ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ดวงจันทร์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Turkmen (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนการแก้ไขของ 49.230.7.139 (พูดคุย) ไปยังรุ่นก่อนหน้าโดย 110.169.11.83
ป้ายระบุ: ย้อนรวดเดียว SWViewer [1.3]
สาระตามจริง
บรรทัด 97: บรรทัด 97:
}}
}}


ดวงจันทร์ คือ ดาวที่เป็นบริวารของโลกที่มีกระต่ายยักษ์อาศัยอยู่โดยจะตำโมจิตลอดเวลาทำให้คนทั่วไปชอบกินโมจกับเนย
'''ดวงจันทร์'''เป็นดาราศาสตร์วัตถุที่โคจรรอบ[[โลก (ดาวเคราะห์)|โลก]] เป็น[[ดาวบริวาร|ดาวบริวารถาวร]]ดวงเดียวของโลก เป็นดาวบริวารใหญ่ที่สุดอันดับที่ 5 ใน[[ระบบสุริยะ]] และเป็นดาวบริวารขนาดใหญ่สุดเมื่อเทียบกับขนาดของดาวเคราะห์ที่โคจร ดวงจันทร์เป็นดาวบริวารที่มีความหนาแน่นที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจาก[[ไอโอ (ดาวบริวาร)|ไอโอ]]ของ[[ดาวพฤหัสบดี]] ซึ่งบางส่วนไม่ทราบความหนาแน่นมากหรือน้อย

คาดว่าดวงจันทร์ก่อกำเนิดประมาณ 4.51 พันล้านปีก่อน ไม่นานหลังจากโลก คำอธิบายที่ได้รับการยอมรับกว้างขวางที่สุดคือดวงจันทร์ก่อกำเนิดจากเศษที่เหลือจากการชนขนาดยักษ์ระหว่างโลกกับเทห์ขนาดประมาณ[[ดาวอังคาร]]ชื่อ ธีอา (Theia)

ดวงจันทร์หมุนรอบโลกแบบประสานเวลา จะหันด้านเดียวเข้าหาโลกเสมอคือด้านใกล้ที่มีลักษณะเป็นทะเลภูเขาไฟมืด ๆ ซึ่งเติมที่ว่างระหว่างที่สูงเปลือกโบราณสว่างและหลุมอุกกาบาตที่เห็นได้ชัดเจน เมื่อสังเกตจากโลก เป็น[[เทห์ฟ้า]]ที่เห็นได้เป็นประจำสว่างที่สุดอันดับสองในท้องฟ้าของโลกรองจาก[[ดวงอาทิตย์]] พื้นผิวแท้จริงแล้วมืด แม้เทียบกับท้องฟ้าราตรีแล้วจะดูสว่างมาก โดยมีการสะท้อนสูงกว่า[[แอสฟอลต์คอนกรีต|แอสฟอลต์]]เสื่อมเล็กน้อย อิทธิพลความโน้มถ่วงของดวงจันทร์ทำให้เกิดน้ำขึ้นลงมหาสมุทร และทำให้หนึ่งวันยาวขึ้นเล็กน้อย

มีระยะห่างจากโลกเฉลี่ยนับจากศูนย์กลางถึงศูนย์กลางประมาณ 384,403 [[กิโลเมตร]] เทียบเท่ากับ 30 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก [[จุดศูนย์กลางมวล|จุดศูนย์กลางมวลร่วม]]ของระบบตั้งอยู่ที่ตำแหน่ง 1700 กิโลเมตรใต้ผิวโลก หรือประมาณ 1 ใน 4 ของรัศมีของโลก ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในเวลาประมาณ 27.3 วัน<ref name="orbpd" group="nb">ตัวเลขอย่างละเอียดคือ คาบโคจรแท้จริงเฉลี่ยของดวงจันทร์ (sideral orbit) คือ 27.321661 วัน (27 วัน 7 ชั่วโมง 43 นาที 11.5วินาที) และคาบโคจรเฉลี่ยแบบทรอปิคัล (tropical orbit) อยู่ที่ 27.321582 วัน (27 วัน 7 ชั่วโมง 43 นาที 4.7 วินาที) (''Explanatory Supplement to the Astronomical Ephemeris'', 1961, at p.107).</ref> เมื่อเปรียบเทียบการแปรคาบโคจรตามมาตรภูมิศาสตร์ระหว่างโลก-ดวงจันทร์-ดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดเป็นเฟสของดวงจันทร์ ซึ่งจะซ้ำรอบทุกๆ ช่วง 29.5 วัน<ref name="synpd" group="nb">More accurately, the Moon's mean synodic period (between mean solar conjunctions) is 29.530589 days (29d 12h 44m 02.9s) (''Explanatory Supplement to the Astronomical Ephemeris'', 1961, at p.107).</ref> (เรียกว่า คาบไซโนดิก)

