อ็องรี รูโซ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อ็องรี รูโซ

อ็องรี ฌูว์เลียง เฟลิกซ์ รูโซ (ฝรั่งเศส: Henri Julien Félix Rousseau; 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1844 - 2 กันยายน ค.ศ. 1910)[1] เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสของสมัยอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ผู้มีลักษณะการเขียนแบบศิลปะนาอีฟ (Naïve art) และ แบบบรรพกาลนิยม (Primitivism)[2][3] รูโซเป็นที่รู้จักกันว่า “Le Douanier” (เจ้าหน้าที่ศุลกากร) ตามหน้าที่การงาน[1] ระหว่างที่มีชีวิตอยู่รูโซก็ถูกเย้ยหยัน แต่ต่อมาก็เป็นที่นับถือในการที่เป็นผู้สอนตนเองผู้เป็นอัจฉริยะผู้เขียนภาพที่มีคุณภาพสูง[4][5]

เบื้องหลัง[แก้]

อ็องรี รูโซเกิดที่เมืองลาวาลในบริเวณลุ่มแม่น้ำลัวร์ ครอบครัวมีอาชีพเป็นช่างประปา เมื่อยังเยาว์วัยก็ได้รับการศึกษาที่โรงเรียนประจำระดับมัธยมในลาวาลเองในฐานะนักเรียนไปกลับ หลังจากบิดาไปเป็นหนี้จนถูกยึดบ้าน รูโซเป็นนักเรียนระดับปานกลางในวิชาทั่วไป แต่ได้รับรางวัลทางด้านการวาดภาพและดนตรี[6] ต่อมารูโซก็ทำงานเป็นทนายความและศึกษากฎหมาย แต่ก็ “ไปทำผิดกฎหมายเล็กน้อย แต่ก็เลี่ยงไปเป็นทหาร”[7] อยู่เป็นเวลาสี่ปีเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1863 เมื่อบิดาเสียชีวิตรูโซก็ย้ายไปรับราชการอยู่ในปารีสในปี ค.ศ. 1868 เพื่อไปเลี้ยงดูแม่ที่เป็นหม้าย ในปี ค.ศ. 1871 รูโซก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นพนักงานเก็บภาษี และเริ่มทำการเขียนภาพอย่างจริงจังเมื่ออายุได้สี่สิบกว่าๆ พออายุได้ 49 ก็ลาออกจากราชการมาเป็นจิตรกรเต็มตัว[8] เมื่อภรรยาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1888 รูโซก็แต่งงานใหม่

รูโซอ้างว่า “ไม่มีผู้สอนแต่อย่างใด นอกไปจากธรรมชาติ”[3] แต่ก็ยอมรับว่าได้รับ “คำแนะนำ” จากจิตรกรศิลปะสถาบัน, เฟลิกซ์ โอกุสต์-เคลมงต์ และ ฌอง-เลยง เฌโรม[9] แต่ตามความเป็นจริงแล้วรูโซก็เป็นผู้ที่เรียนรู้การเขียนจิตรกรรมด้วยตนเอง และเขียนในลักษณะที่เรียกว่าเป็นแบบบรรพกาล และ แบบนาอีฟ

งานเขียน[แก้]

“ภาพเหมือนตนเอง”, ค.ศ. 1890

ภาพที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดหลายภาพเป็นภาพป่าดิบ แม้ว่ารูโซเองจะไม่เคยออกจากฝรั่งเศสไปเห็นป่าดิบด้วยตาของตนเองก็ตาม ข่าวลือโดยผู้ที่ชื่นชมที่ว่าเมื่อรูโซรับราชการเป็นทหารแล้วมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรุกรานเม็กซิโกก็ไม่มีมูลแต่อย่างใด แรงบันดาลใจของภาพเขียนมาจากหนังสือที่มีภาพประกอบ และสวนพฤกษชาติในกรุงปารีส และภาพสัตว์ป่า แต่รูโซก็มีโอกาสได้สนทนากับทหารผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรุกรานเม็กซิโก และได้ฟังเรื่องราวต่างที่ทหารได้ไปประสบมาในประเทศกึ่งร้อน รูโซกล่าวกับนักวิพากษ์ศิลป์อาร์เซเน อเล็กซองเดรว่าเมื่อได้ไปเยี่ยมชมสวนพฤกษชาติว่าเมื่อเข้าไปในเรือนกระจกตนเองก็จะเห็นต้นไม้ที่แปลกจากดินแดนอันห่างไกล ที่ทำให้มีความรู้สึกว่าเหมือนอยู่ในฝัน

