ข้ามไปเนื้อหา

พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระเทพวิทยาคม

(คูณ ปริสุทฺโธ)
ชื่ออื่นหลวงพ่อคูณ , พระอาจารย์คูณ
ส่วนบุคคล
เกิด4 ตุลาคม พ.ศ. 2466
อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา
มรณภาพ16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 (91 ปี)
โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
นิกายมหานิกาย
ตำแหน่งชั้นสูง
ที่อยู่วัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา
อุปสมบท5 พฤษภาคม พ.ศ. 2487
พรรษา71
ตำแหน่งอดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11
อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่

พระเทพวิทยาคม (เกิด คูณ ฉัตร์พลกรัง; 4 ตุลาคม พ.ศ. 2466 – 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558) หรือที่รู้จักในนาม หลวงพ่อคูณ เป็นพระเกจิอาจารย์ อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 และอดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา

ประวัติ

[แก้]

หลวงพ่อคูณ เกิดในชื่อและนามสกุลทางโลกคือ คูณ ฉัตร์พลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2466[1] ตรงกับแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน ที่บ้านไร่ หมู่ที่ 6 ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรชายคนโตของบุญ (บิดา) และทองขาว (มารดา) ซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาสามคนคือ พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ), คำมั่น วงษ์กาญจนรัตน์ และ ทองหล่อ เพ็ญจันทร์

โยมบิดามารดาของหลวงพ่อคูณ เสียชีวิตลงขณะที่ลูกทั้งสามยังเด็ก เด็กชายคูณกับน้องสาวทั้งสอง จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่เด็กชายคูณมีอายุราว 6-7 ขวบ เข้าเรียนหนังสือกับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ, พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม นอกจากนี้พระอาจารย์ทั้งสาม ยังอบรมสั่งสอนคาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้ด้วย เด็กชายคูณจึงมีความรู้ในวิชาไสยศาสตร์มาแต่บัดนั้น[1]

อุปสมบท

[แก้]

คูณ ฉัตร์พลกรัง อุปสมบท ณ วัดถนนหักใหญ่ ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2487[1] ปีวอก อุปัชฌาย์ให้ฉายานามว่า ปริสุทฺโธ หลังจากนั้น หลวงพ่อคูณฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ตำบลสำนักตะคร้อ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระอย่างเคร่งครัด ทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คน และลูกศิษย์เป็นอย่างมาก

หลวงพ่อคูณอยู่ปรนนิบัติรับใช้ หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้เป็นเพื่อนกัน ต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ เวลาล่วงเลยมานานพอสมควร กระทั่งหลวงพ่อคงเห็นว่า ลูกศิษย์ของตนมีความรอบรู้ ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริก ไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป ระยะแรกหลวงพ่อคูณธุดงค์จาริก อยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจึงจาริกไกลออกไป กระทั่งถึงประเทศลาว และประเทศกัมพูชา มุ่งเข้าสู่ป่าลึก เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา และอุปาทานทั้งปวง

หลังจากที่พิจารณา เห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อคูณจึงออกเดินทางกลับสู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตแดนทางจังหวัดสุรินทร์ สู่จังหวัดนครราชสีมา กลับสู่ถิ่นเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดำริให้ก่อสร้างวัด ให้เป็นถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างอุโบสถพัทธสีมาเมื่อ พ.ศ. 2496 นอกจากนั้น หลวงพ่อคูณยังดำริให้สร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่ออุปโภคและบริโภค ทั้งจัดสร้างโรงเรียนวัดบ้านไร่ เพื่อการศึกษาของเยาวชนละแวกนี้อีกด้วย

งานพัฒนาการศึกษา

[แก้]

พระเทพวิทยามีบทบาทในการก่อตั้งสถานศึกษาสองแห่ง ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ และ โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ

วิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ

[แก้]

เมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2536 พระเทพวิทยาคม ได้ดำริที่จะสร้างสถานศึกษาให้เป็นสถานศึกษาที่สามารถผลิตบุคลากรให้มีวิชาชีพเพื่อใช้ประกอบวิชาชีพได้ โดยไม่ต้องให้เยาวชนเดินทางไปศึกษาที่อื่น ต่อมา นายสำเร็จ วงศ์ศักดา อาจารย์วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานศึกษาที่จะจัดสร้างว่า ควรเป็นสถานศึกษาที่จัดการสอนด้านสายอาชีพหรืออาชีวศึกษา จึงจะเหมาะกับท้องถิ่นดังนั้นจึงได้เกิดโครงการจัดตั้ง “วิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ” ขึ้น ซึ่งนายศุภร บุญเนาว์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา เป็นประธานโครงการนี้ และได้มอบหมายให้นายสำเร็จ วงศ์ศักดา และคณะเป็นผู้ประสานงานดำเนินการ จนกระทั่งวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 กระทรวงศึกษาธิการได้จัดตั้ง วิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ สังกัดกองวิทยาลัยเทคนิค กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ขึ้น โดย พระเทพวิทยาคม สนับสนุนการก่อสร้างอาคารเรียน อาคารปฏิบัติการ อาคารหอสมุด อาคารพัสดุกลาง อาคารอำนวยการ บ้านพักครูและนักการภารโรงตลอดจนสาธารณูปโภคอื่น ๆ ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นตามโครงการในปีการศึกษา 2540 ใช้งบประมาณ ไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 พระเทพวิทยาคม มอบเงินให้นายสำเร็จ วงศ์ศักดา ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เพื่อพัฒนาวิทยาลัยฯ และตั้งมูลนิธิจำนวน 50 ล้านบาทการนี้จึงได้สร้างอาคารหอสมุดอนุรักษ์พลังงานใช้งบประมาณในการก่อสร้างราคาตามแบบ 32 ล้านบาท ทีมงาน ศ.ดร.สุนทร บุญญาธิการ ออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงาน คุณพจน์ ธนโชติ บริษัทคูซ่า ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้ให้ความอนุเคราะห์ก่อสร้าง รวมเฟอร์นิเจอร์ภายในราคา 24 ล้านบาท ต่อมาปี พ.ศ. 2556 วิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา วิทยาลัยเทคนิคสุรนารี วิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมา วิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ วิทยาลัยเทคนิคคูเมือง วิทยาลัยเทคนิคชัยภูมิ วิทยาลัยเทคนิคสุรินทร์ และวิทยาลัยาชีวศึกษาสุรินทร์ ควบรวมตั้งขึ้นเป็น สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๕ โดยมีวิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เป็นศูนย์กลางของสถาบัน

โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ

[แก้]

โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนคือหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เนื่องในโอกาสที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ได้รับแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระญาณวิทยาคมเถร ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2536 โดยเป็นโรงเรียนหน่วยสาขาของ โรงเรียนมัธยมด่านขุนทด เปิดทำการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีนายนภดล จิตตวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมด่านขุนทด ได้มอบหมายให้ นายสมชาย ทองคำ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายปกครองมาเป็นผู้ดูแลและส่งครูมาช่วยจัดการเรียนการสอน พระเดชพระคุณหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ได้จัดสรรงบประมาณสร้างอาคารเรียน 216 ล จำนวน 1 หลัง บ้านพักครู ห้องน้ำ ระบบไฟฟ้า ระบบน้ำประปาภายในโรงเรียนเป็นเงินจำนวน 11 ล้านบาทเศษ และได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ ในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2536 โดยท่านอดีตอธิบดีกรมสามัญศึกษา นายบรรจง พงษ์ศาสตร์ และคุณหญิง สมจินตนา ภักศรีวงศ์ อดีตรองอธิบดีกรมสามัญศึกษาในขณะนั้นเป็นประธานในพิธีและได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2537 โดย ฯพณฯ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นประธานมีผู้ร่วมพิธี นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายจำลอง ครุฑขุนทด นายทองขาว โคตรโยธา และนายวีระ บุญญานุวาส เป็นผู้รับมอบอาคารเรียน ต่อมากระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจัดตั้งเป็น “โรงเรียนพระญาณวิทยาคมเถร”

ในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 และโรงเรียนได้เปิดทำการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนและมัธยมศึกษาตอนปลายในปีการศึกษา 2541 ภายหลังบรรดาสานุศิษย์ ข้าราชการ ประชาชนชาวบ้านตำบลห้วยบง และคณะครู อาจารย์ นักเรียน มีความเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น “โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ” เพื่อเป็นสิริมงคลสมเจตนารมณ์ของหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ปัญจะ เกสรทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ลงนามเปลี่ยนชื่อโรงเรียน ในวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2541 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 289 วรรค 2 พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และพระราช บัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิ์ในการจัดการศึกษาระดับใดระดับหนึ่งหรือทุกระดับตามความพร้อม ดังนั้น ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 5 จึงได้อนุมัติถ่ายโอนภารกิจการจัดการศึกษา โรงเรียนมัธยมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย

สมณศักดิ์, พัดยศ

[แก้]

มรณภาพ

[แก้]

เมื่อเวลาประมาณ 05:45 น. ของวันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 พนักงานพยาบาลที่ดูแลหลวงพ่อคูณอยู่ที่วัดบ้านไร่ พบว่าหลวงพ่อมีอาการหมดสติไม่รู้สึกตัว จึงรีบแจ้งให้แพทย์จากโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และโรงพยาบาลด่านขุนทดมาวินิจฉัยโดยด่วน ซึ่งคณะแพทย์ตรวจประเมินว่า หลวงพ่อคูณหยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้น จึงปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นสูง อยู่เป็นเวลา 1 ชั่วโมง กระทั่งอาการทรงตัว จึงใส่เครื่องช่วยหายใจ พร้อมทั้งเครื่องกระตุ้นหัวใจ จากนั้นเมื่อเวลา 08:30 น. จึงรีบส่งเข้ารักษาต่อ ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาโดยด่วน พบว่ามีลมรั่วเข้าภายในปอดฝั่งซ้าย และมีเสมหะอุดตันทางเดินหายใจ จึงให้หลวงพ่อพักรักษาตัว ภายในหอผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรม (ไอซียู) โดยจัดคณะแพทย์และพยาบาล เฝ้าระวังดูแลอาการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสัญญาณชีพของหลวงพ่อยังไม่คงที่[5]

หุ่นขี้ผึ้งหลวงพ่อคูณ จัดแสดงที่ ณ สัทธา อุทยานไทย จังหวัดราชบุรี

จากนั้นคณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช เข้าร่วมทำการวินิจฉัยและรักษา กับคณะแพทย์โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาด้วย ต่อมาเวลา 20:00 น. คณะแพทย์รายงานผลการตรวจรักษาหลวงพ่อว่า สัญญาณชีพยังไม่คงที่ ต้องใช้ยากระตุ้นหัวใจ และเครื่องช่วยหายใจ ขณะเดียวกัน มีเลือดออกในทางเดินอาหารจำนวนมาก ร่วมกับมีภาวะไตหยุดทำงาน เป็นผลให้ไม่มีปัสสาวะออกจากร่างกาย ทั้งนี้ภาวะผิดปกติที่แทรกซ้อนขึ้นทั้งหมด เกิดจากปอดและหัวใจ หยุดทำงานเป็นเวลานาน[6] และรุ่งขึ้น (วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม) เมื่อเวลา 10:00 น. คณะแพทย์ผู้รักษารายงานว่า มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น เนื่องจากการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เป็นผลให้มีเลือดออกในช่องทรวงอก จึงทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น คณะแพทย์จึงทำการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นสูง สำหรับภาวะไตหยุดทำงาน คณะแพทย์ใช้เครื่องไตเทียมทำการฟอกเลือด[7]