เส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์มีค่าประมาณ 3,474 กิโลเมตร<ref name="worldbook">{{cite web |last=Spudis |first=P.D. |year=2004 |url=http://www.nasa.gov/worldbook/moon_worldbook.html |title=Moon |publisher=World Book Online Reference Center, [[NASA]] |accessdate = 2007-04-12}}</ref> หรือประมาณหนึ่งในสี่ของโลก ดังนั้นพื้นผิวของดวงจันทร์มีน้อยกว่า 1 ใน 10 ของพื้นผิวของโลก (ประมาณ 1 ใน 4 ของผืนทวีปของโลกเท่านั้น คิดเป็นขนาดใหญ่ประมาณรัสเซีย แคนาดา กับสหรัฐอเมริกา รวมกัน) มวลรวมของดวงจันทร์คิดเป็นประมาณ 2% ของมวลของโลก และแรงโน้มถ่วงเป็น 17% ของโลก

สัญลักษณ์แทนดวงจันทร์คือ ☾ ปี [[พ.ศ. 2512]] (ค.ศ. 1969) [[นีล อาร์มสตรอง]] และ [[บัซซ์ อัลดริน]] [[นักบินอวกาศ]]ของ[[องค์การนาซา]] เป็นมนุษย์ 2 คนแรกที่เหยียบลงบนพื้นดินของดวงจันทร์ กฎหมายอวกาศถือว่าดวงจันทร์เป็น[[สมบัติร่วมกันของมนุษยชาติ]] ตาม[[สนธิสัญญาจันทรา|สนธิสัญญาที่ใช้บังคับกิจกรรมของรัฐบนดวงจันทร์ ดวงดาว และวัตถุอวกาศอื่นๆ ค.ศ. 1979]]

== ชื่อและศัพทมูลวิทยา ==
ดวงจันทร์เป็น[[ดาวบริวาร]]ของ[[ดาวเคราะห์]] แต่มีความแตกต่างจากดวงจันทร์ดวงอื่นๆ ใน[[ระบบสุริยะ]] เพราะเมื่อเราพูดถึง "ดวงจันทร์" ก็จะหมายถึง ดาวบริวารที่โคจรรอบโลกของเรา

คำว่า ''จันทร์'' นั้นเป็นคำศัพท์มาจาก[[ภาษาสันสกฤต]] (चंद्र จํทฺร อ่านว่า ''จัน-ดฺระ'' หรือคนไทยเราเรียกว่า ''จัน-ทฺระ'') ซึงหมายถึง[[พระจันทร์]] ในภาษาไทยเดิมมักเรียกว่า ''เดือน'' หรือ ''ดวงเดือน'' ([[ภาษาลาว|ลาว]]: ເດືອນ ''เดือน'', [[ภาษาไทใหญ่|ไทใหญ่]]: လိူၼ် ''เหฺลิน'')
สำหรับใน[[ภาษาอังกฤษ]] ดวงจันทร์ หรือ ''Moon'' (ภาษาอังกฤษใช้อักษรตัวใหญ่ขึ้นต้นคำ) เป็นคำ[[ภาษาเจอร์แมนิก]] ตรงกับคำ[[ภาษาลาติน]] คือ ''mensis'' เป็นคำที่แยกออกมาจากรากภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม และเป็นตัวแทนของการนับเวลา ซึ่งรำลึกถึงความสำคัญของมัน คือ วันจันทร์ ในภาษาอังกฤษ การเรียกดวงจันทร์มีมาจนถึงปี ค.ศ. 1665 เมื่อมีการค้นพบดาวบริวารดวงใหม่ของดาวเคราะห์ดวงอื่น บางครั้งดวงจันทร์จึงถูกเลี่ยงไปใช้ชื่อในภาษาลาตินของมันแทน คือ ''luna'' เพื่อที่จะแยกมันออกจากดาวบริวารอื่นๆ

== พื้นผิวของดวงจันทร์ ==
=== การหมุนสมวาร ===
[[ไฟล์:Lunar libration with phase Oct 2007.gif|thumb|right|250px|[[ไลเบรชัน]]ของดวงจันทร์]]
ดวงจันทร์มีการหมุนรอบตัวเองแบบที่เรียกว่า [[การหมุนสมวาร]] (synchronous rotation) คือคาบการหมุนรอบตัวเองกับคาบการโคจรรอบโลกมีค่าเท่ากัน โดยดวงจันทร์ใช้เวลาโคจรรอบประมาณ 27.3 วัน เป็นผลให้ดวงจันทร์หันด้านเดียวเข้าหาโลก เรียกด้านที่หันเข้าหาเราว่า "ด้านใกล้" (near side) ส่วนด้านตรงข้าม คือ "ด้านไกล" (far side) เป็นด้านที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ อย่างไรก็ตาม ดวงจันทร์มี[[การแกว่ง]]เล็กน้อย ทำให้เรามีโอกาสมองเห็นพื้นผิวดวงจันทร์ได้มากกว่า 50% อยู่เล็กน้อย ในอดีต ด้านไกลของดวงจันทร์เป็นด้านที่ลึกลับอยู่เสมอ จนกระทั่งถึงยุคที่เราสามารถส่ง[[ยานอวกาศ]]ออกไปถึงดวงจันทร์ได้ สิ่งหนึ่งที่แตกต่างระหว่างด้านใกล้กับด้านไกล คือ ด้านไกลไม่มีพื้นที่ราบคล้ำที่เรียกว่า "มาเร" (แปลว่าทะเล) กว้างขวางมากเหมือนอย่างด้านใกล้

