ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทฤษฎีความผูกพัน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: ถูกย้อนกลับแล้ว แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: ถูกย้อนกลับแล้ว แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
== รูปแบบความผูกพัน ==
"ความชัดเจนทางพฤติกรรมความผูกพันของเด็กในสถานการณ์หนึ่ง ๆ ไม่ได้บ่งถึงกำลังของความผูกพันที่มีจริง ๆ
เด็กที่ไม่มั่นใจบางคนจะแสดงพฤติกรรมความผูกพันที่ชัดเจนเป็นปกติ ๆ แต่เด็กที่มั่นใจอาจจะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องแสดงพฤติกรรมความผูกพันอย่างชัดเจนหรือบ่อย ๆ"<ref>{{cite book |author = Howe, D |year = 2011 |title = Attachment across the lifecourse |location = London |pages = 13 |quote = The strength of a child's attachment behaviour in a given circumstance does not indicate the 'strength' of the attachment bond. Some insecure children will routinely display very pronounced attachment behaviours, while many secure children find that there is no great need to engage in either intense or frequent shows of attachment behaviour.}}</ref>
[[ไฟล์:ทฤษฎีความผูกพัน - แบบมั่นใจ.png|300px|thumb|right|ผังแสดงการดำเนินงานของความผูกพันแบบมั่นใจ]]
=== ความผูกพันแบบมั่นใจ ===
<!-- ยังไม่มี เผื่ออนาคต {{บทความหลัก|Secure attachment}}-->
เด็กหัดเดินที่ผูกพันกับพ่อแม่ (หรือคนเลี้ยงดูอื่น ๆ) อย่างมั่นใจจะทำการสำรวจอย่างเป็นอิสระเมื่อผู้ดูแลอยู่ใกล้ ๆ มีพฤติกรรมปกติกับคนแปลกหน้า บ่อยครั้งอารมณ์เสียเมื่อคนดูแลจากไป และโดยทั่วไปดีใจเมื่อเห็นคนดูแลกลับมา
แต่ขอบเขตการสำรวจและความทุกข์ที่ปรากฏขึ้นอยู่กับนิสัย (temperament) กับปัจจัยทางสถานการณ์ และกับสถานะของความผูกพัน
ความผูกพันของเด็กโดยมากขึ้นอยู่กับความไวความต้องการ/ความรู้สึกของเด็ก ของคนดูแลหลัก
พ่อแม่ที่ตอบสนองอย่างสม่ำเสมอ หรือเกือบสม่ำเสมอ ต่อความต้องการของเด็กจะทำให้เด็กเกิดความผูกพันแบบมั่นใจ
คือเด็กเช่นนี้แน่ใจว่าพ่อแม่จะตอบสนองต่อความต้องการและต่อการสื่อสารของตน<ref>{{cite book |author = Schacter, D.L.|display-authors=et al|year = 2009 |title = Psychology |edition = 2nd |location = New York |publisher = Worth Publishers |pages = 441 }}</ref>

ในวิธีการลงรหัสของ ดร. เอนสเวอร์ธและคณะ (1978) ทารกแบบมั่นใจจะลงรหัสว่า กลุ่ม B โดยแบ่งเป็นกลุ่มย่อย ๆ ได้ คือ B1, B2, B3, และ B4<ref name="Ainsworth, M.D.S, Blehar, M. C., Waters, E., & Wall, S."/>
แม้ว่ากลุ่มเหล่านี้สะท้อนถึงการตอบสนองโดยเฉพาะ ๆ ของการมาและการไปของคนดูแล แต่ ดร. เอนสเวอร์ธและคณะก็ไม่ได้ตั้งชื่อให้กลุ่มย่อย และพฤติกรรมที่ปรากฏก็ได้ทำให้นักวิจัยอื่น ๆ (รวมทั้งนักศึกษาของ ดร. เอนสเวอร์ธเอง) ได้ใช้ศัพท์อภิธานกว้าง ๆ สำหรับกลุ่มย่อย ๆ เหล่านี้
เช่น B1 เรียกว่า "มั่นใจ-สงวนท่าที" (secure-reserved), B2 "มั่นใจ-ไม่แสดงออก" (secure-inhibited), B3 "มั่นใจ-สมดุล" (secure-balanced) และ B4 "มั่นใจ-มีปฏิกิริยา" (secure-reactive)
แต่ว่าในวรรณกรรมวิชาการ การจัดกลุ่มทารก (ถ้ามีการแบ่งกลุ่มย่อย) จะเรียกโดยรหัส เช่น "B1" เป็นต้น แม้ว่าเอกสารทางทฤษฎีหรือที่เป็น[[การทบทวนวรรณกรรม|งานทบทวนวรรณกรรม]]ในเรื่องนี้อาจใช้ศัพท์ต่าง ๆ ดังที่ว่า

เด็กที่ผูกพันอย่างมั่นใจสามารถสำรวจสิ่งแวดล้อมได้ดีที่สุด เมื่อรู้สึกว่ามีเสาหลัก (คือคนดูแล) เพื่อกลับไปหาเมื่อต้องการ
เมื่อได้รับการช่วยเหลือ นี่จะช่วยให้รู้สึกปลอดภัย และถ้าสมมุติว่าช่วยได้จริง ๆ ก็จะเป็นการสอนเด็กให้รับมือกับปัญหาอย่างเดียวกันในอนาคตด้วย
ดังนั้น ความผูกพันแบบมั่นใจจึงมองว่าเป็นสไตล์ความผูกพันที่เป็น[[การปรับตัว]]ดีที่สุด
ตามนักวิจัยทางจิตวิทยาบางคน เด็กจะมีความผูกพันอย่างมั่นใจถ้าพ่อแม่อยู่ด้วยและสามารถสนองความต้องการของเด็กอย่างสมควรและเมื่อจำเป็น
ดังนั้น ในวัยทารกและวัยเด็กเบื้องต้น ถ้าพ่อแม่เอื้ออาทรและใส่ใจลูกของตน เด็กมักจะมีความผูกพันแบบมั่นใจ<ref name="Aronoff, J. 2012">{{cite journal |author = Aronoff, J |year = 2012 |title = Parental Nurturance in the Standard Cross-Cultural Sample: Theory, Coding, and Scores |journal = Cross-Cultural Research |volume = 46 |issue = 4 |pages = 315-347}} </ref>

=== ความผูกพันแบบวิตกกังวล-คละ ===
ความผูกพันแบบวิตกกังวล-คละ (Anxious-ambivalent attachment) บางครั้งเรียกอย่างผิด ๆ ว่า ความผูกพันแบบขัดขืน (resistant attachment)<ref name="Ainsworth,1978a">{{cite book |author = Ainsworth, MD; Blehar, M; Waters, E; Wall, S |year = 1978 |title = Patterns of Attachment: A Psychological Study of the Strange Situation |publisher = Lawrence Erlbaum Associates |location = Hillsdale NJ |isbn = 0-89859-461-8}}</ref>
โดยทั่วไปแล้ว เด็กที่มีรูปแบบความผูกพันแบบนี้จะทำการสำรวจน้อยเมื่อใช้เกณฑ์วิธีสถานการณ์แปลก และบ่อยครั้งจะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า แม้กระทั่งเมื่อพ่อแม่ยังอยู่ด้วย
เมื่อแม่จากไป เด็กบ่อยครั้งจะเป็นทุกข์มาก
แต่จะรู้สึกทั้งดีและไม่ดี (คละ) เมื่อแม่กลับมา<ref name="Ainsworth, M.D.S, Blehar, M. C., Waters, E., & Wall, S."/>
กลยุทธ์นี้ใช้ตอบสนองกับการดูแลที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ และการแสดงความโกรธ (ที่เรียกว่าแบบคละ-ขัดขืน {{bracket |ambivalent resistant}}) หรือความทำอะไรไม่ได้ (แบบคละ-เฉย {{bracket |ambivalent passive}}) ต่อคนดูแลเมื่อกลับมา สามารถมองได้ว่าเป็นกลยุทธ์แบบมีเงื่อนไขเพื่อรักษาการมีคนดูแลอยู่ใกล้ ๆ ไว้โดยเข้าควบคุมการปฏิสัมพันธ์กับคนดูแล<ref>
{{cite journal |author = Solomon, J; George, C; De Jong, A |year = 1995 |title = Children classified as controlling at age six: Evidence of disorganized representational strategies and aggression at home and at school |journal = Development and Psychopathology |volume = 7 |pages = 447}} </ref><ref>
{{cite book |author = Crittenden, P |year = 1999 |title = Danger and development: the organisation of self-protective strategies |editor = Vondra, Joan I|editor2=Barnett, Douglas |work = Atypical Attachment in Infancy and Early Childhood Among Children at Developmental Risk |location = Oxford |publisher = Blackwell |pages = 145-171}}</ref>

จะจัดอยู่ในกลุ่ม C1 (แบบคละ-ขัดขืน) เมื่อ
''"... เมื่อพฤติกรรมขัดขืนเห็นได้ชัดเป็นพิเศษ
การผสมกันระหว่างการหาแต่ก็ขัดขืนการกลับมาอยู่ร่วมกันมีลักษณะโกรธที่ชัดเจน และจริง ๆ แล้วความโกรธก็ยังเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมก่อนระยะจากกันอีกด้วย"''<ref name="Ainsworth, M.D.S, Blehar, M. C., Waters, E., & Wall, S."/>

จะจัดอยู่ในกลุ่ม C2 (แบบคละ-เฉย) เมื่อ
''"ลักษณะที่อาจเห็นได้ชัดที่สุดของทารกกลุ่ม C2 ก็คือการอยู่เฉย ๆ (passivity)
พฤติกรรมการสำรวจของทารกจะจำกัดตลอดเกณฑ์วิธีนี้ และพฤติกรรมทางปฏิสัมพันธ์ของทารกจะค่อนข้างไร้การเริ่มทำอะไรเอง
อย่างไรก็ดี ในระยะการกลับมาเจอกัน ทารกชัดเจนว่าต้องการอยู่ใกล้และการเข้าหามารดา แม้ว่ามักจะเป็นเพียงแค่การส่งสื่อไม่ใช่การเข้าไปหาจริง ๆ และประท้วงการถูกวางลงแทนที่จะพยายามจับไม่ให้ปล่อยโดยตรง...
คือโดยทั่วไปแล้ว ทารกกลุ่ม C2 จะไม่ปรากฏว่าโกรธอย่างชัดเจนเท่ากับทารกกลุ่ม C1"''<ref name="Ainsworth, M.D.S, Blehar, M. C., Waters, E., & Wall, S."/>

งานวิจัยปี 2542 พบว่า เด็กที่ถูกทารุณในวัยเด็กมีโอกาสพัฒนาความผูกพันแบบคละ
และเด็กที่มีความผูกพันแบบคละมีโอกาสมีปัญหารักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเมื่อเป็นผู้ใหญ่สูงกว่า<ref name="mccarthy1999avoidant">{{cite news |title = Avoidant/ambivalent attachment style as a mediator between abusive childhood experiences and adult relationship difficulties |last1 = McCarthy |first1 = Gerard |last2 = Taylor |first2 = Alan |journal = Journal of Child Psychology and Psychiatry |volume = 40 |number = 3 |pages = 465-477 |year = 1999 |doi = 10.1111/1469-7610.00463 |ref = mccarthy1999avoidant}}</ref>
[[ไฟล์:ทฤษฎีความผูกพัน - แบบวิตกกังวล หลีกเลี่ยง.png|300px|thumb|right |alt = ผังแสดงการดำเนินงานของความผูกพันแบบวิตกกังวล-หลีกเลี่ยง |ผังแสดงการดำเนินงานของความผูกพันแบบวิตกกังวล-หลีกเลี่ยง]]
=== ความผูกพันแบบวิตกกังวล-หลีกเลี่ยง ===
ทารกที่มีรูปแบบความผูกพันแบบวิตกกังวล-หลีกเลี่ยง จะหลีกเลี่ยงหรือไม่สนใจคนดูแล โดยแสดงอารมณ์น้อยมากเมื่อคนดูแลจากไปหรือกลับมา
และจะไม่ทำการสำรวจมากไม่ว่าใครจะอยู่ที่นั่น
ทารกประเภทนี้เป็นเรื่องปริศนาในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1970
เพราะไม่แสดงความทุกข์เมื่อถูกพราก และไม่สนใจคนดูแลเมื่อกลับมา (กลุ่มย่อย A1) หรือไม่ก็แสดงแนวโน้มการเข้าหาพร้อมกับแนวโน้มไม่สนใจแล้วหันหลังให้คนดูแล (กลุ่มย่อย A2)
ดร. เอนสเวอร์ธและเพื่อนร่วมงานตั้งทฤษฎีว่า
พฤติกรรมที่ดูเหมือนจะไม่เป็นไรของเด็กจริง ๆ แล้วเป็นการอำพรางความทุกข์ ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ต่อมาได้หลักฐานผ่านการศึกษาที่ตรวจ[[อัตราหัวใจเต้น]]ของทารก<ref>
{{cite journal |last1 = Ainsworth |first1 = M. D. |last2 = Bell |first2 = S. M. |year = 1970 |title = Attachment, exploration, and separation: Illustrated by the behavior of one-year-olds in a strange situation |journal = Child Development |volume = 41 |issue = 1 |pages = 49-67 |doi = 10.2307/1127388 |pmid = 5490680 }}</ref><ref>
{{cite journal |last1 = Sroufe |first1 = A. |last2 = Waters |first2 = E. |year = 1977 |title = Attachment as an Organizational Construct |journal = Child Development |volume = 48 |issue = 4 |pages = 1184-1199 |doi = 10.1111/j.1467-8624.1977.tb03922.x}}</ref>

