ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นักพรต"
ล แทนที่ ‘วรณกรรม’ ด้วย ‘วรรณกรรม’ |
Lmao |
||
บรรทัด 34: | บรรทัด 34: | ||
จะเห็นว่าลัทธิอารามวาสีในคริสต์ศาสนาเริ่มจากคริสตจักรตะวันออกก่อน ฝ่ายคริสตจักรตะวันตกเริ่มพบการสนับสนุนลัทธิอารามวาสีในปลายศตวรรษที่ 4 จากการที่นักบุญ[[อะทาเนเชียสแห่งอะเล็กซานเดรีย]]ได้แปลประวัตินักบุญ[[แอนโทนีอธิการ]]เป็นภาษาละตินซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในคริสตจักรตะวันตก เพื่อแผยแพร่วิถีอารามวาสีให้คริสตชนที่นั่น ที่มุขมณฑลแวร์เชลี (Vercelli) นักบุญ[[เอวเซบีอุส]]ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็น[[มุขนายก]]ก็เป็นบุคคลแรกที่นำวิถีนักพรตมาใช้กับนักบวชในมุขมณฑลของตน<ref>สมชัย พิทยาพงษ์พร, บาทหลวง, หน้า 60</ref> ต่อมานักบุญหลายท่านก็ตั้งกลุ่มนักพรตของตนและวางวินัยเอาไว้เป็นหลักปฏิบัติซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็น[[คณะนักบวชคาทอลิก]]รุ่นแรก เช่น นักบุญ[[ออกัสตินแห่งฮิปโป]]ผู้ก่อตั้ง[[คณะออกัสติเนียน]]ในยุคแรก นักบุญ[[เบเนดิกต์แห่งเนอร์เซีย]]ผู้วางรากฐาน[[คณะเบเนดิกติน]] เป็นต้น |
จะเห็นว่าลัทธิอารามวาสีในคริสต์ศาสนาเริ่มจากคริสตจักรตะวันออกก่อน ฝ่ายคริสตจักรตะวันตกเริ่มพบการสนับสนุนลัทธิอารามวาสีในปลายศตวรรษที่ 4 จากการที่นักบุญ[[อะทาเนเชียสแห่งอะเล็กซานเดรีย]]ได้แปลประวัตินักบุญ[[แอนโทนีอธิการ]]เป็นภาษาละตินซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในคริสตจักรตะวันตก เพื่อแผยแพร่วิถีอารามวาสีให้คริสตชนที่นั่น ที่มุขมณฑลแวร์เชลี (Vercelli) นักบุญ[[เอวเซบีอุส]]ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็น[[มุขนายก]]ก็เป็นบุคคลแรกที่นำวิถีนักพรตมาใช้กับนักบวชในมุขมณฑลของตน<ref>สมชัย พิทยาพงษ์พร, บาทหลวง, หน้า 60</ref> ต่อมานักบุญหลายท่านก็ตั้งกลุ่มนักพรตของตนและวางวินัยเอาไว้เป็นหลักปฏิบัติซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็น[[คณะนักบวชคาทอลิก]]รุ่นแรก เช่น นักบุญ[[ออกัสตินแห่งฮิปโป]]ผู้ก่อตั้ง[[คณะออกัสติเนียน]]ในยุคแรก นักบุญ[[เบเนดิกต์แห่งเนอร์เซีย]]ผู้วางรากฐาน[[คณะเบเนดิกติน]] เป็นต้น |
||
== นักพรตในศาสนาเชน == |
|||
[[ไฟล์:Digambara monk Acarya Pushpadantasagara.jpg|250px|thumb|อาจารย์ปุษปทันตสาคร นักพรตเชนนิกายทิคัมพร]] |
|||
ลัทธิพรตนิยมใน[[ศาสนาเชน]]เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยศาสดา[[พระมหาวีระ]] นักพรตเชนแบ่งเป็น 2 นิกาย คือ |
|||
*'''ทิคัมพร''' เป็นนักพรตเปลือย เพราะไม่ถือครองสมบัติใด ไม่กินอาหาร |
|||
*'''เศวตัมพร''' (อ่านว่า สะ-เหฺว-ตำ-พอน<ref>[http://guru.sanook.com/search/knowledge_search.php?select=1&q=%E0%C8%C7%B5%D1%C1%BE%C3 เศวตัมพร จาก พจนานุกรม ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน]</ref>) เป็นนักพรตนุ่งขาว |