ดวงจันทร์ใช้เวลาในการหมุนรอบตัวเองที่ได้จังหวะพอดีกับวิถีการโคจรรอบโลก ซึ่งเมื่อเรามองดวงจันทร์จากพื้นโลกจะมองเห็นดวงจันทร์เพียงด้านเดียวตลอดเวลา ในประวัติศาสตร์ยุคแรกของดวงจันทร์ การหมุนของมันช้าและกลายเป็นถูกล็อกอยู่ในลักษณะนี้ เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ความฝืด และมีความสัมพันธ์กับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงบนโลก

เมื่อนานมาแล้ว ขณะที่ดวงจันทร์ยังคงหมุนเร็วกว่าในปัจจุบัน รอบโป่งในปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงมาก่อนแนวโลก-ดวงจันทร์ เพราะว่ามันไม่สามารถดึงรอยโป่งของมันกลับคืนได้อย่างรวดเร็วพอที่จะรักษาระยะของรอยโป่งระหว่างมันกับโลก การหมุนของมันขจัดรอยโป่งนอกเหนือจากแนวโลก-ดวงจันทร์ รอยโป่งที่อยู่นอกเส้นโลก-ดวงจันทร์นี้ทำให้เกิดการบิดเบี้ยวขอหนอน ซึ่งลดความเร็วของการหมุนของดวงจันทร์ลง เมื่อการหมุนของดวงจันทร์ช้าลงจนเหมาะสมกับการโคจรรอบโลก เมื่อนั้นรอยโป่งของมันจึงหันหน้าเข้าหาโลกเสมอ รอยโป่งอยู่ในแนวเดียวกับโลก และรอยบิดของมันก็จึงหายไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมดวงจันทร์จึงใช้เวลาในการหมุนรอบตัวเองพอๆ กับการโคจรรอบโลก

มีความผันผวนเล็กน้อย ([[ไลเบรชัน]]) ในมุมองศาของดวงจันทร์ซึ่งเราได้เห็น เราจึงมองเห็นพื้นผิวของดวงจันทร์ทั้งหมดประมาณ 59% ของพื้นผิวทั้งหมดของดวงจันทร์
{| class="toccolours" align="center"
| [[ไฟล์:Phase-180.jpg|200px]]
|&nbsp;
| [[ไฟล์:Far-Side-Phase-180.jpg|200px]]
|-
| style = "text-align:center;"|[[ดวงจันทร์ด้านใกล้|ดวงจันทร์ด้านใกล้ (ด้านที่มองเห็นจากโลก)]]
|&nbsp;
| style = "text-align:center;"|[[ดวงจันทร์ด้านไกล|ดวงจันทร์ด้านไกล (ด้านที่มองไม่เห็นจากโลก)]]
|}

ด้านที่มองเห็นจากโลกจะถูกเรียกว่า "ด้านใกล้" และด้านที่อยู่ตรงข้ามเรียกว่า "ด้านไกล" ด้านไกลของดวงจันทร์ต่างจากด้านมืดของดาวพุธคือ ด้านมืดของดาวพุธเป็นด้านที่ไม่ถูกแสงอาทิตย์ส่องเลย แต่ด้านไกลของดวงจันทร์นั้นบางครั้งก็เป็นด้านที่ได้รับแสงอาทิตย์และหันหน้าเข้าหาโลก ด้านไกลของดวงจันทร์ได้ถูกถ่ายรูปโดยยานลูน่า 3 ของโซเวียตในปี 1959 หนึ่งในลักษณะภูมิประเทศที่ทำให้สังเกตได้ว่าเป็นดวงจันทร์ด้านไกลคือมันมีที่ราบคล้ำหรือ "มาเร" น้อยกว่าด้านใกล้มาก