ทารกจะจัดกลุ่มว่าเป็นแบบวิตกกังวล-หลีกเลี่ยงเมื่อ
''"...จะหลีกเลี่ยงแม่อย่างชัดเจนในช่วงมาเจอกันอีกซึ่งน่าจะเป็นแบบไม่สนใจเธอโดยสิ้นเชิง แม้ว่าอาจจะเมินหน้าไปทางอื่น หันหลังให้ หรือหลีกไปจาก...
ถ้าทักทายเมื่อแม่กลับมา มักจะเป็นเพียงแค่มองหรือยิ้ม
ทารกจะไม่เข้าหาแม่เมื่อเจอกันอีก หรือไม่ก็จะเข้าหาแบบขาด ๆ คือเด็กจะเดินผ่านแม่ไป หรือว่ามักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ต้องเกลี้ยกล่อมมาก...
ถ้าอุ้ม เด็กจะไม่แสดงพฤติกรรมที่รักษาการอยู่ด้วยกัน
คือ มักจะไม่กอด
หรืออาจจะมองไปทางอื่นและดิ้นที่จะลง"''<ref name="Ainsworth, M.D.S, Blehar, M. C., Waters, E., & Wall, S."/>

บันทึกเรื่องของ ดร. เอนสเวอร์ธแสดงว่า ทารกจะหลีกเลี่ยงคนดูแลในเกณฑ์วิธีสถานการณ์แปลกที่ก่อความเครียด เมื่อมีประวัติประสบกับการถูกปฏิเสธเมื่อแสดงพฤติกรรมผูกพัน
คือ เด็กบ่อยครั้งไม่ได้ตามความต้องการและได้กลายไปเชื่อว่า การสื่อความต้องการทางจิตใจจะไม่มีผลต่อคนดูแล

นักศึกษาของ ดร. เอนสเวอร์ธ คือ ศ. ดร. แมรี่ เมน ให้[[สมมติฐาน]]ว่า พฤติกรรมหลีกเลี่ยงในเกณฑ์วิธีควรพิจารณาว่าเป็น "กลยุทธ์ที่มีเงื่อนไข ซึ่งให้ผลขัดแย้งเป็นการได้ความใกล้ชิดมากที่สุดภายใต้สถานการณ์ที่ถูกแม่ปฏิเสธ" โดยไม่แสดงความต้องการความผูกพัน<ref>{{cite journal |author = Main, M |year = 1979 |title = The "ultimate" causation of some infant attachment phenomena |journal = Behavioral and Brain Sciences |volume = 2 |issue = 4 |pages = 640-643 |doi = 10.1017/s0140525x00064992}}</ref>
ดร. เมนเสนอว่า การหลีกเลี่ยงทำหน้าที่สองอย่างสำหรับทารกที่คนดูแลไม่ตอบสนองต่อความต้องการอย่างสม่ำเสมอ
อย่างแรกคือ พฤติกรรมหลีกเลี่ยงทำให้ทารกสามารถรักษาความใกล้ชิดอย่างมีเงื่อนไขกับคนดูแล คือ ใกล้พอที่จะได้รับการป้องกัน แต่ไกลพอที่จะหลีกเลี่ยงถูกปฏิเสธ
อย่างที่สองคือ กระบวน[[การรู้คิด]]ที่วางแผนพฤติกรรมหลีกเลี่ยงอาจจะเปลี่ยนความใส่ใจไปจากความต้องการจะอยู่ใกล้คนดูแลที่ไม่ได้ตามต้องการ
ดังนั้นเป็นการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เด็กจะรู้สึกทุกข์อย่างควบคุมไม่ได้ (disorganised distress) ที่ไม่สามารถแม้แต่ควบคุมตนเองได้ และที่ไม่ได้แม้แต่อยู่ใกล้ ๆ แม้จะมีเงื่อนไข<ref>{{cite book |author = Main, M |year = 1977a |title = Analysis of a peculiar form of reunion behaviour seen in some day-care children |editor = Webb, R |work = Social Development in Childhood |location = Baltimore |publisher = Johns Hopkins |pages = 33-78 }}</ref>

=== {{Anchor|disorganized attachment}}ความผูกพันแบบไม่มีระเบียบ/ไม่มีทิศทาง ===
ดร. เอนสเวอร์ธเป็นนักวิจัยคนแรกเองที่มีปัญหาจัดพฤติกรรมทารกเข้าในหมวดหมู่ 3 อย่างแรกที่เธอเสนอ
คือ ดร. เอนสเวอร์ธและคณะบางครั้งสังเกตเห็น "การเคลื่อนไหวแบบเครียดเช่นเกร็ง/ยกไหล่ เอามือไปไว้ที่ท้ายทอย และทำคอแข็งเป็นต้น
เป็นความรู้สึกที่ชัดเจนของเราว่าอาการเช่นนี้หมายถึงความเครียด เพราะมักจะเกิดขึ้นโดยมากในระยะถูกพราก และมักจะเกิดก่อนการร้องไห้
จริง ๆ แล้ว สมมติฐานของเราก็คือว่ามันเกิดขึ้นเมื่อเด็กพยายามจะควบคุมการร้องไห้ เพราะอาการมักจะหายไปถ้าเกิดร้องไห้"<ref>{{cite book |author = Ainsworth, M.D; Blehar, M; Waters, E; Wall, S |year = 1978 |title = Patterns of Attachment: A Psychological Study of the Strange Situation |location = Hillsdale, NJ |publisher = Lawrence Erlbaum |pages = 282 |quote = tense movements such as hunching the shoulders, putting the hands behind the neck and tensely cocking the head, and so on. It was our clear impression that such tension movements signified stress, both because they tended to occur chiefly in the separation episodes and because they tended to be prodromal to crying. Indeed, our hypothesis is that they occur when a child is attempting to control crying, for they tend to vanish if and when crying breaks through. }}</ref>
ข้อสังเกตเหล่านี้ก็ปรากฏในปริญญานิพนธ์ของนักศึกษาของ ดร. เอนสเวอร์ธด้วย

ยกตัวอย่างเช่น วิทยานิพนธ์ของ ดร. แพทริเซีย คริตเท็นเด็น ให้ข้อสังเกตว่า ในตัวอย่างที่ใช้ในวิทยานิพนธ์ของเธอ นักศึกษาปริญญาตรีได้ลงรหัสทารกคนหนึ่งที่ถูกทารุณกรรมโดยจัดว่าอยู่ในกลุ่มมั่นใจ (B) เพราะทารกมีพฤติกรรมที่
"ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงหรือการคละ เธอได้แสดงอาการคอแข็งที่แสดงอาการเครียดตลอดสถานการณ์แปลก
แต่ว่าพฤติกรรมที่มีอยู่ทั่วไปนี่แหละ เป็นตัวช่วยอย่างเดียวที่บอกถึงความเครียดของเธอ"<ref>Crittenden, P.M. (1983) 'Mother and Infant Patterns of Attachment' Unpublished PhD Dissertation, University of Virginia, May 1983, p.73 "without either avoidance or ambivalence, she did show stress-related stereotypic headcocking throughout the strange situation. This pervasive behavior, however, was the only clue to the extent of her stress." </ref>
เริ่มต้นในปี 2526 ดร. คริตเท็นเด็นได้เสนอหมวดหมู่ย่อยของ A, C, และอื่น ๆ ดังที่จะกล่าวต่อไป
ส่วน ดร. เมนได้เพิ่มหมวดหมู่ที่ 4 คือ หมวด D โดยอาศัยพฤติกรรมที่ไม่เข้ากับหมวด A, B และ C<ref>{{cite book |first1 = Mary |last1 = Main |first2 = Judith |last2 = Solomon |year = 1990 |chapter = Procedures for Identifying Infants as Disorganized/Disoriented during the Ainsworth Strange Situation |chapter-url = https://books.google.com/books?id=WzHIfiCXE8EC&pg=PA121 |pages = 121-60 |editor1-first = Mark T. |editor1-last = Greenberg |editor2-first = Dante |editor2-last = Cicchetti |editor3-first = E. Mark |editor3-last = Cummings |title = Attachment in the Preschool Years: Theory, Research, and Intervention |publisher = University of Chicago Press |location = Chicago |isbn = 978-0-226-30630-8}}</ref>

ในสถานการณ์แปลก คาดว่าระบบความผูกพันจะทำงานเหตุการจากไปและกลับมาของผู้ดูแล
ถ้าพฤติกรรมของทารกไม่ปรากฏว่าประสานอย่างคล้องจองกันผ่านระยะต่าง ๆ เพื่อให้ได้ความใกล้ชิดหรือความใกล้ชิดโดยเปรียบเทียบกับผู้ดูแล ก็จะพิจารณาว่าอยู่ในหมวด "ไม่มีระเบียบ" ซึ่งบ่งถึงการขัดขวางหรือการท่วมท้นของระบบผูกพัน (เช่นโดยความกลัว)
พฤติกรรมทารกในเกณฑ์วิธีสถานการณ์แปลกที่ลงรหัสเป็น ไม่มีระเบียบ/ไม่มีจุดหมาย รวมทั้งการแสดงความกลัวอย่างโต้ง ๆ
การแสดงพฤติกรรมหรืออารมณ์ต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกัน โดยแสดงออกพร้อม ๆ กัน หรือตามลำดับกัน
การเคลื่อนไหวอย่างเป็นแบบอย่าง (stereotypic) อย่างอสมมาตร (asymmetric) อย่างมีจุดหมายผิดพลาด (misdirected) หรือกระตุก ๆ
หรือตัวแข็งและแยกตัวจากสถานการณ์ (dissociation)
แต่ก็มีนักวิชาการที่เตือนว่า "ควรเข้าใจว่า 52% ของทารกในกลุ่มไม่มีระเบียบก็ยังเข้าหาผู้ดูแล หาการปลอบโยน และจะหยุดเป็นทุกข์โดยไม่มีพฤติกรรมแบบคละหรือหลีกเลี่ยงอย่างชัดเจน"<ref>{{cite journal |author = Lyons-Ruth, Karlen; Bureau, Jean-Francois; Easterbrooks, M Ann; Obsuth, Ingrid; Hennighausen, Kate; Vulliez-Coady, Lauriane |year = 2013 |title = Parsing the construct of maternal insensitivity: distinct longitudinal pathways associated with early maternal withdrawal |journal = Attachment & Human Development |volume = 15 |issue = 5-6 |pages = 562-582 }} </ref>

มีความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเรื่องความผูกพันแบบไม่มีระเบียบทั้งจากผู้รักษาพยาบาล ผู้กำหนดนโยบาย และนักวิจัย<ref>{{cite journal |author = Kochanska, Grazyna; Kim, Sanghag |year = 2013 |title = Early Attachment Organization With Both Parents and Future Behavior Problems: From Infancy to Middle Childhood |journal = Child development |volume = 84 |issue = 1 |pages = 283-296}} </ref>
แต่ว่า หมวดไม่มีระเบียบ/ไม่มีจุดหมาย (D) ถูกวิจารณ์ว่ากว้างเกินไป รวมทั้งโดย ดร. เอนสเวอร์ธเอง<ref>{{cite book |author = Svanberg, PO |title = Promoting a secure attachment through early assessment and interventions |editor = Barlow, J|editor2=Svanberg, PO |work = Keeping the Baby in Mind |location = London |publisher = Routledge |pages = 100-114}}</ref>
คือในปี 2533 ดร. เอนสเวอร์ธเขียนให้การรับรองหมวดหมู่ D แม้ว่าเธอจะเน้นว่า การเพิ่มควรพิจารณาว่า "ยังเป็นประเด็นไม่ยุติ เพราะอาจจะเพิ่มหมวดย่อยต่าง ๆ" คือเธอกังวลว่า รูปแบบพฤติกรรมหลายอย่างมากเกินไปจะปฏิบัติเหมือนกับเป็นอย่างเดียวกัน<ref>{{cite book |author = Ainsworth, M |year = 1990 |title = 'Epilogue' in Attachment in the Preschool Years |editor = Greenberg, MT|editor2=Ciccheti, D|editor3=Cummings, EM |location = Chicago, IL |publisher = Chicago University Press |pages = 463-488}}</ref>
และจริง ๆ แล้ว หมวด D รวมเอาทารกที่ใช้กลยุทธ์แบบมั่นใจ (B) แบบขาด ๆ กับทารกที่ดูจะสิ้นหวังและแสดงพฤติกรรมผูกพันที่น้อยมาก
มันยังรวมเด็กทารกที่วิ่งไปซ่อนเมื่อเห็นคนดูแลในหมวดเดียวกันกับทารกที่แสดงพฤติกรรมแบบหลีกเลี่ยง (A) ในการกลับมาเจอกันครั้งแรก และแบบคละ-ขัดขืน (C) ในการกลับมาเจอกันครั้งที่สอง
โดยอาจเป็นการตอบสนองต่อประเด็นเช่นนี้ จึงมีผู้เขียนที่แบ่งรหัสกลุ่ม D โดยปฏิบัติต่อพฤติกรรมบางอย่างว่าเป็น "กลยุทธ์แบบสิ้นหวัง" (strategy of desperation) และแบบอื่นว่าระบบความผูกพันถูกท่วมท้นไปด้วยความรู้สึก เช่นความกลัวความโกรธเป็นต้น<ref>{{cite book |author = Solomon, J; George, C |year = 1999a |title = The place of disorganisation in attachment theory |editor = Solomon, Judith|editor2=George, Carol |work = Attachment Disorganisation |location = NY |publisher = Guilford |pages = 27}}</ref>