|||
นักพรตเชนจะต้องถือข้อปฏิบัติที่เรียกว่า '''มหาพรต''' 5 ประการ<ref>''พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน'', หน้า 270</ref> คือ |
|||
# '''[[อหิงสา]]''' ไม่ทำลายแม้แต่ชีวิตเล็กน้อย ฉะนั้นจึงต้องมีผ้าปิดปากจมูกเพื่อกันสิ่งมีชีวิตเข้า มีไม้กวาด มีผ้ากรองน้ำไว้ป้องการกันฆ่าสัตว์โดยไม่เจตนา |
|||
# '''สัตยะ''' การพูดแต่ความจริง |
|||
# '''อัสเตยะ''' ไม่ลักขโมย |
|||
# '''[[พรหมจรรย์|พรหมจรรยะ]]''' เว้นจากกามโดยสิ้นเชิง |
|||
# '''อปริครหะ''' ไม่ละโมบ |
|||
== ดูเพิ่ม == |
== ดูเพิ่ม == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 00:11, 4 มิถุนายน 2562
นักพรต (อังกฤษ: monk)[1] คือผู้บำเพ็ญพรต หรือผู้ประพฤติตามข้อกำหนดการปฏิบัติทางศาสนาเพื่อข่มกาย ใจ ของตน[2] นักพรตมีทั้งแบบที่อาศัยอยู่โดดเดี่ยวซึ่งเรียกว่าเฮอร์มิต (hermit) และอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะในอาราม (monastery) ลักษณะการดำรงชีวิตของนักพรตเรียกว่าลัทธิพรตนิยม (monachism)[3] หรือลัทธิอารามวาสี[4] (monasticism)
ในวรรณกรรมไทยมักใช้คำว่า นักพรต ในความหมายเดียวกับฤๅษี มุนี นักสิทธิ์ และดาบส[5]
นักพรตในพุทธศาสนา
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/77/AjahnMun-Disciples.jpg/250px-AjahnMun-Disciples.jpg)
ในศาสนาพุทธมีทั้งนักพรตชาย (monk) และนักพรตหญิง (nun) นักพรตชายเรียกว่าภิกษุและสามเณร นักพรตหญิงเรียกว่าภิกษุณี สิกขมานา และสามเณรี นอกจากนี้ยังมีนักพรตในรูปแบบอื่นๆ เช่น โยคี แม่ชี เป็นต้น
ภิกษุเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อพระโคตมพุทธเจ้าประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาแก่ปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน นับจากนั้นก็ทรงอุปสมบทกุลบุตรอื่นๆ เรื่อยมา ทั้งยังทรงอนุญาตการบวชแบบติสรณคมณูปสัมปทาและจตุตถกัมมอุปสัมปทา ซึ่งเป็นการบวชที่สาวกดำเนินการได้ด้วยตนเองโดยที่ไม่ต้องกราบทูลให้พระองค์ทราบ ติสรณคมณูปสัมปทาปัจจุบันใช้สำหรับการบวชสามเณร ส่วนจตุตถกัมมอุปสัมปทาใช้กับการบวชพระภิกษุ
ภิกษุณีเกิดขึ้นครั้งแรกหลังจากพระพุทธองค์ตรัสรู้ได้ 5 พรรษา โดยการประทานครุธรรมแปดประการแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมีและเจ้าหญิงศากยะ 500 องค์ ณ เมืองเวสาลี การอุปสมบทแบบนี้เรียกว่าครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา ภายหลังทรงบัญญัติอัฏฐวาจิกาอุปสัมปทาขึ้นใช้ในแทน คือให้ผู้ขอบวชได้รับจตุตถกรรม 2 ครั้ง คือจากฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ก่อน แล้วจึงรับจากภิกษุสงฆ์ เมื่อครบแล้วจึงจะเป็นภิกษุณีโดยสมบูรณ์