=== ทะเลบนดวงจันทร์ ===
พื้นผิวบนดวงจันทร์ที่มองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นสีคล้ำ คือที่ราบบนดวงจันทร์หรือเรียกว่า "ทะเล" บนดวงจันทร์ (ภาษาอังกฤษเรียกว่า "มาเรีย" หรือ "มาเร" มาจากศัพท์ภาษาละติน หมายถึง ทะเล) ทั้งนี้เนื่องจากนักดาราศาสตร์ยุคแรกๆ เชื่อว่าพื้นผิวสีคล้ำเหล่านั้นเป็นพื้นน้ำ แต่ปัจจุบันทราบกันแล้วว่าเป็นแอ่งที่ราบกว้างใหญ่เกิดจาก[[ลาวา]]ในยุคโบราณ ลาวาที่ระเบิดพวยพุ่งเหล่านี้ไหลเข้าไปในหลุมที่เกิดจากการปะทะของ[[อุกกาบาต]]หรือ[[ดาวหาง]]ที่พุ่งเข้าชนดวงจันทร์ (ยกเว้น [[โอเชียนัส โพรเซลลารัม]] ซึ่งบนด้านไกลของดวงจันทร์ เป็นแอ่งที่มิได้เกิดจากการปะทะใดๆ เท่าที่รู้จัก) เราพบทะเลบนดวงจันทร์มากบนด้านใกล้ของดวงจันทร์ ส่วนทางด้านไกลมีอยู่ประปรายเพียงประมาณ 2% ของพื้นที่ผิวทั้งหมดเท่านั้น<ref>{{cite journal | last = Gillis | first = J.J. | coauthors = Spudis, P.D. | title = The Composition and Geologic Setting of Lunar Far Side Maria | journal = Lunar and Planetary Science | year = 1996 | volume = 27 | pages = 413–404 | url = http://adsabs.harvard.edu/abs/1996LPI....27..413G| accessdate = 2007-04-12}}</ref> ขณะที่ทางด้านใกล้มีทะเลถึงประมาณ 31% ของพื้นที่ผิว<ref name="worldbook"/> คำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการที่บรรยากาศด้านใกล้ของดวงจันทร์มีแหล่งกำเนิดความร้อนมากกว่า ซึ่งพบได้จากแผนที่ภูมิเคมีที่สร้างขึ้นจากสเปกโตรมิเตอร์รังสีแกมมาของ [[ลูนาร์โปรสเปกเตอร์]]<ref name="S06">{{cite journal | last = Shearer | first = C. | coauthors = et al. | title = Thermal and magmatic evolution of the Moon | journal = Reviews in Mineralogy and Geochemistry | volume = 60 | pages = 365–518 | year = 2006 | doi = 10.2138/rmg.2006.60.4}}</ref><ref>{{cite web | url = http://www.psrd.hawaii.edu/Aug00/newMoon.html | title = A New Moon for the Twenty-First Century | last = Taylor | first = G.J. | publisher = Planetary Science Research Discoveries, Hawai'i Institute of Geophysics and Planetology | date = 2000-08-31 | accessdate = 2007-04-12}}</ref>

=== ภูเขาบนดวงจันทร์ ===
บริเวณที่มีสีอ่อนกว่าบนพื้นผิวดวงจันทร์นั้นเรียกว่า "ภูเขา" (''terrae'') หรือบางครั้งก็เรียกง่ายๆ เพียงว่า "ที่ราบสูง" เพราะมันเป็นบริเวณที่มีความสูงมากกว่าส่วนที่เป็นทะเล มีแนวเทือกเขาที่โดดเด่นอยู่มากมายบนด้านใกล้ของดวงจันทร์ตามแนวขอบของ[[แอ่งปะทะ]]ขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยหินบะซอลต์ สันนิษฐานว่านี่เป็นซากที่หลงเหลืออยู่ของขอบนอกของแอ่งปะทะ<ref>{{cite web |first = W. | last = Kiefer | date = 2000-10-03 | url = http://www.lpi.usra.edu/expmoon/orbiter/orbiter-basins.html | title = Lunar Orbiter: Impact Basin Geology | publisher = Lunar and Planetary Institute | accessdate = 2007-04-12}}</ref> ไม่มีเทือกเขาใดของดวงจันทร์ที่เชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวดาวเหมือนอย่างการเกิดของภูเขาบนโลกเลย<ref>{{cite web | last = Munsell | first = K. | publisher = NASA | work = Solar System Exploration | title = Majestic Mountains | url = http://sse.jpl.nasa.gov/educ/themes/display.cfm?Item=mountains | date = 2006-12-04 | accessdate = 2007-04-12}}</ref>

จากภาพที่ถ่ายไว้โดยปฏิบัติการคลีเมนไทน์ (Clementine mission) เมื่อปี ค.ศ. 1994 ทำให้พบว่าบริเวณเทือกเขา 4 แห่งตามขอบของ[[แอ่งเพียรี]] (Peary crater) ซึ่งกว้าง 73 กิโลเมตร ใกล้ขั้วเหนือของดวงจันทร์ น่าจะถูกแสงอาทิตย์ตลอดช่วงวันอันยาวนานบนดวงจันทร์ เหตุที่ยอดเขาแห่งแสงนิรันดร์ (Peak of Eternal Light) นี้ถูกแสงอาทิตย์ตลอดเวลาน่าจะเป็นไปได้เพราะดวงจันทร์มีความเอียงของแกนเมื่อเทียบกับระนาบสุริยวิถีน้อยมาก ไม่พบว่ามีบริเวณที่ต้องแสงอย่างนิรันดร์ลักษณะเดียวกันนี้ที่บริเวณขั้วใต้ของดาว แม้ว่าจะมีบริเวณขอบของ[[แอ่งแชคเคิลตัน]] (Shackleton crater) ที่สะท้อนแสงราว 80% ของวันของดวงจันทร์ ผลสืบเนื่องอีกประการหนึ่งจากการที่แกนเอียงของดวงจันทร์มีค่าน้อยมาก คือมีย่านที่อยู่ในเขตมืดนิรันดร์ที่บริเวณก้นแอ่งมากมายใกล้ขั้วดาว<ref name="M03">{{cite web | url = http://www.psrd.hawaii.edu/June03/lunarShadows.html | title = The Moon's Dark, Icy Poles | last = Martel | first = L.M.V. | publisher = Planetary Science Research Discoveries, Hawai'i Institute of Geophysics and Planetology | date = 2003-06-04 | accessdate = 2007-04-12}}</ref>