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีผู้ที่อ้างว่า พฤติกรรมบางอย่างที่จัดหมวดว่าไม่มีระเบียบ/ไม่มีจุดหมาย สามารถมองว่าเป็นรูปแบบฉุกเฉินของกลยุทธ์หลีกเลี่ยงหรือคละ-ขัดขืน และทำหน้าที่เพื่อรักษาการป้องกันจากคนดูแลโดยระดับหนึ่ง
และก็มีผู้ที่เห็นด้วยว่า "แม้แต่พฤติกรรมผูกพันแบบไม่มีระเบียบ (การเข้าหาและหลีกเลี่ยงพร้อม ๆ กัน ตัวแข็ง เป็นต้น) ก็ยังสามารถให้อยู่ใกล้ ๆ ในระดับหนึ่งเมื่อเผชิญกับพ่อแม่ที่น่ากลัวหรือเข้าใจยาก"<ref>{{cite book |author = Sroufe, A; Egeland, B; Carlson, E; Collins, WA |year = 2005 |title = The Development of the person: the Minnesota study of risk and adaptation from birth to adulthood |location = NY |publisher = Guilford Press |pages = 245}}</ref>
แต่ว่า "การสมมุติว่า แบบย่อยของแบบไม่มีระเบียบหลายอย่างเป็นด้านต่าง ๆ ของรูปแบบที่มีระเบียบไม่ได้ห้ามการยอมรับแนวคิดเกี่ยวกับความไม่มีระเบียบ โดยเฉพาะในกรณีที่ความซับซ้อนและความเป็นอันตรายของภัยเกินสมรรถภาพของเด็กที่จะตอบสนอง"<ref>{{cite book |author = Crittenden, P |year = 1999 |title = Danger and development: the organisation of self-protective strategies |editor = Vondra, Joan I|editor2=Barnett, Douglas |work = Atypical Attachment in Infancy and Early Childhood Among Children at Developmental Risk |location = Oxford |publisher = Blackwell |pages = 159-160}}</ref>
ยกตัวอย่างเช่น "เด็กที่ยกให้คนอื่นเลี้ยง โดยเฉพาะเมื่อทำมากกว่าครั้งเดียว บ่อยครั้งมีความคิด/ความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน
ที่พบในวิดีโอของเกณฑ์วิธีสถานการณ์แปลก ความคิด/ความรู้สึกมักจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กที่ถูกปฏิเสธ/ถูกละทิ้งจะเข้าหาคนแปลกหน้าเพราะต้องการให้ปลอบ ควบคุมตัวไม่ได้แล้วล้มลงที่พื้น เพราะรับความกลัวต่อคนที่ไม่รู้จัก อาจเป็นอันตราย และแปลกหน้าไม่ได้"<ref>{{cite book |author = Crittenden, P; Landini, A |year = 2011 |title = Assessing Adult Attachment: A Dynamic-Maturational Approach to Discourse Analysis |location = NY |publisher = W.W. Norton |pages = 269}}</ref>

ดร. เมนและเพื่อนร่วมงาน<ref name=MaineHesse>{{cite book |first1 = Mary |last1 = Main |first2 = Erik |last2 = Hesse |year = 1993 |chapter = Parents' Unresolved Traumatic Experiences Are Related to Infant Disorganized Attachment Status: Is Frightened and/or Frightening Parental Behavior the Linking Mechanism? |chapter-url = https://books.google.com/books?id=WzHIfiCXE8EC&pg=PA161 |pages = 161-84 |editor1-first = Mark T. |editor1-last = Greenberg |editor2-first = Dante |editor2-last = Cicchetti |editor3-first = E. Mark |editor3-last = Cummings |title = Attachment in the Preschool Years: Theory, Research, and Intervention |publisher = University of Chicago Press |location = Chicago |isbn = 978-0-226-30630-8}}</ref>
พบว่า มารดาของเด็กเหล่านี้โดยมากเกิดความสูญเสียหรือการบาดเจ็บทางกายใจก่อนหรือหลังทันทีที่คลอดทารก และได้มีปฏิกิริยาโดยมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง<ref name=Parkes>{{cite book |title = Love and Loss |author = Parkes, Colin Murray |publisher = Routledge, London and New York |year = 2006 |page = 13 |isbn = 0-415-39041-9}}</ref>
และจริง ๆ แล้ว แม่ 56% ที่พ่อแม่คนใดคนหนึ่งเสียชีวิตก่อนจบโรงเรียนมัธยมปลาย ต่อมาจะมีลูกที่มีความผูกพันแบบไม่มีระเบียบ<ref name=MaineHesse />
แต่งานศึกษาต่อ ๆ มา แม้ว่าจะเน้นความสำคัญที่เป็นไปได้ของการสูญเสียที่รู้สึกอย่างไม่จบ ก็ได้ให้ข้อแม้ต่อการค้นพบเยี่ยงนี้<ref>{{cite journal |author = Madigan, Sheri|display-authors=et al|year = 2006 |title = Unresolved states of mind, anomalous parental behavior, and disorganized attachment: A review and meta-analysis of a transmission gap |journal = Attachment & human development |volume = 8 |issue = 2 |pages = 89-111}} </ref>
ยกตัวอย่างเช่น นักจิตวิทยาคู่หนึ่งพบว่า การสูญเสียของแม่อย่างรู้สึกไม่จบสิ้นมักจะสัมพันธ์กับความผูกพันแบบไม่มีระเบียบในทารก ก็ต่อเมื่อถ้าแม่ประสบกับความบาดเจ็บทางกายใจอื่นที่ยังไม่จบก่อนการสูญเสียนั้น<ref>{{cite book |author = Solomon, J; George, C |year = 2006 |title = Intergenerational transmission of dysregulated maternal caregiving: Mothers describe their upbringing and child rearing |editor = Mayseless, O |work = Parenting representations: Theory, research, and clinical implications |location = Cambridge, UK |publisher = Cambridge University Press |pages = 265-295}}</ref>

=== รูปแบบภายหลังและอื่น ๆ ===
มีการพัฒนาเทคนิคที่ช่วยให้สามารถตัดสินภาวะทางใจของเด็กเกี่ยวกับความผูกพันได้
ยกตัวอย่างเช่น การให้เติมเรื่อง ที่เล่านิทานในเบื้องต้นเกี่ยวกับปัญหาความผูกพันแล้วให้เด็กเล่าต่อให้จบ
สำหรับเด็กที่โตกว่า วัยรุ่น และผู้ใหญ่ อาจใช้การสัมภาษณ์กึ่งมีโครงที่วิธีการสื่ออาจจะสำคัญเท่ากับสิ่งที่สื่อเอง<ref name="Schaffer">{{cite book |author = Schaffer, R |year = 2007 |title = Introducing Child Psychology |publisher = Blackwell |location = Oxford |pages = 83-121 |isbn = 0-631-21628-6 }}</ref>
แต่ว่า ก็ยังไม่มีการวัดความผูกพันในวัยเด็กช่วงกลางหรือวัยรุ่นช่วงต้น (อายุประมาณ 7-13 ปี) ที่ตรวจสอบ[[ความสมเหตุสมผล]]แล้ว<ref name=AACAP-2005>{{cite journal |journal = J Am Acad Child Adolesc Psychiatry |year = 2005 |volume = 44 |issue = 11 |pages = 1206-19 |title = Practice parameter for the assessment and treatment of children and adolescents with reactive attachment disorder of infancy and early childhood |author = Boris, NW; Zeanah, CH |others = Work Group on Quality Issues |pmid = 16239871 |url = http://www.aacap.org/galleries/PracticeParameters/rad.pdf |format = [[PDF]] |accessdate = 2009-09-13 |doi = 10.1097/01.chi.0000177056.41655.ce}}</ref>

งานศึกษาในเด็กโตกว่าบางงานได้กำหนดหมวดความผูกพันอื่น ๆ
ดร. เมนและเพื่อนร่วมงานให้ข้อสังเกตว่า พฤติกรรมแบบไม่มีระเบียบในวัยทารก อาจพัฒนาเป็นพฤติกรรมแบบควบคุมหรือแบบลงโทษเพื่อบริหารผู้ดูแลที่ช่วยอะไรไม่ได้หรือเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างเป็นอันตราย
ในกรณีเช่นนี้ พฤติกรรมของเด็กมีระเบียบ แต่นักวิจัยปฏิบัติต่อมันเหมือนกับไม่มี (กลุ่ม D) เพราะว่า ลำดับในครอบครัวไม่ได้จัดตามอำนาจของพ่อแม่อีกต่อไป<ref>{{cite journal |author = Main, M; Cassidy, J |year = 1988 |title = Categories of response to reunion with the parent at age 6 |journal = Developmental Psychology |volume = 24 |issue = 3 |pages = 415-426}} </ref>

ดร. แพทริเซีย คริตเท็นเด็น ได้ขยายหมวดหมู่เพื่อรวมรูปแบบพฤติกรรมผูกพันแบบหลีกเลี่ยงและคละแบบอื่น ๆ
รวมทั้งพฤติกรรมควบคุมและลงโทษตามที่ ดร. เมนได้พบ (กลุ่ม A3 และ C3 ตามลำดับ) แต่ก็รวมรูปแบบอื่น ๆ เช่น การถูกบังคับให้ทำตามโดยพ่อหรือแม่ที่น่ากลัว (A4)<ref>{{cite book |author = Crittenden, P.M. |year = 2008 |title = Raising Parents: Attachment, Parenting and Child Safety |location = London |publisher = Routledge}}</ref>

แนวคิดของ ดร. คริตเท็นเด็นมาจากคำเสนอของโบลบี้ว่า "ในสถานการณ์ทุกข์ยากบางอย่างในวัยเด็ก การเลือกเว้นข้อมูลบางอย่างอาจเป็นการปรับตัวที่ดี
แต่ว่า เมื่อถึงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป และการเว้นข้อมูลประเภทเดียวกันอย่างคงยืนอาจจะเป็น[[การปรับตัวผิด]]"<ref>{{citation |last = Bowlby |first = J |year = 1980 |title = Loss |location = London |publisher = Penguin |page = 45}}</ref>

ดร. คริตเท็นเด็นเสนอว่า องค์ประกอบพื้นฐานของความรู้สึกมีภัยในมนุษย์เป็นข้อมูลสองชนิด<ref>{{cite journal |last1 = Strathearn |first1 = L. |last2 = Fonagy |first2 = P. |last3 = Amico |first3 = J.A. |last4 = Montague |first4 = P.R. |year = 2009 |title = Adult attachment predicts mother's brain and peripheral oxytocin response to infant cues |journal = Neuropsychopharmacology |volume = 34 |issue = 13 |pages = 2655-2666 |doi = 10.1038/npp.2009.103 |pmid = 19710635 |pmc = 3041266}}</ref>
# ข้อมูลทางอารมณ์ (Affective information) เป็นอารมณ์ที่ก่อขึ้นโดยสิ่งที่อาจเป็นอันตราย อารมณ์เช่นความโกรธหรือความกลัว ในวัยเด็กนี่อาจรวมอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการไม่อยู่ของผู้ที่ผูกพันโดยไม่มีคำอธิบาย เมื่อทารกต้องเผชิญการดูแลของพ่อแม่แบบไม่ไวต่อความต้องการหรือแบบปฏิเสธ กลยุทธ์อย่างหนึ่งเพื่อรักษาการอยู่ใกล้ ๆ คนที่ผูกพันก็คือพยายามกำจัดจากจิตใจหรือจากพฤติกรรมที่แสดงออก ซึ่งการแสดงอารมณ์ที่อาจมีผลให้ถูกปฏิเสธ
# ความรู้เรื่องเหตุหรือเหตุการณ์ที่เป็นไปตามลำดับอื่น ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยและอันตรายที่อาจเป็นไปได้ ในวัยเด็ก นี่อาจจะรวมความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมที่บ่งว่า ผู้ที่ติดพันเข้าหาได้เพื่อความปลอดภัยหรือไม่ ถ้าความรู้เรื่องพฤติกรรมแสดงว่า การอยู่เป็นเสาหลักของผู้ที่ผูกพันอาจจะไม่คงยืน ทารกก็จะพยายามรักษาความสนใจของผู้ดูแลไว้โดยเกาะติดหรือโดยพฤติกรรมก้าวร้าว หรือสลับพฤติกรรมทั้งสองอย่างนั้น
พฤติกรรมที่ว่าอาจเพิ่มการเข้าหาคนที่ผูกพันได้ ผู้ที่ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะตอบสนองอย่างไม่สม่ำเสมอหรืออย่างชวนให้เข้าใจผิดต่อพฤติกรรมผูกพันของทารก ซึ่งแสดงความเชื่อถือไม่ได้ของการป้องกันและความปลอดภัย<ref name=landa2013/>
ดร. คริตเท็นเด็นเสนอว่า ข้อมูลทั้งสองชนิดสามารถระงับไม่ใส่ใจหรือไม่แสดงออกทางพฤติกรรม โดยเป็นกลยุทธ์เพื่อรักษาความเข้าหาผู้ที่ผูกพันไว้ได้
คือ "กลยุทธ์แบบ A (แบบหลีกเลี่ยง) สันนิษฐานว่า อาศัยการลดความรู้สึกว่ามีภัย เพื่อลดความต้องการจะตอบสนอง (แบบผูกพัน)
ส่วนแบบ C (แบบวิตกกังวล-คละ) สันนิษฐานว่า อาศัยการเพิ่มความรู้สึกว่ามีภัย เพื่อเพิ่มความต้องการที่จะตอบสนอง"<ref>{{cite journal |last1 = Crittenden |first1 = P. |last2 = Newman |first2 = L. |year = 2010 |title = Comparing models of borderline personality disorder: Mothers' experience, self-protective strategies, and dispositional representations |journal = Clinical Child Psychology and Psychiatry |volume = 15 |issue = 3 |pages = 433-451 [435] |doi = 10.1177/1359104510368209 |pmid = 20603429}}</ref>
คือ กลยุทธ์แบบ A เอาความรู้สึกว่ามีภัยออกจากใจ และแบบ C ไม่สนใจความรู้เกี่ยวกับว่าผู้ที่ผูกพันสามารถเข้าถึงได้แค่ไหนและทำไม
โดยเปรียบเทียบกัน กลยุทธ์แบบ B (แบบมั่นใจ) ใช้ข้อมูลทั้งสองแบบโดยไม่บิดเบือนข้อมูล<ref>{{cite journal |last1 = Crittenden |first1 = P.M. |year = 1992 |title = Children's strategies for coping with adverse home environments |journal = Child Abuse & Neglect |volume = 16 |issue = 3 |pages = 329-343 |doi = 10.1016/0145-2134(92)90043-q |pmid = 1617468}}</ref>