ตามพระวินัยปิฎกของพระไตรปิฎกภาษาบาลีกำหนดให้ภิกษุรักษาสิกขาบท 227 ข้อ ภิกษุณีรักษาสิกขาบท 311 ข้อ ส่วนสามเณรและสามเณรีต้องรักษาศีล 10 ข้อ รวมทั้งเสขิยวัตรอีก 75 ข้อ รวมเป็นสิกขาบท 85
ปัจจุบันภิกษุณีสงฆ์คงเหลืออยู่แต่ในนิกายมหายานและวัชรยาน เพราะในนิกายเถรวาทสายภิกษุณีสงฆ์ซึ่งมีเฉพาะที่ลังกาได้ขาดช่วงสืบทอดไปตั้งแต่สมัยถูกโปรตุเกสยึดครอง[6] ทำให้ไม่สามารถทำการบวชภิกษุณีให้ถูกต้องตามพระไตรปิฎกได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันในประเทศไทยมีความพยายามรื้อฟื้นภิกษุณีสงฆ์ในเถรวาท แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากมหาเถรสมาคม
นักพรตในคริสต์ศาสนา
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/7/7a/Vietnamese_Cistercians.jpg)
ในคริสตจักรโรมันคาทอลิก นักพรตหมายถึงนักบวช (religious) ไม่ว่าชายหรือหญิงที่อุทิศตนกับการอธิษฐาน การเข้าเงียบ การชดใช้บาป และการทำพลีกรรม[7]
คำว่า monk ในภาษาอังกฤษ มาจากคำภาษากรีก monachos ซึ่งแปลว่า ผู้อยู่โดดเดี่ยว แต่ต่อมาได้ใช้ในความหมายที่กว้างขึ้นคือหมายถึงนักพรตโดยรวม อาจอยู่โดดเดี่ยวในป่าซึ่งเรียกว่าเฮอร์มิต (hermit) หรืออยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มในอาราม (monastic monk)[8]
ในศาสนาคริสต์มีพื้นฐานแนวคิดแบบพรตนิยมมาตั้งแต่สมัยพระเยซู ดังปรากฏพระวจนะที่ตรัสกับชายหนุ่มคนหนึ่งว่า “...จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์” [9] (มธ. 19:21) แต่การดำเนินชีวิตแบบนักพรตเริ่มมีบทบาทอย่างชัดเจนในศตวรรษที่ 4 คือภายหลังสิ้นสุดการเบียดเบียนคริสตชน เพราะจักรพรรดิคอนสแตนตินประกาศกฤษฎีกาแห่งมิลาน (Edict of Milan) ในปี ค.ศ. 313 ให้ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา[10]
ในยุคที่คริสต์ศาสนาถูกเบียดเบียนจากภาครัฐ คริสตชนยุคนั้นได้แสดงออกถึงการติดตามพระเยซูด้วยการยืนยันความศรัทธา ยอมถูกทรมาน หลายคนต้องหนีไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร บางคนถูกประหารชีวิต ทำให้เกิดมรณสักขีในศาสนาคริสต์ขึ้นหลายท่านเป็นแบบอย่างของผู้อุทิศตนในเวลานั้น เมื่อศาสนาคริสต์ได้รับการยอมรับตามกฤษฎีกาแห่งมิลาน การเบียดเบียนคริสตชนก็สิ้นสุดลง ชาวคริสต์จำนวนหนึ่งจึงหันไปแสดงการอุทิศตนโดยใช้ชีวิตแบบสละทางโลก อาศัยอยู่โดดเดี่ยวในถิ่นทุรกันดารและป่าเขา อธิษฐานภาวนา การบำเพ็ญพรตในยุคนั้นจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น “วีรกรรมใหม่” [11]
ในคริสต์ศาสนานักพรตแบ่งได้ออกเป็น 3 ประเภท)[12] คือ
- นักพรตที่อยู่โดดเดี่ยว (eremite) หรือเฮอร์มิต (hermit) เช่น นักบุญแอนโทนีอธิการ
- นักพรตที่อยู่กึ่งโดดเดี่ยว (semi-eremite) คือนักพรตแต่ละรูปอาศัยเดี่ยว แต่ในวันเสาร์และอาทิตย์จะมาประกอบพิธีบูชาขอบพระคุณ (Eucharistic celebration) และฟังเทศน์ด้วยกัน เช่น กลุ่มนักพรตของนักบุญอัมโมน[13]