จนกระทั่งเวลา 11:45 นาฬิกา คณะแพทย์ออกประกาศแจ้งว่า พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ) มีอาการโดยรวมทรุดลง จนกระทั่งถึงแก่มรณภาพลงขณะทำการรักษา ภายในห้องอายุรกรรมผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา สิริอายุ 91 ปี พรรษา 71[8] ซึ่งในการแถลงข่าวโดยคณะแพทย์ผู้รักษา เมื่อเวลา 12:15 น. น.พ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์อายุรกรรมหัวใจชำนาญการ ผู้รักษาประจำของหลวงพ่อคูณ ในสถานะหัวหน้าคณะแพทย์กล่าวว่า สาเหตุแห่งการมรณภาพ เนื่องจากการหายใจหยุดลง เพราะมีลมรั่วเข้าไปภายในปอด หรือที่เรียกว่าปอดแตก เป็นเหตุให้หัวใจหยุดเต้น เนื่องจากคณะแพทย์ต้องช่วยปั๊มหัวใจ เป็นเวลานานถึง 1 ชั่วโมง ทั้งที่หากสมองขาดออกซิเจนเพียง 4 นาที ก็เข้าสู่ภาวะวิกฤตแล้ว หลังจากนำหลวงพ่อมายังโรงพยาบาล ก็พยายามช่วยกันเต็มที่ เมื่อเวลาประมาณ 05:40 น. ยังต้องปั๊มหัวใจเพิ่มถึงสองรอบ แต่ด้วยความที่หลวงพ่อ อยู่ในภาวะที่ไม่รับรู้ใด ๆ นับแต่หมดสติที่วัดบ้านไร่แล้ว เมื่อการหายใจหยุดลง และหัวใจหยุดเต้นเป็นเวลานาน ก็ส่งผลให้อวัยวะอื่นๆ วิกฤตลงตามไปด้วย คือเข้าสู่ภาวะสมองตายตั้งแต่แรก ต่อมาแพทย์พยายามยื้อหัวใจ และต่อมาปอด จนมาถึงไต แต่แล้วสุดท้าย อวัยวะสำคัญก็ล้มเหลวลงทั้งหมด หลวงพ่อจึงถึงแก่มรณภาพดังกล่าว[9]

จากนั้นมีการเปิดเผยพินัยกรรม ซึ่งหลวงพ่อคูณทำไว้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2543 มีใจความสำคัญระบุให้มอบสังขาร แก่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ภายในเวลา 24 ชั่วโมงนับแต่มรณภาพ แล้วให้ทางมหาวิทยาลัยมอบให้แก่ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อให้นำไปศึกษาค้นคว้า ตามวัตถุประสงค์ของภาควิชา สำหรับพิธีกรรมทางศาสนา และการสวดพระอภิธรรม ขอให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประกอบพิธีขึ้นที่คณะเป็นเวลา 7 วัน ส่วนการประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล เมื่อสิ้นสุดการศึกษาค้นคว้า ของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยขอนแก่นแล้ว ให้จัดอย่างเรียบง่าย ละเว้นการพิธีสมโภชใดๆ ทั้งห้ามขอพระราชทานเพลิงศพ โกศ และพระราชพิธี อื่นๆ เป็นกรณีพิเศษหรือเป็นการเฉพาะ โดยให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประกอบพิธีเช่นเดียวกับที่จัดให้แก่ อาจารย์ใหญ่ของนักศึกษาแพทย์ประจำปี ร่วมกับอาจารย์ใหญ่ท่านอื่น แล้วเผาที่ฌาปนสถานวัดหนองแวง (พระอารามหลวง) อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น (หรือวัดแห่งอื่น) และเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำอัฐิ เถ้าถ่าน และเศษอังคารทั้งหมด ไปลอยที่แม่น้ำโขง จังหวัดหนองคาย ตามที่เห็นสมควรและเหมาะสม โดยมีสักขีพยานประกอบด้วย รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (ขณะนั้น), ญาติ, ไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ (ขณะนั้น) และนิติกรชำนาญการ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ลงนามเป็นหลักฐาน[10]