ยกตัวอย่างเช่น เด็กรุ่นหัดเดินคนหนึ่งอาจกลายมาอาศัยกลยุทธ์แบบ C คือมีอารมณ์เกรี้ยวกราดเพื่อรักษาคนที่ผูกพันไว้ใกล้ ๆ ผู้ที่ความเข้าถึงได้อย่างไม่แน่นอนทำให้เด็กไม่เชื่อหรือบิดเบือนเหตุผลทางพฤติกรรมของผู้ดูแลที่เห็นได้
ซึ่งอาจทำให้คนดูแลเข้าใจความต้องการดีขึ้นและให้การตอบสนองที่สมควรต่อพฤติกรรมผูกพัน
และเมื่อประสบกับข้อมูลที่เชื่อถือได้พยากรณ์ได้เกี่ยวกับการเข้าถึงได้ของผู้ดูแล เด็กก็จะไม่ต้องใช้พฤติกรรมแบบบังคับเพื่อรักษาความเข้าถึงได้ของผู้ดูแลอีกต่อไป แล้วจึงสามารถพัฒนาความผูกพันแบบมั่นใจเพราะเชื่อว่าความต้องการและการสื่อสารของตนจะได้การตอบสนอง

=== ความสำคัญของรูปแบบ ===
งานวิจัยที่ใช้ข้อมูลจาก[[งานศึกษาตามยาว]] เช่น National Institute of Child Health and Human Development Study of Early Child Care และ Minnesota Study of Risk and Adaption from Birth to Adulthood และข้อมูลจาก[[งานศึกษาตามขวาง]]แสดงอย่างคล้องจองกันถึงความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบความผูกพันในเบื้องต้นของชีวิต กับความสัมพันธ์กับเพื่อนต่อ ๆ มาทั้งโดยปริมาณและโดยคุณภาพ
ยกตัวอย่างเช่น นักจิตวิทยาผู้หนึ่งพบว่า "สำหรับพฤติกรรมถอยห่าง (withdrawing behavior) ที่แม่แสดงเพิ่มขึ้นแต่ละอย่างตอบสนองต่อพฤติกรรมผูกพันของทารกในระหว่างเกณฑ์วิธีสถานการณ์แปลก โอกาสที่แพทย์จะส่งต่อเพื่อการรักษาเพิ่มขึ้น โดย 50%"<ref>{{cite journal |last1 = Lyons-Ruth |first1 = Karlen |last2 = Jean- |last3 = Bureau |first3 = Francois |last4 = Easterbrooks |first4 = M. Ann |last5 = Obsuth |first5 = Ingrid |last6 = Hennighausen |first6 = Kate |last7 = Vulliez-Coady |first7 = Lauriane |year = 2013 |title = Parsing the construct of maternal insensitivity: distinct longitudinal pathways associated with early maternal withdrawal |journal = Attachment & Human Development |volume = 15 |issue = 5-6 |pages = 562-582 |doi = 10.1080/14616734.2013.841051 |pmid = 24299135 |pmc = 3861901 |quote = for each additional withdrawing behavior displayed by mothers in relation to their infant's attachment cues in the Strange Situation Procedure, the likelihood of clinical referral by service providers was increased by 50%. }}</ref>

มีงานวิจัยมากมายที่แสดงความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างรูปแบบความผูกพันกับการใช้ชีวิตของเด็กในหลาย ๆ ด้าน<ref name=PPP>{{cite book |author = Pearce, JW; Pezzot-Pearce, TD |title = Psychotherapy of abused and neglected children |publisher = Guilford press |edition = 2nd |location = New York and London |year = 2007 |isbn = 978-1-59385-213-9 |pages = 17-20}}</ref>
ความผูกพันแบบไม่มั่นใจในชีวิตเบื้องต้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีปัญหา แต่มันเป็นโอกาสเสี่ยงต่อเด็ก โดยเฉพาะถ้าพฤติกรรมของพ่อแม่เป็นอย่างเดียวกันตลอดวัยเด็ก{{sfn|Karen|1998 |p = 248-66}}
เทียบกับเด็กที่ผูกพันอย่างมั่นใจ การปรับตัวของเด็กที่ไม่มั่นใจในหลาย ๆ ด้านของชีวิตอาจจะไม่มั่นคง ทำให้ความสัมพันธ์กับบุคคลต่าง ๆ ของเด็กในอนาคตอาจเป็นอันตราย
แม้ว่าความสัมพันธ์ที่ว่ายังไม่สามารถสรุปได้โดยงานวิจัย และก็ยังมีปัจจัยที่มีอิทธิพลอื่น ๆ นอกจากความผูกพัน แต่เด็กที่ผูกพันอย่างมั่นใจมีโอกาสสูงกว่าที่จะมีสมรรถภาพทางสังคมที่ดีกว่าเพื่อนที่ไม่มั่นใจ
และความสัมพันธ์ที่มีกับเพื่อนมีอิทธิพลต่อการได้ทักษะทางสังคม พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา และการสร้างเอกลักษณ์ทางสังคม

การจัดหมวดเด็กโดยสถานะทางสังคม (เพื่อนนิยม เพื่อนไม่สนใจ เพื่อนไม่ยอมรับ) พบว่าสามารถพยากรณ์การปรับตัวในด้านต่าง ๆ ได้<ref name="Schaffer"/>
เด็กที่ไม่มั่นใจโดยเฉพาะแบบหลีกเลี่ยง เสี่ยงต่อเหตุที่เกิดในครอบครัวสูง
พฤติกรรมทางสังคมและทางพฤติกรรมของเด็กอาจจะดีขึ้นหรือแย่ลงตามทักษะการเลี้ยงเด็กของพ่อแม่
แต่ว่า ความผูกพันแบบมั่นใจตั้งแต่ต้น ๆ ดูเหมือนจะมีผลป้องกันโดยระยะยาว<ref name=bercasapp>{{cite encyclopedia |year = 2008 |author = Berlin, LJ; Cassidy, J; Appleyard, K |title = The Influence of Early Attachments on Other Relationships |encyclopedia = Handbook of Attachment: Theory, Research and Clinical Applications |editor = Cassidy, J|editor2=Shaver, PR |publisher = Guilford Press |location = New York and London |pages = 333-47 |isbn = 978-1-59385-874-2}}</ref>
และเหมือนกับความผูกพันกับพ่อแม่ ประสบการณ์ต่อ ๆ มาก็อาจจะเปลี่ยนวิถีพัฒนาการของเด็กได้ด้วย<ref name="Schaffer"/>

งานศึกษาต่าง ๆ แสดงว่า ทารกที่มีโอกาสเสี่ยง[[โรคออทิซึม]] (Autism Spectrum Disorders) สูง อาจแสดงความผูกพันต่างจากทารกที่มีโอกาสเสี่ยงน้อย<ref>{{cite journal |last = Haltigan |first = JD |author2 = Ekas NV |author3 = Seifer R |author4 = Messinger DS |title = Attachment security in infants at-risk for autism spectrum disorders. |journal = Attachment security in infants at-risk for autism spectrum disorders |date = 2011-07 |volume = 41 |issue = 7 |pages = 962-967 |url = http://web.ebscohost.com/ehost/detail?vid=3&hid=7&sid=4ee26e89-71a6-4d34-930d-cfd04877e6fa%40sessionmgr11&bdata=JnNpdGU9ZWhvc3QtbGl2ZQ%3d%3d#db=cmedm&AN=20859669 |accessdate = 2011-12-01 |doi = 10.1007/s10803-010-1107-7 |pmid = 20859669}}</ref>

มีนักวิชาการที่ตั้งข้อสงสัยกับไอเดียว่า การพัฒนา[[อนุกรมวิธาน]]ของหมวดหมู่ที่สะท้อนความแตกต่างกันของความผูกพันสามารถเป็นไปได้จริง ๆ
เพราะว่า งานที่ตรวจสอบข้อมูลจากเด็กอายุ 15 เดือน 1,139 คนแสดงว่า การแปรผันของรูปแบบความผูกพันเป็นแบบกระจายไปทั่วแทนที่จะเป็นกลุ่ม ๆ<ref name="FraSpe">{{cite journal |author = Fraley, RC; Spieker, SJ |title = Are infant attachment patterns continuously or categorically distributed? A taxometric analysis of strange situation behavior |journal = Developmental Psychology |volume = 39 |issue = 3 |pages = 387-404 |date = 2003-05 |pmid = 12760508 |doi = 10.1037/0012-1649.39.3.387}}</ref>
ซึ่งตั้งคำถามสำคัญในเรื่องหมวดหมู่ของความผูกพันและกลไกทางกายภาพที่เป็นมูลฐานของพฤติกรรม
แต่ว่า นี่ไม่เป็นปัญหาต่อทฤษฎีโดยตรง เพราะว่าทฤษฎี "ไม่ได้บังคับให้มีหรือพยากรณ์รูปแบบความผูกพันที่รวมเป็นกลุ่ม ๆ"<ref name="WatBea">{{cite journal |author = Waters, E; Beauchaine, TP |title = Are there really patterns of attachment? Comment on Fraley and Spieker (2003) |journal = Developmental Psychology |volume = 39 |issue = 3 |pages = 417-22; discussion 423-9 |date = 2003-05 |pmid = 12760512 |doi = 10.1037/0012-1649.39.3.417}}</ref>

มีหลักฐานบ้างว่าความแตกต่างระหว่างเพศเกี่ยวกับรูปแบบความผูกพัน จะเริ่มเกิดขึ้นในวัยเด็กตอนกลาง
ความผูกพันแบบไม่มั่นใจและความเครียดทางจิตสังคมในระยะต้น ๆ เป็นตัวชี้ว่า เด็กมีความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม (เช่น ความยากจน ความผิดปกติทางจิต ชีวิตไม่มีเสถียรภาพ ความเป็นชนกลุ่มน้อย ปัญหาความรุนแรง)
ความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมสามารถเป็นเหตุความผูกพันแบบไม่มั่นใจ และยังกดดันให้มี[[เพศสัมพันธ์]]เร็วอีกด้วย
โดยกลยุทธ์การสืบพันธุ์ที่ต่างกันระหว่างหญิงชาย จะทำให้ปรับตัวต่างกัน ชายที่ไม่มั่นใจมักจะใช้กลยุทธ์แบบหลีกเลี่ยง เทียบกับหญิงที่ไม่มั่นใจที่มักใช้กลยุทธ์แบบวิตกกังวล-คละนอกจากจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ความเสี่ยงสูงมาก
มีการเสนอว่าพัฒนาการทางเพศช่วง Adrenarche เป็นกลไกทาง[[ต่อมไร้ท่อ]]ที่เปลี่ยนรูปแบบความผูกพันในวัยเด็กตอนกลาง รวมทั้งความผูกพันแบบไม่มั่นใจด้วย<ref name=delguid>{{cite journal |title = Sex, attachment, and the development of reproductive strategies |author = Del Giudice, M |journal = Behavioral and Brain Sciences |year = 2009 |volume = 32 |pages = 1-67 |doi = 10.1017/S0140525X09000016 |pmid = 19210806 |issue = 1 }}</ref>

== ความเปลี่ยนแปลงในระหว่างวัยเด็กและวัยรุ่น ==
== ความเปลี่ยนแปลงในระหว่างวัยเด็กและวัยรุ่น ==
แบบจำลองใช้งานภายในที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างความผูกพัน จะพัฒนาขึ้นในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น
แบบจำลองใช้งานภายในที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างความผูกพัน จะพัฒนาขึ้นในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น

รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:22, 10 สิงหาคม 2566

ความเปลี่ยนแปลงในระหว่างวัยเด็กและวัยรุ่น

แบบจำลองใช้งานภายในที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างความผูกพัน จะพัฒนาขึ้นในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น โดยจะสัมพันธ์กับภาวะจิตใจที่พัฒนาขึ้นตามความผูกพันโดยทั่วไป และแสดงว่าความผูกพันจะทำงานเช่นไรภายในปฏิสัมพันธ์ของความสัมพันธ์โดยอาศัยประสบการณ์ในวัยเด็กและวัยรุ่น การสร้างแบบจำลองภายในพิจารณาว่า นำไปสู่ความผูกพันที่เสถียรกว่าในบุคคลที่ได้พัฒนาแบบจำลองเช่นนี้ เทียบกับบุคคลที่อาศัยความรู้สึกในใจเพียงอย่างเดียวเมื่อสร้างความผูกพันใหม่ ๆ อายุ พัฒนาการทางการรู้คิด และประสบการณ์ทางสังคมจะเพิ่มการพัฒนาและความซับซ้อนของแบบจำลองภายใน โดยพฤติกรรมความผูกพันจะลดลักษณะบางอย่างที่ปรากฏในวัยทารก-เด็ก แล้วเพิ่มลักษณะอื่น ๆ ตามอายุ เช่น วัยก่อนอนุบาลจะมีการเจรจาและต่อรอง[1] ยกตัวอย่างเช่น เด็ก 4 ขวบจะไม่ทุกข์เพราะความพรากถ้าเด็กและคนดูแลได้เจรจาแผนร่วมกันในการจากกันแล้วมาพบกันอีก[2]