นอกจากภาพเขียนที่แปลกตาแล้ว รูโซก็เขียนภาพของบ้านเมืองและปริมณฑลของปารีสที่มีขนาดเล็กกว่าด้วย รูโซอ้างว่าเป็นผู้ริเริ่มแนวการเขียนภาพประเภทใหม่ที่เรียกว่า “ภาพเหมือนภูมิทัศน์” (portrait landscape) โดยเริ่มการเขียนทิวทัศน์ของบริเวณต่างในกรุงปารีสที่ชอบ และเขียนภาพคนไว้ด้านหน้าของภาพ

ปฏิกิริยาต่อผลงาน[แก้]

ลักษณะการวาดของรูโซที่ดูราบและที่มีลักษณะเหมือนวาดโดยเด็กทำให้ได้รับการวิจารณ์ และมักทำให้ผู้ดูออกจะตกตลึง หรือเย้ยหยัน[5][10] นักวิจารณ์กล่าวว่าแม้ว่าจะมีลักษณะที่ดูง่ายคล้ายการเขียนของเด็ก แต่ก็เป็นลักษณะที่แสดงความมีความสามารถสูง (sophistication) ในการเขียนลักษณะดังกล่าว[3][5]

สิงโตหิวกระโจนงับแอนทิโลป”, ค.ศ. 1905

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1886 รูโซก็แสดงผลงานอย่างสม่ำเสมอที่สมาคมศิลปินอิสระ แม้ว่าในปีแรก ๆ ภาพเขียนจะไม่ได้รับการตั้งแสดงในที่เด่น แต่งานของรูโซก็มีผู้นิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ “เสือตื่นเหยื่อ” แสดงในปี ค.ศ. 1891 เมื่อได้รับการวิพากษ์อย่างจริงจังเป็นครั้งแรกโดยเฟลิกซ์ วาลโลต์ตองผู้กล่าวว่า: “ภาพ “เสือตื่นเหยื่อ” ไม่ควรจะเป็นภาพที่ผู้ดูพลาดจากการชม ภาพนี้เป็นทั้งภาพแรกและภาพสุดท้าย” แต่กระนั้นก็ยังเป็นเวลาอีกกว่าสิบปีก่อนที่รูโซจะหันกลับมาวาดภาพป่าดงดิบอีก[8]

ในปี ค.ศ. 1893 รูโซย้ายห้องเขียนภาพไปยังมงปาร์นัสที่รูโซพำนักและทำงานจนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1910[11] ระหว่าง ค.ศ. 1897 รูโซเขียนงานชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่งชื่อ “ยิบซีหลับ” (La Bohémienne endormie)

ระหว่างปี ค.ศ. 1905 ภาพ “สิงโตหิวกระโจนงับแอนตีโลพ” ได้รับการแสดงที่สมาคมศิลปินอิสระเคียงข้างกับงานของจิตรกรอาวองการ์ดชั้นนำเช่นอ็องรี มาติสซึ่งถือกันว่าเป็นปีแรกที่มีการแสดงภาพเขียนของลัทธิโฟวิสต์ ซึ่งภาพเขียนของรูโซอาจจะมีอิทธิพลต่อการตั้งชื่อลัทธิก็เป็นได้[8]

หมองู” ค.ศ. 1907

ในปี ค.ศ. 1907 รูโซได้รับจ้างโดยเบิร์ทเธอคองเทส เดอ โลเนย์มารดาของจิตรกรโรแบร์ต เดอโลเนย์ให้เขียนภาพ “หมองู” (The Snake Charmer)

เมื่อบังเอิญไปเห็นภาพเขียนโดยรูโซถูกขายอยู่ตามถนนเพื่อจะเอาผ้าใบไปเขียนทับเป็นภาพใหม่ ปาโบล ปีกัสโซก็ทราบถึงคุณค่าของงานของรูโซทันทีและได้ไปทำความรู้จักกับรูโซ ในปี ค.ศ. 1908 ปีกัสโซก็จัดงานเลี้ยงกึ่งเป็นจริงเป็นจังในห้องเขียนภาพใน “Le Bateau-Lavoir” เพื่อเป็นเกียรติแก่รูโซ

หลังจากปลดเกษียณในปี ค.ศ. 1893 รูโซก็หารายได้เพิ่มเงินบำนาญจำนวนเล็กน้อยโดยการเล่นไวโอลินตามถนน และทำงานอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งที่ “Le petit journal” ที่ได้มีโอกาสเขียนภาพหน้าปกหลายภาพ[8]

ความฝัน” ค.ศ. 1910

รูโซเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1910 ในโรงพยาบาลในกรุงปารีส ผู้ไปงานศพก็มีเพื่อนเจ็ดคนที่รวมทั้งจิตรกรพอล ซียัค และ มานูเอล ออร์ทีซ เดอ ซาราต, โรแบร์ต เดอโลเนย์ และภรรยา ซอนยา เดอโลเนย์, ประติมากรคอนสแตนติน บรังคูซิ, เจ้าของบ้าน อาร์มองด์ เควาล และ กีโยม อาโปลีแนร์ ผู้เขียนบทอนุสรณ์สำหรับหินบนหลุมศพว่า:

“We salute you
Gentle Rousseau you can hear us
Delaunay his wife Monsieur Queval and myself
Let our luggage pass duty free through the gates
of heaven
We will bring you brushes paints and canvas
That you may spend your sacred leisure in the
light of truth Painting
as you once did my portrait
Facing the stars
lion and the gypsy”

อนุสรณ์[แก้]

งานจิตรกรรมของรูโซมีอิทธิพลเป็นอันมากต่อศิลปินแวนการ์ดอีกหลายชั่วคนต่อมา ที่เริ่มต้นด้วยปีกัสโซ และฌอง อูโก, แฟร์นองด์ เลแชร์ และ แม็กซ์ เบ็คมันน์ และ ลัทธิเหนือจริง ตามความเห็นของโรเบิร์ตา สมิธนักวิพากษ์ศิลปะของ “เดอะนิวยอร์กไทมส์” “ตัวอย่างเช่นภาพเหมือนตนเองอันน่าทึ่งของเบ็คมันน์ มีรากฐานมาจากลักษณะการเขียนอันเข้มข้นของภาพเหมือนของนักเขียนปิแยร์ โลตีโดยรูโซ”[8]

ลักษณะของภาพของภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง “Kirikou and the Sorceress” โดย Michel Ocelot ที่สร้างในปี ค.ศ. 1998 ก็มีอิทธิพลบางส่วนมาจากงานเขียนของรูโซ โดยเฉพาะฉากที่เป็นป่า[12]

ระเบียงภาพ[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 Henri Rousseau biography เก็บถาวร 2008-10-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at the Guggenhiem
  2. Artillerymen by Rousseau เก็บถาวร 2008-07-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at the Guggenhiem
  3. 3.0 3.1 3.2 "Welcome to HenriRousseau.info - "Le Douanier" : The Life and Works of Henri Rousseau". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-06. สืบค้นเมื่อ 2009-11-24.
  4. Rousseau เก็บถาวร 2009-05-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at the National Gallery of Art
  5. 5.0 5.1 5.2 Henri Rousseau, 1844-1910 By Cornelia Stabenow pages 7 & 8
  6. Henri Rousseau, (1979), Dora Vallier
  7. Masterworks at the Albright-Knox Art Gallery, (1999), first published as 125 Masterpieces from the Collection of the Albright-Knox Art Gallery(1987), Karen Lee Spaulding, general editor, page 72
  8. 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 Smith, Roberta (2006) "Henri Rousseau: In imaginary jungles, a terrible beauty lurks" The New York Times, 14 July 2006. Accessed 14 July 2006
  9. Henri Rousseau, 1844-1910 By Cornelia Stabenow page 16
  10. Henri Rousseau, 1844-1910 By Cornelia Stabenow page 10
  11. Tate Modern | Past Exhibitions | Henri Rousseau | Artistic Circle เก็บถาวร 2008-06-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at www.tate.org.uk
  12. Ocelot, Michel (2008-08-25). "Director's notes". Kirikou.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-01-09. สืบค้นเมื่อ 2008-08-25.
  • Much of the information in this article was taken from Henri Rousseau Jungles in Paris, The Tate Gallery, pamphlet accompanying the 2005 exhibition.

หนังสือเกี่ยวกับรูโซ[แก้]

  • The Banquet Years, by Roger Shattuck (includes an extensive Rousseau essay)
  • Henri Rousseau, 1979, Dora Vallier (general illustrated essay)
  • Henri Rousseau, 1984, The Museum of Modern Art New York (essays by Roger Shattuck, Henri Béhar, Michel Hoog, Carolyn Lanchner, and William Rubin; includes excellent color plates and analysis)

ดูเพิ่ม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ อ็องรี รูโซ