ทั้งนี้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ร่วมกันประชุมและลงมติให้ดำเนินการ ตามพินัยกรรมฉบับดังกล่าวทุกประการ โดยไม่มีการนำไปบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านไร่เสียก่อน ดังที่มีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งร้องขอแต่อย่างใด ซึ่งมีการเคลื่อนสังขารของหลวงพ่อคูณ ออกจากโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เมื่อเวลา 20:00 น.[11] โดยไปถึงศาลา 25 ปีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อเวลาประมาณ 22:00 น. เพื่อบรรจุสังขารลงในโลงแก้ว จากนั้นรุ่งขึ้น (วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม) เวลาประมาณ 14:00 น. คณะลูกศิษย์พากันจัดริ้วกระบวน เพื่อเคลื่อนสังขารหลวงพ่อคูณ ไปยังศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก ภายในมหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้นเอง เพื่อตั้งสังขารบำเพ็ญกุศลและสวดพระอภิธรรม เป็นเวลา 7 วัน ตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม ซึ่งมหาวิทยาลัยขอนแก่น กำหนดจัดขึ้นตั้งแต่ วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม ถึงวันอังคารที่ 25 สิงหาคม ระหว่างเวลา 06:00-23:00 น. สำหรับสาเหตุที่ต้องเคลื่อนสังขารอีกครั้ง เนื่องจากศูนย์ประชุมดังกล่าว เป็นสถานที่กว้างขวางสะดวกสบาย สามารถรองรับพุทธศาสนิกชน ซึ่งเดินทางมาสักการะสังขารอย่างทั่วถึง[12]

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ พระราชทานน้ำหลวงสรงศพ พวงมาลา 12 พวง โดยมอบหมายให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ดำเนินการ พร้อมทั้งพระราชทานโกศโถบรรจุศพ พร้อมฉัตรเบญจาเป็นกรณีพิเศษ[13]

ในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2562 พิธีพระราชทานเพลิงพระศพหลวงพ่อคูณจัดขึ้น ณ เมรุชั่วคราว วัดหนองแวง พุทธมณฑลอีสาน จังหวัดขอนแก่น

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 "ประวัติหลวงพ่อคูณ". วัดบ้านไร่. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2558. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  2. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์, เล่ม 109, ตอนที่ 101 ฉบับพิเศษ, 12 สิงหาคม 2535, หน้า 12
  3. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์, เล่ม 113, ตอนที่ 10 ข, 7 มิถุนายน 2539, หน้า 11
  4. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ปัจบันหลวงพ่อคูณได้อยู่ที่จังหวัดขอนแก่นและจะเชิญสู้สวรรค์ในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2562 เก็บถาวร 2015-09-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม 121, ตอนที่ 17 ข, 15 กันยายน 2547, หน้า 4
  5. แพทย์แจง"พ่อคูณ"ทรุด ลมรั่วปอด-เสมหะอุดตัน, เดลินิวส์ออนไลน์, 15 พฤษภาคม 2558.
  6. แพทย์แถลงอาการพ่อคูณ ผลกระทบหัวใจหยุดเต้น, เดลินิวส์ออนไลน์, 15 พฤษภาคม 2558.
  7. ประกาศฉบับ3 'พ่อคูณ' ทรุด หายใจล้มเหลวหัวใจหยุดเต้น, เดลินิวส์ออนไลน์, 16 พฤษภาคม 2558.
  8. ลูกศิษย์ทั่วประเทศช็อก "พ่อคูณ" ละสังขารแล้ว, เดลินิวส์ออนไลน์, 16 พฤษภาคม 2558.
  9. สิ้นพ่อคูณ ชาวไทยร่ำไห้! เทพเจ้าแห่งด่านขุนทด มรณภาพ 11.45 นาฬิกา, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, 17 พฤษภาคม 2558.
  10. เปิดพินัยกรรมหลวงพ่อคูณ ฌาปนกิจง่ายๆ-อัฐิลอย'โขง, เดลินิวส์ออนไลน์, 16 พฤษภาคม 2558.
  11. เร่งจัดเตรียมงานพิธีรับร่าง 'พ่อคูณ' เป็นอาจารย์ใหญ่, เดลินิวส์ออนไลน์, 16 พฤษภาคม 2558.
  12. พลังศรัทธาแห่สักการะ ย้ายสรีระพ่อคูณ จากศาลา 25 ปี ไปอยู่หอประชุม มข., หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, 18 พฤษภาคม 2558.
  13. ""ในหลวง" พระราชทานพวงมาลา โกศ และน้ำหลวงอาบศพ "หลวงพ่อคูณ" คลื่นศรัทธาแน่นศาลา 25 ปี มข. ตั้งแต่เช้า". ผู้จัดการออนไลน์. 17 พฤษภาคม 2558. สืบค้นเมื่อ 22 กรกฎาคม 2558. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)[ลิงก์เสีย]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]