เพื่อนกลายเป็นเรื่องสำคัญในช่วงวัยเด็กตอนกลางและมีอิทธิพลที่ไม่เหมือนกับของพ่อแม่

โดยอุดมคติแล้ว ทักษะทางสังคมเหล่านี้จะรวมเข้ากับแบบจำลองภายใน แล้วสามารถใช้กับเด็กอื่น ๆ และต่อไปกับเพื่อนเมื่อเป็นผู้ใหญ่ เมื่อเด็กเข้าโรงเรียนเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบ โดยมากจะเริ่มมีความสัมพันธ์แบบเป็นหุ้นส่วนที่ปรับเป้าหมายได้กับพ่อแม่ ซึ่งหุ้นส่วนแต่ละคนจะยอมประนีประนอมเปลี่ยนเป้าหมายเพื่อรักษาความพอใจของทั้งสองฝ่าย[1] และโดยวัยเด็กช่วงกลาง จุดหมายของระบบพฤติกรรมผูกพัน จะเปลี่ยนจากการต้องอยู่ใกล้ ๆ ไปเป็นการเข้าถึงคนที่ผูกพันได้ โดยทั่วไปแล้ว เด็กจะพอใจกับการจากกันที่นานกว่า ถ้าสามารถติดต่อกันได้ แม้กระทั่งมาเจอกันอีกถ้าจำเป็น พฤติกรรมผูกพันแบบเกาะติดและตามจะลดลงและจะพึ่งตนเองได้มากขึ้น โดยวัยเด็กช่วงกลาง (อายุ 7-11 ขวบ) อาจจะเปลี่ยนเป็นการควบคุมเสาหลักร่วมกัน ที่คนดูแลและเด็กต่อรองวิธีการคุยกันและการควบคุมดูแล เมื่อเด็กพัฒนามีอิสระมากขึ้น[1]

ในผู้ใหญ่

ทฤษฎีความผูกพันได้ขยายไปใช้กับความสัมพันธ์แบบโรแมนติกของผู้ใหญ่ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 โดยมีการจำแนกหมวดหมู่ 4 อย่าง คือ มั่นใจ (secure) วิตกกังวล-มัววุ่นวาย (anxious-preoccupied) ไม่สนใจ-หลีกเลี่ยง (dismissive-avoidant) และกลัว-หลีกเลี่ยง (fearful-avoidant) ซึ่งโดยรวม ๆ คล้อยตามหมวดเหล่านี้ของทารก คือ มั่นใจ (secure) ไม่มั่นใจ-คละ (insecure-ambivalent) ไม่มั่นใจ-หลีกเลี่ยง (insecure-avoidant) และไม่มีระเบียบ/ไม่มีจุดหมาย ผู้ใหญ่ที่ผูกพันอย่างมั่นใจมองตัวเอง คู่ขา และความสัมพันธ์ร่วมกันในเชิงบวก โดยรู้สึกสบาย ๆ ทั้งกับความใกล้ชิดและความเป็นอิสระโดยสมดุลกัน

ส่วนผู้ใหญ่ที่วิตกกังวล-มัววุ่นวายต้องการความใกล้ชิด การยอมรับ และการตอบสนองจากคู่สูง กลายเป็นคนที่ต้องพึ่งอาศัยมากเกินไป มักจะเชื่อใจน้อยกว่า มีมุมมองที่ดีน้อยกว่าเกี่ยวกับตนและคู่ และอาจแสดงอารมณ์ ความกังวล และความหุนหันพลันแล่นมากในความสัมพันธ์

ส่วนแบบไม่สนใจ-หลีกเลี่ยงต้องการความเป็นอิสระสูง บ่อยครั้งดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงความผูกพันทั้งหมด คือมองว่าช่วยตัวเองได้ ไม่อ่อนไหวต่อความผูกพันและไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด มักจะระงับความรู้สึกของตน รับมือกับการถูกปฏิเสธโดยทำตัวเองให้ห่างเหินจากคู่ความสัมพันธ์ที่บ่อยครั้งตนมีความเห็นไม่ดี

ส่วนแบบกลัว-หลีกเลี่ยงมักจะรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ทั้งอยากจะได้ทั้งไม่รู้สึกสบายกับความใกล้ชิด มักจะไม่เชื่อใจคู่สัมพันธ์และมักมองตัวเองว่าไม่คุ้มค่า โดยเหมือนกับแบบไม่สนใจ-หลีกเลี่ยง ผู้ใหญ่ประเภทนี้ต้องการความใกล้ชิดที่น้อยกว่า และจะยับยั้งความรู้สึกของตน[3][4][5][6]

รูปแบบความผูกพันในระหว่างคู่รักจากมุมมองกว้าง ๆ เป็นไปตามรูปแบบความผูกพันในทารก แต่ว่า ผู้ใหญ่สามารถมีแบบจำลองใช้งานภายในหลายอย่างสำหรับความสัมพันธ์ต่าง ๆ

มีการศึกษาความผูกพันในผู้ใหญ่หลัก ๆ สองด้าน คือ (1) ทั้งการจัดระเบียบและเสถียรภาพของแบบจำลองใช้งานในใจที่เป็นมูลฐานของสไตล์การผูกพัน ได้รับความสนใจจากนักจิตวิทยาสังคมที่สนใจความผูกพันแบบคู่รัก[7][8] (2) ส่วนนักจิตวิทยาพัฒนาการผู้สนใจสภาพจิตใจของบุคคลในเรื่องความผูกพัน จะตรวจสอบว่าความผูกพันทำงานในปฏิสัมพันธ์ของความสัมพันธ์อย่างไร และมีผลเช่นไรต่อความสัมพันธ์ แบบจำลองใช้งานในใจจะเสถียรกว่าเมื่อเทียบกับสภาพจิตใจเกี่ยวกับความผูกพันที่เปลี่ยนไปมาบ่อยกว่า

แต่มีนักวิชาการที่เสนอว่า ผู้ใหญ่ไม่ได้มีแบบจำลองใช้งานเพียงแค่ชุดเดียว ในระดับหนึ่ง จะมีกฎและข้อสมมุติชุดหนึ่งเกี่ยวกับความผูกพันโดยทั่วไป ในอีกระดับหนึ่ง ก็ยังมีข้อมูลโดยเฉพาะ ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์และเหตุการณ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์หนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ ข้อมูลในระดับต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องเข้ากัน ดังนั้น บุคคลจึงสามารถมีแบบจำลองใช้งานภายในต่าง ๆ สำหรับความสัมพันธ์ต่าง ๆ[8][9]

มีแบบวัดความผูกพันสำหรับผู้ใหญ่หลายอย่าง แบบที่สามัญที่สุดเป็นคำถามที่ตอบเอง และการสัมภาษณ์ที่เข้ารหัส แบบต่าง ๆ พัฒนาเพื่อใช้เป็นเครื่องมืองานวิจัย โดยมีเป้าหมายต่าง ๆ ในเรื่องต่าง ๆ เช่น เพื่อความสัมพันธ์แบบคู่รัก ความสัมพันธ์กับพ่อแม่ และความสัมพันธ์กับเพื่อน มีบางอย่างที่จัดหมวดสภาพใจของผู้ใหญ่เกี่ยวกับความผูกพันและรูปแบบความผูกพันโดยอ้างประสบการณ์ในวัยเด็ก ในขณะที่อย่างอื่นประเมินพฤติกรรมความผูกพันและความมั่นใจเกี่ยวกับพ่อแม่และเพื่อน[10]

ประวัติ

การขาดแม่

ความคิดในเบื้องต้นของทฤษฎี Object relations theory ของสาขาจิตวิเคราะห์ มีอิทธิพลต่อจอห์น โบลบี้มาก แต่ว่า เขาก็ยังไม่เห็นด้วยกับความเชื่อทางจิตวิเคราะห์ว่า การตอบสนองของทารกเป็นเรื่องชีวิตจินตนิมิตในภายในแทนที่จะเป็นเหตุการณ์จริง ๆ ในชีวิต เมื่อโบลบี้กำลังสร้างไอเดียของเขา เขาได้อิทธิพลจากงานศึกษาเค้สของเด็กที่มีปัญหาหรือทำผิดกฎหมาย ดังงานที่พิมพ์ในปี 2486 และ 2488[11][12]

เด็กสวดมนต์ที่สถานเลี้ยงเด็ก Five Points House of Industry residential nursery ปี 2431 ทฤษฎีขาดแม่ที่โบลบี้พิมพ์ในปี 2494 ได้ปฏิวัติการใช้สถานที่เลี้ยงเด็กต่อมา

นักวิชาการร่วมสมัยคนหนึ่งของโบลบี้ได้สังเกตเห็นความเศร้าโศกของเด็กที่พรากจากพ่อแม่ แล้วเสนอว่ามีผลเป็นพิษทางจิต (psychotoxic) จากประสบการณ์เลี้ยงเด็กที่ไม่เหมาะสม[13][14] และนักจิตวิเคราะห์เพื่อนร่วมงานของโบลบี้คนหนึ่งได้ถ่ายภาพยนตร์ผลของการพรากจากพ่อแม่ของเด็กในโรงพยาบาล ซึ่งต่อมาทำงานร่วมกันในปี 2495 เพื่อสร้างภาพยนตร์สารคดี เด็กสองขวบไปโรงพยาบาล (A Two-Year Old Goes to the Hospital) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อรณรงค์ให้เปลี่ยนข้อจำกัดการเยี่ยมเด็กในโรงพยาบาลของพ่อแม่[15]

ในเอกสารที่เขาเขียนเพื่อองค์การอนามัยโลกในปี 2494 การดูแลของแม่และสุขภาพจิต (Maternal Care and Mental Health) โบลบี้ได้เสนอสมมติฐานว่า "ทารกและเด็กเล็ก ๆ ควรจะประสบกับความสัมพันธ์ที่อบอุ่น ใกล้ชิด และต่อเนื่องกับแม่ ที่ทั้งสองจะพบความพอใจและความสุข" ซึ่งถ้าขาดแล้วอาจมีผลทางสุขภาพจิตที่สำคัญและแก้ไม่ได้ ซึ่งต่อมาพิมพ์เป็นเอกสารสาธารณชนชื่อว่า การดูแลเด็กและการเพิ่มพูนความรัก (Child Care and the Growth of Love) สมมติฐานหลักของเอกสารเป็นเรื่องทรงอิทธิพลแต่ก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งมาก[16] เพราะว่า ในช่วงนั้น มีหลักฐานทางประสบการณ์ที่น้อยมากและไม่มีทฤษฎีที่ครอบคลุมที่สามารถอธิบายข้อสรุปเช่นนี้ได้[17]

อย่างไรก็ดี ทฤษฎีของโบลบี้ได้สร้างความสนใจอย่างพอสมควรในเรื่องธรรมชาติของความสัมพันธ์ในต้นชีวิต เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดงานวิจัยอย่างมากมายในประเด็นที่ยากและซับซ้อน[16] งานของโบลบี้ (และหนังของเพื่อร่วมงาน) เป็นเหตุการปฏิวัติการเยี่ยมเด็กที่โรงพยาบาลของพ่อแม่ การจัดเตรียมให้เด็กเล่นในโรงพยาบาล การใช้สถานเลี้ยงเด็กเพื่อความจำเป็นทางการศึกษาและทางสังคม ต่อมา ในประเทศพัฒนาโดยมาก สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจึงเลิกใช้เปลี่ยนเป็นการให้เลี้ยงเด็กในบ้านแทน[18]

ต่อจากการพิมพ์บทความเหล่านั้น โบลบี้ได้สืบหาความเข้าใจใหม่ ๆ จากสาขาชีววิทยาเชิงวิวัฒนาการ พฤติกรรมวิทยา จิตวิทยาพัฒนาการ ประชานศาสตร์ และทฤษฎีระบบควบคุม แล้วเสนออย่างสร้างสรรค์ว่า กลไกที่เป็นเหตุความผูกพันของทารกต่อผู้ดูแลเกิดจากความกดดันทางวิวัฒนาการ เขาจึงได้เริ่มสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการควบคุมแรงจูงใจและพฤติกรรมทางวิทยาศาสตร์แทนที่จะต่อเติมแบบจำลองทางจิตของซิกมุนด์ ฟรอยด์ โบลบี้ได้อ้างว่า ทฤษฎีความผูกพันเป็นตัวแก้ "ความขาดข้อมูลและขาดทฤษฎี ที่สัมพันธ์กับเหตุและผลที่อ้าง" ในเอกสาร การดูแลของแม่และสุขภาพจิต[19]

พฤติกรรมวิทยา

การสำรวจของทารกจะมากว่าเมื่อผู้ดูแลอยู่ใกล้ ๆ เพราะระบบความผูกพันไม่ต้องทำงาน เด็กจึงเป็นอิสระเพื่อจะสำรวจ

โบลบี้เริ่มสนใจในเรื่องพฤติกรรมวิทยาจากอิทธิพลของนักวิชาการ 3 ท่าน (รวมทั้งคอนแรด ลอเร็นซ์,[20] Nikolaas Tinbergen และ Robert Hinde[21][22]) โดยปี 2496 โบลบี้ได้กล่าวว่า "ถึงเวลาอันควรแล้วเพื่อรวมแนวคิดทางจิตวิเคราะห์กับแนวคิดทางพฤติกรรมวิทยา..."[23]

คอนแรด ลอเรนซ์ได้ตรวจสอบปรากฏการณ์การฝังใจ (imprinting) ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เฉพาะกับสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิด เป็นการเรียนรู้โดยการรู้จำอย่างรวดเร็วของสัตว์เล็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นกับสัตว์ชนิดเดียวกันหรือกับวัตถุที่เทียบกันได้อื่น ๆ ซึ่งเมื่อจำได้แล้ว สัตว์มักโน้มเอียงที่จะติดตาม