- นักพรตที่อยู่เป็นคณะ (cenobite) นักพรตทุกรูปต้องปฏิบัติตามวินัยคณะ (rules) และเชื่อฟังอธิการอาราม (abbot) ซึ่งเป็นหัวหน้าอาราม นักพรตแบบนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากนักบุญปาโคมีอุส (Pachomius) นักบุญบาซิลแห่งซีซาเรีย (Basyl of Caesarea)
จะเห็นว่าลัทธิอารามวาสีในคริสต์ศาสนาเริ่มจากคริสตจักรตะวันออกก่อน ฝ่ายคริสตจักรตะวันตกเริ่มพบการสนับสนุนลัทธิอารามวาสีในปลายศตวรรษที่ 4 จากการที่นักบุญอะทาเนเชียสแห่งอะเล็กซานเดรียได้แปลประวัตินักบุญแอนโทนีอธิการเป็นภาษาละตินซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในคริสตจักรตะวันตก เพื่อแผยแพร่วิถีอารามวาสีให้คริสตชนที่นั่น ที่มุขมณฑลแวร์เชลี (Vercelli) นักบุญเอวเซบีอุสซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นมุขนายกก็เป็นบุคคลแรกที่นำวิถีนักพรตมาใช้กับนักบวชในมุขมณฑลของตน[14] ต่อมานักบุญหลายท่านก็ตั้งกลุ่มนักพรตของตนและวางวินัยเอาไว้เป็นหลักปฏิบัติซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นคณะนักบวชคาทอลิกรุ่นแรก เช่น นักบุญออกัสตินแห่งฮิปโปผู้ก่อตั้งคณะออกัสติเนียนในยุคแรก นักบุญเบเนดิกต์แห่งเนอร์เซียผู้วางรากฐานคณะเบเนดิกติน เป็นต้น
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ กีรติ บุญเจือ, แก่นปรัชญายุคกลาง, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550, หน้า 131
- ↑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คพับลิเคชั่นส์, 2546, หน้า 131
- ↑ กีรติ บุญเจือ, หน้า 89
- ↑ เคนเน็ธ สก๊อตท์ ลาทัวเร็ทท์, ประวัติศาสตร์ศาสนาคริสต์, แปลโดย ธนาภรณ์ ธรรมสุจริตกุล และสิธยา คูหาเสน่ห์, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: พระคริสตธรรมกรุงเทพฯ, 2551, หน้า 297
- ↑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมไทย, กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2552, หน้า 235-6
- ↑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2552, หน้า 98
- ↑ คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนธรรม แผนกคริสตศาสนธรรม, คู่มือแนะแนวการสอนคำสอนในประเทศไทย, พิมพ์ครั้งที่ 3, 2553, หน้า 109
- ↑ monk. CATHOLIC ENCYCLOPEDIA เรียกข้อมูลวันที่ 27 ม.ก. พ.ศ. 2554
- ↑ พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ ฉบับ ๑๙๗๑ (ฉบับเรียงพิมพ์ใหม่ ๑๙๙๘), กรุงเทพฯ: สมาคมพระคริสตธรรมไทย, 2543, หน้า 98
- ↑ กีรติ บุญเจือ, หน้า 72
- ↑ สมชัย พิทยาพงษ์พร, บาทหลวง, พัฒนาการวิถีชีวิตจิตคริสตชน, นครปฐม: ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนางานวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม, 2551, หน้า 39
- ↑ เคนเน็ธ สก๊อตท์ ลาทัวเร็ทท์, หน้า 300
- ↑ สมชัย พิทยาพงษ์พรม บาทหลวง, หน้า 42
- ↑ สมชัย พิทยาพงษ์พร, บาทหลวง, หน้า 60