=== แอ่งบนดวงจันทร์ ===
{{บทความหลัก|รายชื่อแอ่งบนดวงจันทร์}}

พื้นผิวของดวงจันทร์สามารถสังเกตตำแหน่งได้โดยดูจาก[[แอ่งปะทะ]]<ref>{{cite book | title = Impact cratering: A geologic process | last = Melosh | first = H. J. | publisher = Oxford Univ. Press | year = 1989}}</ref> ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่อุกกาบาตและดาวหางพุ่งเข้าชนพื้นผิวของดวงจันทร์ มีแอ่งอยู่เป็นจำนวนราวครึ่งล้านแห่งที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 1 กิโลเมตร เนื่องจากลักษณะของแอ่งปะทะเกิดขึ้นในอัตราเกือบคงที่ จำนวนแอ่งต่อหน่วยพื้นที่จึงสามารถใช้ในการประมาณอายุของพื้นผิวได้ โดยที่ดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศ ไม่มีอากาศและกระบวนการทางธรณีวิทยา จึงมั่นใจได้ว่าแอ่งเหล่านี้ดำรงคงอยู่ในลักษณะดั้งเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับแอ่งบนโลก

แอ่งที่ใหญ่ที่สุดบนดวงจันทร์ และอาจจัดว่าเป็นแอ่งปะทะที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่รู้จักกันใน[[ระบบสุริยะ]] คือ [[แอ่งแอตเคนขั้วใต้]] (South Pole-Aitken basin) <ref>{{Cite web
| url = http://www.spaceref.com/news/viewpr.rss.spacewire.html?pid=25777
| title = Nasa Spacecraft Reveal Largest Crater in Solar System - on Mars
| accessdate = 2008-06-26
}}</ref> แอ่งนี้อยู่ทางฝั่งด้านไกลของดวงจันทร์ ระหว่างขั้วใต้ของดาวกับแนวศูนย์สูตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 2,240 กิโลเมตร ลึก 13 กิโลเมตร.<ref>{{cite web | url = http://www.psrd.hawaii.edu/July98/spa.html | title = The Biggest Hole in the Solar System | last = Taylor | first = G.J. | date = 1998-07-17 | publisher = Planetary Science Research Discoveries, Hawai'i Institute of Geophysics and Planetology | accessdate = 2007-04-12}}</ref> สำหรับแอ่งปะทะที่โดดเด่นทางฝั่งด้านใกล้ของดวงจันทร์ ได้แก่ [[ทะเลอิมเบรียม]] [[ทะเลเซเรนิเททิส]] [[ทะเลคริเซียม]] และ[[ทะเลเนคทาริส]]

=== น้ำบนดวงจันทร์ ===

วันที่ 9 ตุลาคม 2009 ครบ 100 วันการส่ง LCROSS ไปโคจรรอบดวงจันทร์ ทางนาซ่าก็ยิงจรวดที่ติดตั้งอยู่บนดาวเทียมพร้อมกับปล่อยให้ตัว ดาวเทียมตกกระทบพื้นดวงจันทร์ นาซ่าก็แถลงผลวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์บนดาวเทียมว่า ฝุ่นที่กระจายขึ้นมานั้นมีน้ำประมาณ 90 ลิตร

การยืนยันนี้ได้มาจากเซ็นเซอร์ NIR (Near Infrared) โดยอาศัยการวัดค่า spectrum ของแสงก่อนการชน และหลังการชน เพื่อเทียบสัดส่วนของพลังงานในย่านต่างๆ พบว่าย่าน 300nm นั้นมีพลังงานสูงขึ้นมาเป็นการยืนยันว่ามี hydroxyl อยู่ในฝุ่นที่ลอยขึ้นมานั้น

ก่อนหน้านี้ข้อมูลจากกล้องฮับเบิลเคยแสดงข้อมูลเบื้องต้นว่าอาจจะมีไฮดรอกซิลในฝุ่นที่ลอยขึ้นมา แต่ช่วงเวลาที่แถลงข่าวนั้นยังไม่มีการยืนยัน

ขนาดหลุมที่เกิดขึ้นจากการพุ่งชนมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20-30 เมตร (60-100 ฟุต)

สำหรับการสังเกตการพวยฝุ่นที่ทางนาซ่าคาดว่าน่าจะใช้อุปกรณ์สมัครเล่นทำ ได้นั้นกลับไม่สามารถทำได้เนื่องจากสภาพอากาศ แต่ทางนาซ่าก็ได้ถ่ายภาพไว้แล้ว

== ลักษณะทางกายภาพ ==
[[ไฟล์:Moon rock from Apollo 12 mission.jpg|thumb|200px|หินจากดวงจันทร์ น้ำหนัก 253 กรัม ซึ่งได้มาจากบริเวณ มหาสมุทรแห่งพายุ (Oceanus Procellarum)ในภาระกิจอะพอลโล 12]]
ดวงจันทร์เป็นดาวเคราะห์ที่ประกอบด้วยองค์ประกอบอันหลากหลาย ที่มีความแตกต่างทาง[[เคมีภูมิวิทยา]]อย่างชัดเจนระหว่างส่วนของพื้นผิว ส่วนของเปลือก และส่วนของแกน เชื่อว่าลักษณะทางโครงสร้างเช่นนี้เป็นผลมาจากการก่อตัวขึ้นเป็นส่วนๆ จาก[[ทะเลแมกม่า]]ที่เกิดขึ้นหลังจากการกำเนิดดาวเคราะห์ไม่นานนัก คือราว 4.5 พันล้านปีที่แล้ว พลังงานที่ใช้ในการหลอมเหลวผิวชั้นนอกของดวงจันทร์เชื่อว่าเกิดจาก[[ทฤษฎีการปะทะครั้งใหญ่|การปะทะครั้งใหญ่]] ซึ่งให้เกิดระบบการโคจรระหว่างโลกกับดวงจันทร์ขึ้น

=== โครงสร้างภายใน ===

=== สนามแรงโน้มถ่วง ===

=== สนามแม่เหล็ก ===
=== บรรยากาศ ===
=== อุณหภูมิพื้นผิว ===
แตกต่างอย่างชัดเจนเนื่องจากบนดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้มเหมือนบนโลก

== กำเนิดและการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ==
=== การก่อตัว ===
ในยุคแรก ๆ คาดเดากันว่าดวงจันทร์เคยเป็นส่วนหนึ่งของเปลือกโลก แต่เปลือกโลกส่วนนั้นได้กระเด็นออกไปโดยมีสาเหตุจาก[[แรงหนีศูนย์กลาง]] ทิ้งร่องรอยเป็นแอ่งของมหาสมุทรขนาดใหญ่บนโลก อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะโลกจะต้องหมุนรอบตัวเองเร็วมาก บางคนบอกว่าดวงจันทร์อาจก่อตัวขึ้นที่อื่น แต่พลัดหลงมาอยู่ใกล้โลกจึงถูกโลกจับไว้เป็น[[ดาวบริวาร]]

บางคนเสนอว่า โลกและดวงจันทร์อาจเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กันขณะที่[[ระบบสุริยะ]]ก่อตัว แต่ทฤษฎีนี้ไม่สามารถอธิบายได้ว่า[[เหล็ก]]ในดวงจันทร์พร่องไปไหน อีกทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า ดวงจันทร์อาจก่อตัวจากการสะสมหลอมรวมของ[[ดาวเคราะห์น้อย]]ขนาดเล็ก

ทฤษฎีที่ยอมรับกันมากที่สุดในปัจจุบัน คือ [[ทฤษฎีการชนครั้งใหญ่]] กล่าวว่ามีวัตถุขนาด[[ดาวอังคาร]]โคจรมาชน[[โลก]] ในช่วงที่โลกกำลังก่อตัวขึ้นใหม่ ๆ ทำให้เนื้อโลกบางส่วนที่ยังร้อนอยู่กระเด็นออกไป และรวมตัวกันเป็นดวงจันทร์

[[แรงไทดัล]]ทำให้ดวงจันทร์มีรูปร่างเป็น[[ทรงรี]]อยู่เล็กน้อย โดยมี[[แกนหลัก]] (แกนด้านยาว) ของวงรีชี้มายังโลก

=== ทะเลแม็กม่า ===

=== การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ===

=== หินดวงจันทร์ ===

== วงโคจรและความสัมพันธ์กับโลก ==
{{โครงส่วน}}
{{ดิถีจันทร์}}

== การเกิดน้ำขึ้น-น้ำลง ==
{{โครงส่วน}}
เกิดจากแรงดึงดูดตามกฎแรงดึงดูดระหว่างของนิวตันที่กล่าวไว้ว่า "วัตถุทุกชนิดในเอกภพ จะส่งแรงดึงดูดระหว่างกัน โดยขนาดของแรงดึงดูด จะแปรผันตรงกับผลคูณของมวลทั้งสอง และแปรผกผันกับระยะห่างระหว่างมวลยกกำลังสอง" ดังนั้นเมื่อพิจารณาโลกแล้วพบว่าโลกได้รับแรงดึงดูดจากดาวสองดวง คือ ดวงอาทิตย์ที่แม้อยู่ไกลแต่มีขนาดใหญ่ และดวงจันทร์ที่แม้ขนาดเล็กแต่อยู่ใกล้ โดยแต่ละตำแหน่งที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่เปลี่ยนไปทำให้ทิศทางของแรงกระทำเปลี่ยนด้วย ส่งผลให้ของไหล(น้ำและแก๊ส)บนโลก เคลื่อนที่ตามทิศทางของแรงดึงดูดที่มากระทำต่อโลกเกิดเป็นปรากฏการ์ณคือ น้ำขึ้นและน้ำลง ซึ่งนอกจากน้ำบนผิวโลกแล้ว ดวงจันทร์ยังมีผลีต่อน้ำในร่างกายมนุษย์ กล่าวคือ มีผลต่อเลือดและของเหลวในสมอง ซึ่งเป็นคำอธิบายการคลุ้มคลั่งของผู้มีอาการทางจิตในช่วงพระจันทร์เต็มดวง

== จันทรุปราคา ==
{{บทความหลัก|จันทรุปราคา}}
จันทรุปราคา เกิดจากการที่ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ เรียงตัวในแนวเดียวกันตามลำดับ ทำให้เงาของโลก บดบังแสงอาทิตย์ที่จะส่องมายังดวงจันทร์ และทำให้ดวงจันทร์ค่อยๆหายไปทั้งหมด หรือบางส่วน ก่อนจะกลับมาปรากฏใหม่อีกครั้ง ซึ่งจันทรุปราคาที่ดวงจันทร์จะหายไปทั้งหมดเรียกว่า จันทรุปราคาเต็มดวง จันทรุปราคาที่ดวงจันทร์จะหายไปบางส่วนเรียกว่า จันทรุปราคาบางส่วน

== การสังเกตดวงจันทร์ ==
{{โครงส่วน}}

== การสำรวจดวงจันทร์ ==
ประเทศที่ส่ง[[ยานสำรวจอวกาศ]]ลงบนดวงจันทร์ คือ [[รัสเซีย]] (ค.ศ. 1966 โดยอดีตสหภาพโซเวียต), [[สหรัฐ]] (ค.ศ. 1966), [[จีน]] (ค.ศ. 2013)

ประเทศที่ส่ง[[นักบินอวกาศ]]ลงเหยียบบนดวงจันทร์ คือ [[สหรัฐ]] (ค.ศ. 1969)

== ความเชื่อของมนุษย์ต่อดวงจันทร์ ==
ชาวตะวันตกมีเทพนิยายกรีก ที่มี[[อาร์ทิมิส]] (Artemis) และ [[เซลีนี]] เทพีแห่งดวงจันทร์ และชาวโรมันมี [[ไดแอนา (เทพปกรณัม)|ไดแอนา]] เป็นเทพีแห่งดวงจันทร์เช่นกัน ส่วนทางตะวันออกเช่น จีน มีเทพธิดา[[ฉางเอ๋อ]] เป็นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ ในโหราศาสตร์ไทยมี [[พระจันทร์]] เป็นเทวดาประจำวันจันทร์ และชาวญี่ปุ่น มีการมองดวงจันทร์ว่ามี[[กระต่าย]]ตำข้าวอยู่บนดวงจันทร์

== สถานภาพทางกฎหมาย ==
ถึงแม้ว่าธงจำนวนมากของ[[สหภาพโซเวียต]]จะถูกโปรยโดยยานลูน่า 2 ในปี 1959 และภายหลังภารกิจลงจอด และธงชาติสหรัฐอเมริกาก็ถูกปักไว้เป็นสัญลักษณ์บนดวงจันทร์ ไม่มีชาติใดได้ครอบครองความเป็นเจ้าของของส่วนใดส่วนหนึ่งของพื้นผิวดวงจันทร์เลย โซเวียตและสหรัฐต่างก็อยู่ร่วมกันใน[[สนธิสัญญาอวกาศนอก]] ซึ่งให้ดวงจันทร์อยู่ภายใต้วงอำนาจเดียวกันกับเขตน่านน้ำสากล (สาธารณสมบัติ) สนธิสัญญานี้ยังจำกัดให้มีการใช้ดวงจันทร์เพื่อจุดประสงค์แห่งสันติภาพ ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการห้ามการติดตั้งทหารและ[[อาวุธอำนาจทำลายล้างสูง]]อีกด้วย (รวมไปถึง[[อาวุธนิวเคลียร์]])

สนธิสัญญาฉบับที่ 2 [[สนธิสัญญาจันทรา]] มีจุดประสงค์เพื่อที่จะจำกัดการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติบนดวงจันทร์โดยชาติเพียงชาติเดียว แต่ก็ยังไม่มีชาติใดในกลุ่ม [[Space-faring nations]] เซ็นสนธิสัญญานี้เลย เอกชนหลายๆ แห่งได้ทำการครอบครองดวงจันทร์ทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดจะพิจารณาความน่าเชื่อถือก็ตาม

== ดูเพิ่ม ==
{{วิกิพจนานุกรม}}
* [[ปฏิทินจันทรคติไทย]] - การนับวันเดือนปี โดยอาศัยดวงจันทร์เป็นเกณฑ์
* [[ปฏิทินอิสลาม]] - การนับวันเดือนปี โดยอาศัยดวงจันทร์เป็นเกณฑ์

== เชิงอรรถ ==
{{รายการอ้างอิง|group="nb"}}

== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง}}

{{ระบบสุริยะ}}


[[หมวดหมู่:ดวงจันทร์| ]]
[[หมวดหมู่:ดวงจันทร์| ]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:33, 1 กันยายน 2562

ดวงจันทร์   หรือ

ภาพดวงจันทร์ถ่ายจากพื้นโลกเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2545
ลักษณะของวงโคจร
ระยะจุดใกล้โลกที่สุด:363,104 กม.
0.0024 หน่วยดาราศาสตร์
ระยะจุดไกลโลกที่สุด:405,696 กม.
0.0027 หน่วยดาราศาสตร์
กึ่งแกนเอก:384,399 กม.
(0.00257 หน่วยดาราศาสตร์)
เส้นรอบวง
ของวงโคจร:
2,413,402 กม.
(0.16 หน่วยดาราศาสตร์)
ความเยื้องศูนย์กลาง:0.0549
เดือนทางดาราคติ:27.321582 วัน
(27 วัน 7 ชม. 43.1 นาที)
เดือนจันทรคติ:29.530588 วัน
(29 วัน 12 ชม. 44.0 นาที)
เดือนอะโนมาลิสติก:27.554550 วัน
เดือนดราโคนิก:27.212221 วัน
เดือนทรอปิคัล:27.321582 วัน
อัตราเร็วเฉลี่ย
ในวงโคจร
:
1.022 กม./วินาที
อัตราเร็วสูงสุด
ในวงโคจร:
1.082 กม./วินาที
อัตราเร็วต่ำสุด
ในวงโคจร:
0.968 กม./วินาที
ความเอียง:5.145° กับสุริยวิถี (ระหว่าง 18.29°
และ 28.58° กับศูนย์สูตรโลก)
ลองจิจูด
ของจุดโหนดขึ้น
:
ถอยหลัง 1 รอบใน 18.6 ปี
มุมของจุด
ใกล้โลกที่สุด
:
ไปข้างหน้า 1 รอบใน 8.85 ปี
ดาวบริวารของ:โลก
ลักษณะทางกายภาพ
เส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย:3,474.206 กม.
(0.273×โลก)
เส้นผ่านศูนย์กลาง
ตามแนวศูนย์สูตร:
3,476.28 กม.
(0.273×โลก)
เส้นผ่านศูนย์กลาง
ตามแนวขั้ว:
3,471.94 กม.
(0.273×โลก)
ความแป้น:0.00125
เส้นรอบวงตามแนวศูนย์สูตร:10,916 กม.
พื้นที่ผิว:3.793×107 กม.²
(0.074×โลก)
ปริมาตร:2.1958×1010 กม.³
(0.020×โลก)
มวล:7.3477×1022กก.
(0.0123×โลก)
ความหนาแน่นเฉลี่ย:3,346.4 กก./เมตร³
ความโน้มถ่วง
ที่ศูนย์สูตร:
1.622 เมตร/วินาที²
(0.1654 จี)
ความเร็วหลุดพ้น:2.38 กม./วินาที
คาบการหมุน
รอบตัวเอง
:
27.321582 วัน (การหมุนสมวาร)
ความเร็วการหมุน
รอบตัวเอง:
4.627 เมตร/วินาที
ความเอียงของแกน:1.5424° (กับสุริยวิถี)
ความเอียงแกน:6.687° (กับระนาบวงโคจร)
อัตราส่วนสะท้อน:0.12
อุณหภูมิพื้นผิว:
   ศูนย์สูตร
   85°N
ต่ำสุดเฉลี่ยสูงสุด
100 K220 K390 K
70 K130 K230 K
ขนาดเชิงมุม:ตั้งแต่ 29′ถึง 33′
ลักษณะของบรรยากาศ
ความหนาแน่นบรรยากาศ:107 อนุภาคต่อ ซม.³ (กลางวัน)
105 อนุภาคต่อ ซม.³ (กลางคืน)

ดวงจันทร์ คือ ดาวที่เป็นบริวารของโลกที่มีกระต่ายยักษ์อาศัยอยู่โดยจะตำโมจิตลอดเวลาทำให้คนทั่วไปชอบกินโมจกับเนย