การเรียนรู้บางอย่างเป็นไปได้ แล้วแต่ละอย่าง ภายในช่วงระยะอายุจำกัดที่เรียกว่า critical period แนวคิดของโบลบี้รวมไอเดียว่า ความผูกพันเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ในช่วงอายุที่จำกัด โดยมีอิทธิพลจากพฤติกรรมของผู้ใหญ่ แม้เขาจะไม่ได้ใช้ไอเดียเกี่ยวกับ imprinting โดยตรงกับมนุษย์ แต่เขาก็พิจารณาว่าพฤติกรรมผูกพันอธิบายได้ดีที่สุดว่าเป็นสัญชาติญาณ ร่วมกับผลทางประสบการณ์ โดยเน้นความพร้อมเปลี่ยนที่เด็กมีเพื่อการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม[24] เมื่อต่อมาชัดเจนว่า ทฤษฎี impriting แตกต่างมากกว่าคล้ายคลึงกันกับทฤษฎีความผูกพัน จึงเลิกใช้การศึกษาแบบเปรียบเทียบกัน[25]

นักพฤติกรรมวิทยาได้ตั้งประเด็นว่า งานวิจัยที่เป็นมูลฐานของทฤษฎีมีหลักฐานเพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะการนำนัยจากพฤติกรรมสัตว์มาขยายใช้ในมนุษย์[26][27] ยังมีนักพฤติกรรมวิทยาที่วิจารณ์การใช้หลักพฤติกรรมวิทยาในทฤษฎีความผูกพันว่า ไม่ติดตามความก้าวหน้าใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในศาสตร์[28] นอกจากนั้น รูปแบบพฤติกรรมที่ใช้เป็นตัวบ่งชี้ความผูกพันก็ขยายเพิ่มขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 ซึ่งนักพฤติกรรมวิทยาก็ได้ตั้งความสงสัย[29]

กวางมูสที่เลี้ยงด้วยนมขวดนี้ได้เกิดความผูกพันกับคนดูแล

งานศึกษาในเด็กเล็ก ๆ ในสถานที่ทำเหมือนสถานจริงได้แสดงพฤติกรรมอย่างอื่นที่อาจเป็นตัวบ่งชี้ความผูกพัน ยกตัวอย่างเช่น อยู่ใกล้ ๆ แม่โดยแม่ไม่ต้องพยายามทำอะไร เก็บของเล็ก ๆ แล้วนำมาให้แม่แต่ไม่ให้คนอื่น[30] แม้ว่านักพฤติกรรมวิทยามักจะเห็นด้วยกับโบลบี้ แต่ก็ยืนยันให้หาข้อมูลเพิ่ม โดยค้านการเขียนของนักจิตวิทยาว่าเหมือนกันมี "อะไรบางอย่างที่เป็น 'ความผูกพัน' นอกเหนือไปจากสิ่งที่วัดและเห็นได้"[31] แต่ว่า ก็มีนักพฤติกรรมวิทยา (Robert Hinde) ที่พิจารณาคำว่า "ระบบพฤติกรรมผูกพัน (attachment behaviour system)" ว่าเป็นคำที่เหมาะสมโดยไม่มีปัญหาอย่างเดียวกัน "เพราะว่ามันหมายถึงระบบควมคุมสมมุติที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมต่าง ๆ กัน"[32]

การอพยพหลบภัยของเด็กนักเรียนญี่ปุ่นที่ยิ้ม ๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจากหนังสือ ถนนสู่หายนะ (Road to Catastrophe)

จิตวิเคราะห์

แนวคิดทางจิตวิเคราะห์มีอิทธิพลต่อมุมมองเรื่องความผูกพันของโบลบี้ โดยเฉพาะสังเกตการณ์ในเด็กเล็ก ๆ ที่ถูกพรากจากคนดูแลที่คุ้นเคยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง[33] แต่ว่า โบลบี้ปฏิเสธคำอธิบายทางจิตวิเคราะห์เกี่ยวกับความผูกพันของเด็กทารกรวมทั้ง drive theory ซึ่งแสดงว่าแรงจูงใจในการผูกพันมาจากการสนองความหิวและสัญชาตญาณทางเพศ ในแนวคิดของเขา แนวคิดจิตวิเคราะห์นี้ล้มเหลวเพราะไม่เห็นความผูกพันว่า เป็นปรากฏการณ์ทางจิตอีกอย่างที่นอกเหนือไปจากสัญชาตญาณการกินและเรื่องเพศ[34] โดยอาศัยแนวคิดจากทฤษฎีวิวัฒนาการ โบลบี้ได้ระบุสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นความผิดพลาดขั้นพื้นฐานของจิตวิเคราะห์ ซึ่งก็คือ การเน้นว่าเป็นภัยภายในไม่ใช่เป็นภัยภายนอกมากเกินไป และมุมมองว่าบุคลิกภาพพัฒนาเป็นระยะ ๆ เป็นแนวเส้นตรง โดยอาจย้อนกลับ (regression) ไปยังจุดใดจุดหนึ่งเมื่อเกิดความทุกข์

โบลบี้เสนอว่า พัฒนาการที่แยกเป็นหลายเส้นเป็นไปได้ และผลที่ได้จะขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ในทฤษฎีความผูกพัน นี่หมายความว่าแม้ว่าเด็กมีแนวโน้มที่จะเกิดความผูกพัน แต่ธรรมชาติของความผูกพันขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เด็กได้[35] เริ่มตั้งแต่ระยะต้นของการพัฒนาทฤษฎี มีข้อวิจารณ์ว่าทฤษฎีไม่เข้ากับสาขาต่าง ๆ ของจิตวิเคราะห์ แนวคิดของโบลบี้ทำให้เขาถูกวิจารณ์โดยคนที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ที่กำลังทำงานในเรื่องเดียวกัน[36][37][38]

แบบจำลองใช้งานภายใน

นักปรัชญาคนหนึ่ง (Kenneth Craik) ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับความสามารถของความคิดที่จะพยากรณ์เหตุการณ์ ซึ่งเขาเน้นว่ามีคุณค่าทางการอยู่รอดและจะมีการคัดเลือกโดยธรรมชาติสำหรับความสามารถนี้ แบบจำลองใช้งานภายใน (internal working model) ช่วยให้บุคคลลองตามทางเลือกในใจ โดยใช้ความรู้ในอดีตเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ปัจจุบันและอนาคต โบลบี้ได้ใช้แนวคิดนี้กับความผูกพัน เมื่อนักจิตวิทยาพวกอื่นกำลังใช้แนวคิดนี้กับการรับรู้และการรู้คิดของผู้ใหญ่[39]

แบบจำลองใช้งานภายในของทารกจะพัฒนาขึ้นตามประสบการณ์ของผลที่ได้รับเมื่อพยายามเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ ถ้าผู้ดูแลยอมรับพฤติกรรมเช่นนี้แล้วให้โอกาส ทารกก็จะพัฒนาความผูกพันแบบมั่นใจ ถ้าคนดูแลไม่ให้โอกาสอย่างคงที่คงวา รูปแบบหลีกเลี่ยงก็จะเกิดขึ้น และถ้าผู้ดูแลให้โอกาสแต่ไม่สม่ำเสมอ แบบคละก็จะเกิดขึ้น[40]

ส่วนในมารดา แบบจำลองใช้งานภายในที่อำนวยให้เกิดความสัมพันธ์แบบผูกพันกับทารกของเธอ จะสามารถเข้าถึงได้โดยตรวจเครื่องหมายทางจิตที่เป็นตัวแทนสิ่งภายนอก (mental representation)[a][43][44] งานวิจัยที่ตีพิมพ์ปี 2558 แสดงว่า การอธิบายเหตุในเหตุการณ์ของแม่ (attribution) ที่ใช้บ่งชี้เครื่องหมายทางจิตที่เป็นตัวแทนสิ่งภายนอก (mental representation) สามารถสัมพันธ์กับโรคจิตของแม่บางอย่าง ซึ่งสามารถเปลี่ยนได้ภายในระยะค่อนข้างสั้นโดยใช้การแทรกแซงทางจิตบำบัด[45]

กราฟแสดงการกระจายตัวของรูปแบบความผูกพันในประเทศสหรัฐอเมริกา เยอรมนี และญี่ปุ่น

การพัฒนา

ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ปัญหาในการมองความผูกพันว่าเป็นลักษณะนิสัย (trait) คือลักษณะที่ค่อนข้างเสถียรในบุคคล แทนที่จะเป็นรูปแบบพฤติกรรมอย่างหนึ่ง ที่มีหน้าที่และผลที่ให้ถึงเป้าหมาย ทำให้นักวิชาการบางท่านสรุปว่า พฤติกรรมความผูกพันควรจะเข้าใจโดยหน้าที่ของมันต่อชีวิตของเด็ก[46] แนวคิดนี้เห็นความเป็นเสาหลักของผู้ดูแลว่าเป็นเรื่องสำคัญทางตรรกะ ต่อความคล้องจองกัน และต่อสถานะของทฤษฎีความผูกพัน ในฐานะเป็นบทสร้าง (construct) ที่ช่วยจัดระเบียบ[47] ดังนั้น จึงมีการตรวจสอบว่า ความผูกพันจะเหมือนกันในมนุษย์วัฒนธรรมต่าง ๆ หรือไม่[48] งานวิจัยพบว่า แม้จะมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมบ้าง แต่รูปแบบพื้นฐาน 3 อย่าง คือ มั่นใจ (secure) หลีกเลี่ยง (avoidant) และคละ (ambivalent) สามารถพบได้ในทุกวัฒนธรรมที่ศึกษา แม้กระทั่งในวัฒนธรรมที่การนอนอยู่รวมกันจะเป็นเรื่องปกติ

งานวิจัยแสดงวา รูปแบบความผูกพันเหมือนกันในวัฒนธรรมต่าง ๆ แม้ว่าการแสดงความผูกพันอาจจะต่างกันบ้าง

เด็กในวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่ศึกษามักมีรูปแบบความผูกพันแบบมั่นใจ ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้เพราะทฤษฎีความผูกพันกำหนดว่า ทารกจะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมโดยเลือกกลยุทธ์พฤติกรรมที่ดีที่สุด[49] แต่การแสดงความผูกพันจะต่างกันในวัฒนธรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องต้องกำหนดก่อนจะทำงานวิจัยในด้านอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น คน Gusii ทักทารกด้วยการจับมือแทนที่จะกอด ดังนั้น ทารกที่ผูกพันแบบมั่นใจจะหวังและสืบหาพฤติกรรมเช่นนี้ และวัฒนธรรมต่าง ๆ มีอัตราการกระจายของรูปแบบที่ไม่มั่นใจต่าง ๆ กันขึ้นอยู่กับวิธีเลี้ยงเด็ก[49]

ในปี 2517 นักจิตวิทยาคนหนึ่ง (Michael Rutter) ศึกษาความสำคัญในการแยกแยะระหว่างผลของการขาดความผูกพันต่อพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา กับผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์ในเด็ก[50] เขาได้สรุปว่า ลักษณะของแม่ต้องมีการระบุและแยกแยะก่อนที่จะมีความก้าวหน้าในเรื่องนี้

ปัญหาใหญ่ที่สุดต่อแนวคิดว่าทฤษฎีนี้ทั่วไปในมนุษย์ทั้งหมดมาจากงานศึกษาที่ทำในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอ้างว่าแนวคิดเรื่อง amae มีบทบาทสำคัญเมื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว คือ amae เป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงเมื่อเรียกร้องให้บุคคลที่มีอำนาจกว่า เช่น พ่อแม่ คู่ครอง ครู หรือเจ้านายให้ช่วยดูแลตนเอง ซึ่งอาจจะเป็นการขอหรือแม้แต่ทำงอนโดยรู้ว่าพฤติกรรมจะมีผลตามที่ต้องการ ดังนั้น จึงมีข้อขัดแย้งว่า เกณฑ์วิธีสถานการณ์แปลกใช้ได้หรือไม่ในที่ที่ amae เป็นพฤติกรรมปกติ

ถึงเช่นนั้น งานวิจัยโดยมากมักจะยืนยันความทั่วไปของทฤษฎีนี้ในวัฒนธรรมต่าง ๆ[49] งานวิจัยล่าสุดปี 2550 ที่ทำในนครซัปโปะโระพบว่า การกระจายตัวของพฤติกรรมความผูกพันที่ศึกษาเข้ากับเกณฑ์ปกติทั่วโลก (โดยใช้แบบวัด six-year Main and Cassidy scoring system)[51][52]

นักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยในคริสต์ทศวรรษ 1990 (เช่น ดร. จูดิธ แฮร์ริส, ศ. ดร. สตีเฟน พิงเกอร์ และ ศ. ดร. เจโรม เคแกน) โดยทั่วไปตั้งความสงสัยในเรื่องทารกนิยัตินิยม (infant determinism) ที่ถกประเด็นว่าเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์หรือการเลี้ยงดู คือสงสัยการเน้นผลของประสบการณ์ที่ได้ภายหลังต่อบุคลิกภาพของเด็ก[53][54][55] โดยเป็นการเสริมงานเรื่องพื้นอารมณ์แต่กำเนิด (temperament) ดร. เคแกนไม่เห็นด้วยกับข้อสมมุติทางพฤติกรรมวิทยาเกือบทุกอย่างที่ทฤษฎีความผูกพันมีมูลฐาน คือ ดร. เคแกนอ้างว่า กรรมพันธุ์สำคัญต่อพัฒนาการมากกว่าผลแบบชั่วคราวจากสิ่งแวดล้อมที่มีในเบื้องต้นชีวิต ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่มีพื้นอารมณ์แต่กำเนิดไม่ดี จะไม่ชวนให้ผู้ดูแลตอบสนองแบบไวความรู้สึก

แต่ความขัดแย้งนี้ได้ทำให้เกิดงานวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูลจากงานศึกษาตามยาวที่กำลังเพิ่มพูนขึ้นต่อ ๆ มา และงานก็ไม่ได้พบหลักฐานยืนยันข้ออ้างของ ดร. เคแกน ซึ่งอาจจะหมายความว่า มันขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้ดูแลที่จะสร้างสไตล์ความผูกพันในเด็ก แต่ว่าการแสดงออกอาจจะต่าง ๆ กันไปเนื่องจากพื้นอารมณ์แต่กำเนิดของเด็ก[56] ส่วน ดร. แฮร์ริสและ ดร. พิงเกอร์ ได้เสนอแนวคิดว่า อิทธิพลของพ่อแม่ต่อเด็กกล่าวกันเกินจริง โดยอ้างว่า กระบวนการเข้าสังคมของเด็กเกิดขึ้นโดยหลักในกลุ่มเพื่อน ๆ มีจนถึงนักวิชาการที่ได้สรุปว่า พ่อแม่และเพื่อนมีหน้าที่ต่างกัน และมีบทบาทที่ต่างกันในพัฒนาการของเด็ก[57]

นักจิตวิทยา/จิตวิเคราะห์คู่หนึ่ง (Peter Fonagy และ Mary Target) ได้พยายามเชื่อมทฤษฎีความผูกพันและจิตวิเคราะห์ให้ใกล้กันยิ่งขึ้นผ่านแนวคิดทางประสาทวิทยา คือ ทฤษฎีจิต (theory of mind, mentalization) ซึ่งเป็นสมรรถภาพของมนุษย์ที่จะคาดเดาความคิด ความรู้สึก และความตั้งใจที่เป็นเหตุของพฤติกรรมแม้ที่ละเอียดอ่อนเช่น สีหน้า ของคนอื่น โดยสามารถเดาอย่างแม่นยำจนถึงระดับหนึ่ง[58] มีการเก็งว่าความเชื่อมต่อระหว่างทฤษฎีจิตและแบบจำลองใช้งานภายในอาจทำให้เกิดการศึกษาในเรื่องใหม่ ๆ ซึ่งในที่สุดจะเป็นตัวเปลี่ยนทฤษฎีความผูกพัน[59]

เริ่มตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 ทฤษฎีความผูกพันและจิตวิเคราะห์ก็ได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น โดยเหตุความคิดที่มีร่วมกันกับนักทฤษฎีและนักวิจัยเรื่องความผูกพัน และความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดในจิตวิเคราะห์ คือ แบบจำลองทางจิตวิเคราะห์คือ Object relations ซึ่งเน้นความสำคัญของความสัมพันธ์กับคนอื่นโดยเฉพาะ ได้กลายเป็นทฤษฎีหลัก ซึ่งเชื่อมกับความเข้าใจที่กำลังเพิ่มขึ้นในวงจิตวิเคราะห์ ถึงความสำคัญของพัฒนาการของทารกโดยความสัมพันธ์และโดยเครื่องหมายภายในที่เป็นตัวแทนสิ่งภายนอก[a] คือ วงการจิตวิเคราะห์ได้ยอมรับสภาพแวดล้อมในชีวิตเบื้องต้นว่าเป็นตัวการในพัฒนาการของเด็ก รวมถึงปัญหาการบอบช้ำทางจิตใจในวัยเด็กด้วย ดังนั้น จึงเกิดคำอธิบายทางจิตวิเคราะห์ในเรื่องระบบความผูกพันและวิธีการรักษา โดยเกิดขึ้นพร้อมกับความเข้าใจว่าจำเป็นต้องมีการวัดผลของการรักษา[60]

นักวิชาการที่ได้ตรวจสอบความผูกพันในวัฒนธรรมที่ไม่ใช่ของคนตะวันตก ได้สังเกตเห็นความเกี่ยวข้องกันระหว่างทฤษฎีความผูกพันกับครอบครัวชาวตะวันตก และกับรูปแบบการเลี้ยงลูกที่ทั่วไปในสมัยของจอห์น โบลบี้

ประเด็นหนึ่งที่งานวิจัยเพ่งก็คือปัญหาของเด็กที่มีประวัติความผูกพันที่ไม่ดี รวมทั้งเด็กที่ดูแลโดยคนอื่นไม่ใช่พ่อแม่ ความกังวลเรื่องให้คนอื่นดูแลเด็กค่อนข้างรุนแรงในประเทศตะวันตกช่วงปลายคริสต์ศศวรรษที่ 20 ซึ่งมีนักวิชาการบางท่านที่เน้นผลอันตรายของสถานที่เลี้ยงเด็ก[61] โดยเป็นผลจากความขัดแย้งเช่นนี้ การฝึกคนดูแลเด็กจึงได้เริ่มเน้นประเด็นความผูกพัน รวมทั้งความจำเป็นที่จะสร้างความสัมพันธ์กับเด็กโดยให้มีคนดูแลคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ แม้ว่า น่าจะมีเพียงสถานเลี้ยงเด็กคุณภาพสูงเท่านั้นที่สามารถทำอย่างนี้ได้ แต่ทารกก็ได้รับการดูแลอย่างผูกพันดีขึ้นในสถานที่เลี้ยงเด็กเทียบกับในอดีต[62]

การทดลองที่เป็นเองตามธรรมชาติทำให้สามารถทำการศึกษาอย่างกว้างขวางในประเด็นความผูกพัน เมื่อนักวิจัยติดตามเด็กกำพร้าชาวโรมาเนียเป็นพัน ๆ ที่ได้รับเลี้ยงเป็นลูกในครอบครัวชาวตะวันตกหลังยุติการปกครองของประเทศโดยนายนิโคไล เชาเชสกู กลุ่มนักวิจัยติดตามเด็กบางคนจนถึงช่วงวัยรุ่น เพื่อพยายามไขผลของความผูกพันที่ไม่ดี การรับเลี้ยงเป็นบุตร ความสัมพันธ์ใหม่ ปัญหาทางกายและทางการแพทย์ที่สัมพันธ์กับชีวิตในเบื้องต้น งานศึกษาเด็กที่ได้รับเลี้ยงเหล่านี้ ที่มีสภาพเบื้องต้นที่น่าตกใจ มีผลที่ให้ความหวัง คือ เด็กจำนวนมากพัฒนาขึ้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งนักวิจัยให้ข้อสังเกตว่า การพรากจากคนที่คุ้นเคยเป็นเพียงแค่ปัจจัยเดียวในปัจจัยหลายอย่างที่กำหนดคุณภาพทางพัฒนาการของเด็ก[63] แม้ว่าจะพบรูปแบบความผูกพันแบบ่ไม่มั่นใจที่ไม่ทั่วไป (atypical insecure attachment) ในอัตราที่สูงกว่าเด็กที่เกิดในประเทศหรือที่รับเลี้ยงเมื่อเด็กกว่า เด็กที่รับมาเลี้ยงเมื่อโตกว่าประมาณ 70% ไม่แสดงพฤติกรรมที่แสดงความผูกพันผิดปกติที่รุนแรงหรือชัดเจน[64]

นักวิชาการที่ได้ตรวจสอบความผูกพันในวัฒนธรรมที่ไม่ใช่ของคนตะวันตกสังเกตเห็นความเกี่ยวข้องระหว่างทฤษฎีความผูกพันกับครอบครัวชาวตะวันตก และกับรูปแบบการเลี้ยงลูกชาวตะวันตกที่ทั่วไปในสมัยของจอห์น โบลบี้[65]

เมื่อการดูแลเด็กเปลี่ยนไป ประสบการณ์ทางความผูกพันของเด็กก็อาจเปลี่ยนไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนทัศนคติทางสังคมเรื่องทางเพศของหญิง ได้เพิ่มเด็กเป็นจำนวนมาก ผู้อยู่กับแม่ที่ยังไม่เคยแต่งงานหรือผู้ได้รับการดูแลนอกบ้านเมื่อแม่ไปทำงาน ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเช่นนี้ทำให้ผู้ที่ไม่มีลูก ลำบากในการรับทารกมาเลี้ยงในประเทศของตนมากขึ้น ได้มีการรับเด็กที่โตกว่ามาเลี้ยงเพิ่มขึ้น และได้เด็กมาจากประเทศที่กำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว และการรับเด็กมาเลี้ยงและการให้กำเนิดเด็กในคู่ชีวิตเพศเดียวกันก็ได้เพิ่มขึ้นและได้รับการรับรองป้องกันทางกฎหมาย เทียบกับสถานะที่ต่างกันในช่วงสมัยของโบลบี้[66]

มีผู้ที่ยกปัญหาว่า ลักษณะความผูกพันที่แบ่งเป็นสอง (dyadic model) ของทฤษฎีไม่สามารถอธิบายความซับซ้อนของประสบการณ์ทางสังคมในชีวิตจริง ๆ ได้ เพราะว่าทารกบ่อยครั้งมีความสัมพันธ์กับคนหลายคนในครอบครัวและในสถานที่เลี้ยงเด็ก[67] และความสัมพันธ์กับคนต่าง ๆ จะมีอิทธิพลต่อกันและกัน อย่างน้อยก็ภายในครอบครัว[68]

หลักทฤษฎีความผูกพันได้ใช้อธิบายพฤติกรรมทางสังคมของผู้ใหญ่ รวมทั้งการจับคู่ ภาวะความเป็นเด่นในสังคม (social dominance) โครงสร้างอำนาจที่แบ่งเป็นชั้น ๆ การระบุคนพวกเดียวกัน[69] การร่วมมือในกลุ่ม การต่อรองเพื่อการแลกเปลี่ยน/การพึ่งพาอาศัยกัน และความยุติธรรม[70] เป็นคำอธิบายที่ใช้ออกแบบการฝึกอบรมพ่อแม่ในการดูแลลูก และประสบความสำเร็จเป็นพิเศษในการออกแบบโปรแกรมป้องกันทารุณกรรมต่อเด็ก[71]

แม้ว่าจะมีงานมากมายหลายประเภทที่สนับสนุนหลักพื้นฐานของทฤษฎีความผูกพัน แต่งานวิจัยก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า ความผูกพันในชีวิตเบื้องต้นที่รายงานเอง สัมพันธ์กับความซึมเศร้าที่เกิดขึ้นภายหลังหรือไม่[72]

ชีววิทยาของความผูกพัน

นอกจากจะมีงานศึกษาตามยาวต่าง ๆ แล้ว ยังมีงานวิจัยทางจิตสรีรวิทยาเกี่ยวกับชีววิทยาของความผูกพันด้วย[73] รวมทั้งด้านการเติบโตทางสมอง (neural development)[74] พันธุศาสตร์ทางพฤติกรรม และแนวคิดพื้นอารมณ์แต่กำเนิด (temperament)[56]

โดยทั่วไปแล้วพื้นอารมณ์แต่กำเนิดและความผูกพันเป็นคนละเรื่องกัน แต่ว่าด้านต่าง ๆ ของแนวคิดทั้งสองมีผลต่อพัฒนาการระหว่างบุคคลและภายในบุคคล[56] พื้นอารมณ์แต่กำเนิดบางอย่างอาจทำให้บุคคลเสี่ยงต่อความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ที่เชื่อใจไม่ได้หรือเป็นปฏิปักษ์กับคนดูแลในชีวิตต้น ๆ[75] เมื่อไม่มีผู้ดูแลที่เข้าถึงได้หรือไวความรู้สึก เด็กบางคนปรากฏว่าเสี่ยงต่อความผิดปกติทางความผูกพัน (attachment disorder)[76]

ในการวิจัยทางจิตสรีรวิทยา ประเด็นศึกษาหลักก็คือ การตอบสนองโดยอัตโนวัติ เช่น การเต้นหัวใจหรือการหายใจ และการทำงานของสมองเขตแกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล มีการวัดการตอบสนองทางสรีรภาพของทารกเมื่อกำลังทำเกณฑ์วิธีสถานการณ์แปลก เพื่อตรวจสอบความแตกต่างระหว่างบุคคลในพื้นอารมณ์แต่กำเนิดของทารก และขอบเขตที่ความผูกพันอาจเป็นตัวช่วยบรรเทา มีหลักฐานว่า การดูแลที่ดีมีผลต่อพัฒนาการของระบบประสาทที่ควบคุมความเครียด[73]

อีกประเด็นหนึ่งก็คือบทบาทของปัจจัยทางกรรมพันธุ์ต่อรูปแบบของความผูกพัน ยกตัวอย่างเช่น ภาวะพหุสัณฐานของการเข้ารหัสของยีนตัวรับโดปามีน D2 สัมพันธ์กับความผูกพันแบบวิตกกังวล และของยีนตัวรับเซโทนิน 5-HT2A สัมพันธ์กับความผูกพันแบบหลีกเลี่ยง[77] ซึ่งแสดงว่า อิทธิพลของการดูแลของแม่ต่อความผูกพันแบบมั่นใจ/ไม่มั่นใจของเด็กไม่ใช่เหมือนกันทุกคน มีนักวิชาการที่เสนอว่า มันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลทางชีวภาพที่เด็กจะได้รับอิทธิพลจากการดูแลในระดับต่าง ๆ กัน เพราะความต่าง ๆ กันเหล่านี้สามารถมองได้ว่าเป็นการปรับตัวที่ให้ผลบวกทางสังคมและทางกายภาพโดยขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมทางสังคม ที่ต่าง ๆ กัน[78][79]

การประยุกต์ใช้

โดยเป็นทฤษฎีพัฒนาการทางสังคม-อารมณ์อย่างหนึ่ง ทฤษฎีความผูกพันแสดงนัยที่นำไปประยุกต์ใช้ได้ในนโยบายทางสังคมของรัฐ ในการตัดสินใจเรื่องการดูแล เรื่องสวัสดิภาพ และเรื่องสุขภาพจิตของเด็ก

นโยบายดูแลเด็ก

นโยบายทางสังคมเกี่ยวกับการดูแลเด็กเป็นแรงจูงใจหลักที่จอห์น โบลบี้พัฒนาทฤษฎีความผูกพันขึ้น ส่วนที่ยากก็คือการประยุกต์ใช้แนวคิดในนโยบายและการปฏิบัติจริง[80] ในปี 2551 ศาตราจารย์จิตแพทย์เด็กชาวอเมริกัน (C.H. Zeanah) และเพื่อนร่วมงานกล่าวว่า "การสนับสนุนให้มีความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่-ลูกตั้งแต่ต้นชีวิตเริ่มกลายเป็นเป้าหมายเด่นของผู้ทำการทางสุขภาพจิต ผู้ให้ความดูแลในชุมชน และผู้ก่อตั้งนโยบาย... ทฤษฎีและงานวิจัยเกี่ยวกับความผูกพันได้แสดงแนวคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กในระยะต้น ๆ และได้จุดชนวนให้สร้างโปรแกรมสนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก-พ่อแม่ตั้งแต่ต้น ๆ"[81]

โดยประวัติแล้ว ทฤษฎีความผูกพันมีผลสำคัญทางนโยบายสำหรับเด็กที่อยู่ในโรงพยาบาลหรืออยู่ในสถานสงเคราะห์ดูแล และสำหรับเด็กที่อยู่ในสถานที่เลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพไม่ดี[82] ส่วนประเด็นที่ยังไม่ยุติก็คือ การดูแลของคนที่ไม่ใช่แม่ โดยเฉพาะที่ทำเป็นกลุ่ม จะมีผลอันตรายต่อพัฒนาการทางสังคมของเด็กหรือไม่ มันชัดเจนในงานวิจัยว่า การดูแลที่ไม่ดีก่อความเสี่ยง และผู้ที่ได้การดูแลดีก็ได้ผลดีแม้ว่ายากที่จะให้การดูแลที่ดีโดยทำเป็นรายบุคคล ในสถานที่ ๆ ทำเป็นกลุ่ม (เช่นในสถานที่เลี้ยงเด็กเป็นต้น)[80]

ทฤษฎีความผูกพันมีผลต่อคดีพิพาทเรื่องการกำหนดที่อยู่ของเด็กและโอกาสการเยี่ยมลูกหลังพ่อแม่หย่ากัน[82] และต่อพ่อแม่ที่รับเด็กอื่นมาเลี้ยง ในอดีต โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือ ทฤษฎีที่ใช้เป็นโครงคือจิตวิเคราะห์ แต่ทฤษฎีความผูกพันได้ทดแทนทฤษฎีจิตวิเคราะห์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงเปลี่ยนไปมุ่งที่คุณภาพและความสืบต่อของความสัมพันธ์กับผู้ดูแล แทนที่จะมุ่งความเป็นอยู่ทางฐานะหรือสิทธิที่ได้ก่อนของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่น ของแม่ที่คลอดบุตร ในปี 2542 นักจิตวิทยาคนหนึ่ง (Michael Rutter) ให้ข้อสังเกตว่าในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ปี 2523 ศาลครอบครัวได้เปลี่ยนไปอย่างสำคัญเป็นการยอมรับความซับซ้อนทางความสัมพันธ์ที่มาจากความผูกพัน[83]

เด็กมักจะผูกพันกับทั้งพ่อแม่และบ่อยครั้งกับปู่ย่าตายายและญาติอื่น ๆ เมื่อตัดสิน ศาลต้องพิจารณาเรื่องนี้รวมทั้งอิทธิพลจากครอบครัวใหม่ ทฤษฎีความผูกพันเป็นหลักสำคัญที่เน้นความสัมพันธ์ทางสังคมแบบพลวัตแทนที่จะเป็นอะไรที่อยู่นิ่ง ๆ[80] ทฤษฎียังสามารถช่วยตัดสินใจในงานสงเคราะห์สังคม โดยเฉพาะที่ช่วยบุคคลให้เข้าถึงศักยภาพของตนในชีวิต (humanistic social work)[84][85] และกระบวนการทางกฎหมายที่ตัดสินให้เลี้ยงเด็กหรือส่งเด็กไปอยู่ในที่ต่าง ๆ เพราะว่าการพิจารณาความจำเป็นทางความผูกพันของเด็กสามารถช่วยกำหนดความเสี่ยงที่เกิดจากข้อตัดสิน[86][87]

ในเรื่องรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม การเปลี่ยนการรับแบบปิด (ไม่บอกให้เด็กรู้ถึงญาติจริง ๆ) ไปเป็นแบบเปิด และการให้ความสำคัญในการสืบหาพ่อแม่จริง ๆ เป็นเรื่องที่คาดหวังได้โดยอาศัยทฤษฎี และก็มีนักวิจัยที่ทำงานในสาขาที่ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีอย่างสูง[80]

เด็กมักจะผูกพันกับทั้งพ่อแม่และบ่อยครั้งกับปู่ย่าตายายและญาติอื่น ๆ

การรักษาเด็ก

แม้ว่าทฤษฎีความผูกพันจะได้กลายมาเป็นทฤษฎีสำคัญทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องพัฒนาการทางสังคม-อารมณ์ โดยมีการวิจัยที่กว้างขวางที่สุดในสาขาจิตวิทยาแบบปัจจุบัน แต่ว่ามันก็ไม่ได้ใช้ในการรักษาเด็กจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะโบลบี้ไม่ได้สนใจเรื่องการรักษา และอีกส่วนหนึ่งเนื่องจากความหมายที่กว้างขวางของคำว่า attachment (ความผูกพัน) ในหมู่ผู้ทำการรักษา และอาจเป็นเพราะการสัมพันธ์ทฤษฎีกับวิธีการรักษาที่เป็นวิทยาศาสตร์เทียมซึ่งเรียกอย่างให้เข้าใจผิดได้ง่ายว่า attachment therapy[88]

การป้องกันและการรักษา

ในปี 2531 จอห์น โบลบี้ได้เผยแพร่เล็กเช่อร์ชุดหนึ่งที่บ่งชี้ว่า ทฤษฎีและงานวิจัยเกี่ยวกับความผูกพันสามารถใช้เพื่อเข้าใจและบำบัด ทั้งเด็กและความผิดปกติในครอบครัวได้อย่างไร เขาพุ่งความสนใจไปที่การเปลี่ยนแบบจำลองใช้งานภายในของพ่อแม่ พฤติกรรมของพ่อแม่ และความสัมพันธ์ของพ่อแม่กับผู้รักษา[89]

งานวิจัยที่ยังเป็นไปอยู่ได้สร้างวิธีการรักษาแบบรายบุคคลและโปรแกรมการป้องกันและการแทรกแซง[89] มีทั้งการรักษารายบุคคล โปแกรมสาธารณสุข และแม้แต่โปรแกรมการแทรกแซงออกแบบสำหรับพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงดูเด็ก สำหรับทารกและเด็กเล็ก ๆ ความสนใจอยู่ที่การเพิ่มการตอบสนองและความไวความรู้สึกของผู้ดูแล และถ้านั่นเป็นไปไม่ได้ ให้คนอื่นเลี้ยงเด็กแทน[90][91] การประเมินสถานะความผูกพันหรือการดูแลตอบสนองมักจะรวมอยู่ด้วย เพราะว่า ความผูกพันเป็นกระบวนการแบบถนนสองทางซึ่งรวมพฤติกรรมผูกพันบวกกับการตอบสนองของผู้ดูแล มีโปรแกรมบางอย่างที่มุ่งพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเด็ก เพราะว่าพฤติกรรมผูกพันของทารกและเด็กที่มีปัญหาเรื่องความผูกพัน บ่อยครั้งไม่น้อมผู้ดูแลให้ตอบสนองอย่างสมควร โดยโปรแกรมการป้องกันและการแทรกแซงมีผลสำเร็จโดยสมควร[92]

ความผิดปกติทางความผูกพัน

รูปแบบความผูกพันที่ไม่ปกติอย่างหนึ่งพิจารณาว่าเป็นโรค โดยเรียกว่า reactive attachment disorder (ตัวย่อ RAD ความผิดปกติทางความผูกพันแบบปฏิกิริยา) ในเกณฑ์วินิจฉัยทางจิตเวช (ICD-10 F94.1/2 และ DSM-IV-TR 313.89) แต่นี่ไม่เหมือนกับความผูกพันแบบไม่มีระเบียบ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างสามัญ

ลักษณะหลักของโรคก็คือความสัมพันธ์ทางสังคมที่มีปัญหาหรือไม่สมวัยในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เริ่มก่อนอายุ 5 ขวบเพราะเหตุการดูแลที่แย่ถึงทำให้เป็นโรค (gross pathological care) มีแบบย่อยสองอย่าง อย่างแรกเป็นรูปแบบความผูกพันแบบไม่ยับยั้ง และอีกรูปแบบหนึ่งเป็นแบบยับยั้ง แต่ RAD ไม่ใช่สไตล์ความผูกพันแบบไม่มั่นใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าสไตล์นั้นจะสร้างปัญหาแค่ไหน แต่ว่า เป็นตัวบ่งชี้พฤติกรรมความผูกพันที่ไม่สมวัย ที่อาจปรากฏเหมือนกับความผิดปกติอย่างอื่น ๆ[93]

แม้ว่าอาจจะมีการใช้ชื่อโรคนี้ในปัญหาพฤติกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ตรงเกณฑ์ของ DSM หรือ ICD โดยเฉพาะที่ปรากฏในเว็บไซต์และที่เกี่ยวโยงการรักษาแบบวิทยาศาสตร์เทียม คือ attachment therapy ความผิดปกตินี้เชื่อว่ามีน้อยมาก[94]

ส่วนคำว่า "Attachment disorder" เป็นคำที่กำกวม ซึ่งอาจหมายถึง RAD หรือหมายถึงสไตล์ความผูกพันแบบไม่มั่นใจที่สร้างปัญหา (แม้ว่า สไตล์เหล่านั้นจะไม่จัดเป็นโรค) ใช้ใน attachment therapy โดยเป็นการวินิจฉัยที่ไม่มีการวัดความสมเหตุสมผลทางวิทยาศาสตร์[94] และยังอาจจะหมายถึงเกณฑ์วินิจฉัยใหม่ที่กำลังเสนอโดยนักทฤษฎีในสาขาอีกด้วย[95] โดยเกณฑ์วินิจฉัยใหม่อย่างหนึ่งก็คือ secure base distortion (ความบิดเบือนของเสาหลัก) ที่พบว่าสัมพันธ์กับความบอบช้ำทางจิตใจของผู้ดูแล[96]

การรักษาสำหรับผู้ใหญ่และครอบครัว

เนื่องจากทฤษฎีความผูกพันแสดงมุมมองที่กว้างขวางลึกซึ้งของชีวิตมนุษย์ มันสามารถช่วยให้ผู้รักษาเข้าใจคนไข้และความสัมพันธ์กับคนไข้ได้ดีขึ้น แต่ไม่ใช่เป็นตัวกำหนดรูปแบบการรักษาอย่างใดอย่างหนึ่ง[97] การบำบัดโดยจิตวิเคราะห์บางอย่างสำหรับผู้ใหญ่ ก็ใช้ทฤษฎีความผูกพันด้วย[97][98]

เชิงอรรถ

  1. 1.0 1.1 mental representation (เครื่องหมายทางจิตที่เป็นตัวแทนสิ่งภายนอก) หรือ cognitive representation (การรู้คิดที่เป็นตัวแทนสิ่งภายนอก) ในสาขาต่าง ๆ รวมทั้งจิตปรัชญา จิตวิทยาทางประชาน และประสาทวิทยาศาสตร์ สมมุติว่าหมายถึงเครื่องหมาย/สัญลักษณะ (symbol) ภายในใจที่ใช้เป็นตัวแทนสิ่ง/ความจริงภายนอก[41] หรือเป็นกระบวนการทางจิต (mental process) ที่ใช้สัญลักษณ์/เครื่องหมายเช่นนั้น คือเป็น "ระบบโดยแบบแผนที่สร้างวัตถุหรือรูปแบบข้อมูลให้เป็นรูปธรรมพร้อมกับวิธีที่ระบบทำเช่นนี้"[42]

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 1.2 Waters, E; Kondo-Ikemura, K; Posada, G; Richters, J (1991). Gunnar, M; Sroufe, T (บ.ก.). "Learning to love: Mechanisms and milestones". Minnesota Symposia on Child Psychology. Hillsdale, NJ: Erlbaum. 23 (Self-Processes and Development).{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  2. Marvin, RS; Britner, PA (2008). "Normative Development: The Ontogeny of Attachment". ใน Cassidy, J; Shaver, PR (บ.ก.). Handbook of Attachment: Theory, Research and Clinical Applications. New York and London: Guilford Press. pp. 269–94. ISBN 978-1-59385-874-2.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  3. Hazan, C; Shaver, PR (1987-03). "Romantic love conceptualized as an attachment process". Journal of Personality and Social Psychology. 52 (3): 511–24. doi:10.1037/0022-3514.52.3.511. PMID 3572722. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  4. Hazan, C; Shaver, PR (1990). "Love and work: An attachment theoretical perspective". Journal of Personality and Social Psychology. 59 (2): 270–80. doi:10.1037/0022-3514.59.2.270.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  5. Hazan, C; Shaver, PR (1994). "Attachment as an organisational framework for research on close relationships". Psychological Inquiry. 5: 1–22. doi:10.1207/s15327965pli0501_1.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  6. Bartholomew, K; Horowitz, LM (1991-08). "Attachment styles among young adults: a test of a four-category model". Journal of Personality and Social Psychology. 61 (2): 226–44. doi:10.1037/0022-3514.61.2.226. PMID 1920064. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  7. