสายอำพัน อำพันถูกนำไปที่โอลเบียในทะเลดำ แมสซิลเลีย (ปัจจุบันคือมาร์เซลล์) ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และเอเดรียที่ส่วนปลายของเอเดรียติกและจากจุดศูนย์กลางนี้อำพันถูกแพร่กระจายไปทั่วของโลกยุคกรีกโบราณ
มีการพบอำพันในสวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และฝรั่งเศส อำพันจากเทือกเขาแอลป์ของสวิตซ์มีอายุประมาณ 55-200 ล้านปี และอำพันจากกอลลิ่งมีอายุประมาณ 225-231 ล้านปี อำพันชิชิเลียน (โคปอล-สิเมติต) มีอายุประมาณ 10-20 ล้านปี ในแอฟริกามีการพบโคปอลในประเทศแนวแนวชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออกและแอฟริกาตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาดากัสการ์ อำพันมาดากัสการ์มีอายุเพียง 1,000-10,000 ปีเท่านั้นที่ประกอบไปด้วยยางไม้สนที่แข็งตัว ไนจีเรียก็พบอำพันด้วยเหมือนกันซึ่งมีอายุประมาณ 60 ล้านปี
อำพันก็พบได้ในเอเชียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพม่าที่เรียกว่าเบอร์มิต มีอายุประมาณ 50 ล้านปีและอำพันเลบานอนมีอายุ 130-135 ล้านปี อำพันในเขตทะเลออสเตรเลียพบได้ในนิวซีแลนด์และบอร์เนียว (อำพันซาราวัก) มีอายุ 20-60 และ 70-100 ล้านปี
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/89/Polished_Borneo_amber_from_Sabah.jpg/220px-Polished_Borneo_amber_from_Sabah.jpg)
อำพันพบได้ในสหรัฐอเมริกาเป็นหย่อมเล็กๆอยู่ในทรายสีเขียวในนิวเจอร์ซีแต่มีค่าทางเศรษฐกิจน้อย อำพันยุคครีเทเชียสตอนกลางก็พบในเอลล์สเวอร์ธคันที รัฐแคนซัส มันมีค่าน้อยในการทำเป็นอัญมณี แต่มีค่าอย่างยิ่งต่อนักชีววิทยา แหล่งของอำพันนี้อยู่ใต้ทะเลสาบที่มนุษย์ขุดขึ้น
อำพันเรืองแสงก็พบในรัฐทางตอนใต้ของเชียร์ปาสในเม็กซิโกและถูกทำเป็นอัญมณีแบบอายแคตชิ่ง ในอเมริกากลางมีอารยะธรรมโอลเม็คที่มีการทำเหมืองอำพันเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ในเม็กซิโกมีตำนานที่หลากหลายที่กล่าวถึงการใช้อำพันในการประดับตกแต่ง และใช้ในการลดความเครียดซึ่งเป็นการเยียวยารักษาแบบธรรมชาติ
ขณะที่อินโดนีเชียก็มีแหล่งอำพันที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งโดยพบเป็นเศษอำพันขนาดใหญ่ที่ขุดขึ้นมาจากชวาและบาหลี
การปรับปรุงคุณภาพของอำพัน
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/36/Amber_hg.jpg/220px-Amber_hg.jpg)
โรงงานอำพันในเวียนนาซึ่งใช้อำพันสีจางๆในการผลิตกล้องยาสูบและอุปกรณ์การสูบบุหรี่อื่นๆโดยการกลึงและขัดพื้นผิวด้วยสารฟอกขาวและน้ำหรือหินผุๆกับน้ำมัน ท้ายสุดทำให้เป็นมันเงาโดยการขัดด้วยผ้าสักหลาดนุ่มๆ
เมื่อค่อยๆเพิ่มความร้อนในอ่างน้ำมันจะทำให้อำพันอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น อำพันสองชิ้นอาจหลอมรวมเป็นชิ้นเดียวกันเมื่อทาด้วยน้ำมันลินซีดลงบนผิวของมัน ให้ความร้อน แล้วกดอำพันทั้งสองเข้าหากันขณะที่ยังร้อนอยู่ อำพันที่มีเนื้อขุ่นอาจใสขึ้นในอ่างน้ำมันเมื่อน้ำมันเข้าไปเติมเต็มรูช่องว่างทั้งหลาย ก่อนนี้เราอาจขว้างเศษอำพันเล็กๆทิ้งไปหรืออาจใช้ทำเป็นเพียงน้ำมันชักเงาแต่เดี๋ยวนี้มีการนำไปใช้ในการผลิตแอมบรอยด์หรืออำพันอัด โดยค่อยๆให้ความร้อนกับอำพันแล้วดูดอากาศออก บีบอัดให้อำพันเป็นเนื้อเสมอด้วยเครื่องอัดไฮดรอลิก อำพันที่อ่อนตัวจะถูกกดด้วยแรงเข้าไปในรูของแผ่นโลหะ อำพันที่ได้นี้มีการนำไปใช้กันอย่างกว้างขวางสำหรับทำอัญมณีราคาถูกและวัสดุทำอุปกรณ์สูบบุหรี่ อำพันอัดนี้มีประกายสีแวววาวเมื่อต้องแสงโพลาไรซ์ อำพันอาจถูกทำเทียมได้ด้วยยางไม้อื่นๆเช่นโคปอลและคอริรวมถึงพวกเซลลูลอยด์หรือแม้แต่แก้ว อำพันบอลติกบางครั้งก็มีการทำสีเทียมแต่ก็ยังคงเรียกกันว่าอำพันแท้
มีการพบบ่อยครั้งที่อำพัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีแมลงอยู่ในเนื้อของมัน) ถูกทำเทียมขึ้นด้วยวัสดุเรซินพลาสติก มีการทดสอบง่ายๆด้วยการใช้เข็ดหมุดร้อนๆสัมผัสลงไปบนพื้นผิววัตถุและทดสอบว่ามีกลิ่นของยางไม้ลอยขึ้นมาหรือไม่ ถ้าไม่ก็ถือว่าเป็นวัตถุทำเทียม อย่างไรก็ตามการทดสอบนี้อาจหาข้อสรุปไม่ได้หากผิวของวัตถุทำเทียมนี้ถูกเคลือบด้วยยางไม้แท้ๆ บ่อยครั้งที่การทำเทียมจะเห็นแมลงอยู่ในเนื้อวัตถุในท่าทางที่สมบูรณ์แบบเกินไป
ศิลปะและเครื่องประดับจากอำพัน
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/30/Amber_Bernstein_many_stones.jpg/220px-Amber_Bernstein_many_stones.jpg)
อำพันถือเป็นวัตถุทำเครื่องประดับที่มีค่ามากอันหนึ่งที่ย้อนยุคกลับไปยาวนานมาก ดังเช่น มีการพบอำพันอยู่ในสุสานมายซีเนียน อำพันเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบของสวิตเซอร์แลนด์ มีการพบเป็นซากเหลือยุคนีโอลิธิกในเดนมาร์ค ขณะที่ในอังกฤษมีการพบอำพันอยู่ในหลุมฝังศพยุคบรอนซ์
ถ้วยอำพันแห่งเมืองโฮฝ มีการค้นพบถ้วยใบหนึ่งทำจากอำพันในสุสานโบราณยุคบรอนซ์ที่เมืองโฮฝ ในอังกฤษ ที่เดี๋ยวนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ไบรท์ตัน
มีการค้นพบลูกปัดทำจากอำพันที่ตกสืบทอดมาจากชนเผ่าแองโกล-แซกซอนทางตอนใต้ของอังกฤษ อำพันถือเป็นสิ่งมีค่าที่ถือว่าเป็นเครื่องรางและยังเชื่อกันอีกว่ามีสรรพคุณในการเยียวยารักษาโรคภัย
อำพันถูกใช้ทำลูกปัดและเครื่องประดับ ทำที่สูบบุหรี่และกล้องยาสูบ พวกเติร์กถือกันว่าอำพันมีค่าเป็นพิเศษโดยกล่าวกันว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อได้เมื่อใช้ท่อทำจากอำพันต่อจากปากคนหนึ่งไปที่ปากอีกคนหนึ่ง อำพันที่มีค่ายิ่งทางตะวันออกคืออำพันที่ค่อนข้างขุ่นมัวมีสีเหลืองฟางอ่อน อำพันคุณภาพเยี่ยมจะถูกส่งไปเวียนนาเพื่อผลิตอุปกรณ์สำหรับสูบยา
ห้องอำพันเคยเป็นห้องที่สร้างขึ้นด้วยอำพันหนักถึง 6 ตันเนื้อที่ 55 ตารางเมตร สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1701 ตามพระราชบัญชาของกษัตริย์ปรัสเซีย เฟร็ดริช วิลเฮลม ต่อมาได้ถวายเป็นของขวัญแก่พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย (ปีเตอร์มหาราช) ห้องอำพันนี้ถูกซ่อนไว้ให้พ้นสายตาจากการบุกรุกของกองกำลังนาซีในปี ค.ศ. 1941 ผู้เข้าไปค้นหาในปราสาทคัธริน และได้ถอดออกไปแล้วย้ายไปเก็บไว้ที่เมืองโกนิกสบวก อะไรจะเกิดขึ้นกับห้องอำพันนี้หลังจากนั้นยังไม่เป็นที่ชัดเจนแต่มันอาจถูกทำลายไปเมื่อครั้งรัสเซียเผาป้อมปราการของเยอรมนีซึ่งเป็นสถานที่เก็บรักษาห้องอำพันนี้และได้สูญหายไปแล้ว โดยได้มีการสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 2003[22]
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/9d/Bernsteinzimmer01.jpg/220px-Bernsteinzimmer01.jpg)
อำพันสามารถนำไปใช้ทำส่วนของฟร็อกของคันชักของไวโอลิน ถูกคิดค้นมอบหมายขึ้นมาโดยเกนนาดี ฟิลิโมนอฝ และผลิตขึ้นโดยช่างทำคันชักไวโอลินระดับฝีมือครูชาวอเมริกันหลังจากนั้น เคธ เปค [23]
ดูเพิ่มเติม
- List of types of amber
- List of minerals
- Ammolite
- Copal
- Dominican amber
- Spirit of amber
- Oil of amber
- Amber Road
- Amber Room
- Baltic amber
อ้างอิง
- ↑ King, Rev. C.W. (1867). The Natural History of Gems or Decorative Stones. Cambridge (UK). Amber Chapter, Online version
- ↑ Susie Ward Aber. "Welcome to the World of Amber". Emporia State University. สืบค้นเมื่อ 2007-05-11.
- ↑ Origin of word Electron
- ↑ Assignment of vibrational spectra of labdatriene derivatives and ambers: A combined experimental and density functional theoretical study Manuel Villanueva-García, Antonio Martínez-Richa, and Juvencio Robles Arkivoc (EJ-1567C) pp 449-458 Online Article
- ↑ Lecture at the university of cologne http://www.fortunecity.com/campus/geography/243/ambdepos.html
- ↑ Langenheim, Jean (2003). Plant Resins: Chemistry, Evolution, Ecology, and Ethnobotany. Timber Press Inc. ISBN 0-88192-574-8.
- ↑ Howard Stableford, BBC, Radio 4: amber http://db.bbc.co.uk/radio4/science/amber.shtml
- ↑ http://www.ucmp.berkeley.edu/museum/171online/PB171BMWPG1.html Benjamin M. Waggoner, Bacteria and protists from Middle Cretaceous amber of Ellsworth County, Kansas, from: PaleoBios, Volume 17, Number 1, Pages 20-26, July 13, 1996
- ↑ Scientist: Frog could be 25 million years old
- ↑ Girard, V; Schmidt, Ar; Saint, Martin, S; Struwe, S; Perrichot, V; Saint, Martin, Jp; Grosheny, D; Breton, G; Néraudeau, D (2008). "Evidence for marine microfossils from amber". Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America. 105: 17426. doi:10.1073/pnas.0804980105. ISSN 0027-8424. PMID 18981417.
{{cite journal}}
: ระบุ|pages=
และ|page=
มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|month=
ถูกละเว้น (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ What is amber?
- ↑ BBC News, " Secret 'dino bugs' revealed", 1 April 2008
- ↑ How Products Are Made: Amber
- ↑ 14.0 14.1 George Poinar, Jr. and Roberta Poinar, 1999. The Amber Forest: A Reconstruction of a Vanished World, (Princeton University Press) ISBN 0691028885
- ↑ Grimaldi, D. A.: Amber - Window to the Past. - American Museum of Natural History, New York 1996
- ↑ Browne, Malcolm W. (1992). "40-Million-Year-Old Extinct Bee Yields Oldest Genetic Material". New York Times. สืบค้นเมื่อ 2008-04-15.
- ↑ Manuel A. Iturralde-Vennet 2001. Geology of the Amber-Bearing Deposits of the Greater Antilles. Caribbean Journal of Science, Vol. 00, No. 0, 141-167, 2001
- ↑ Wilfred Wichard und Wolfgang Weitschat: Im Bernsteinwald. - Gerstenberg Verlag, Hildesheim, 2004, ISBN 3-8067-2551-9
- ↑ Poinar, G. O.: Life in Amber. - Stanford University Press, Stanford 1992
- ↑ Da Cruz, Daniel (1968). "Worry Beads -- The use of Misbahas in modern times". Saudi Aramco World. สืบค้นเมื่อ 2008-04-15.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|month=
ถูกละเว้น (help) - ↑ Leif Brost and Ake Dahlstrom. The Amber Book, Geoscience Press, Inc., Tucson , AZ, 1996 ISBN 0-945005-23-7
- ↑ BBC report on Amber Room
- ↑ Jessamyn Reeves-Brown (November 1997). "Mastering New Materials: Commissioning an Amber Bow, no.65". Strings magazine. สืบค้นเมื่อ 2007-04-09.
บทความนี้ ประกอบด้วยข้อความจากสิ่งพิมพ์ซึ่งปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติ: Chisholm, Hugh, บ.ก. (1911). สารานุกรมบริตานิกา ค.ศ. 1911 (11 ed.). สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์.
{{cite encyclopedia}}
:|title=
ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)- แม่แบบ:1911EB
เชื่อมต่อภายนอก
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4a/Commons-logo.svg/30px-Commons-logo.svg.png)
- The World of Amber Professor Aber's amber page, Earth Science Department of Emporia State University
- Farlang many full text historical references on Amber Theophrastus, George Frederick Kunz, and special on Baltic amber.
- IPS Publications on amber inclusions International Paleoentomological Society: Scientific Articles on amber and its inclusions
- Webmineral on Amber Physical properties and mineralogical information
- Mindat Amber Image and locality information on amber
- NY Times 40 million year old extinct bee in Dominican amber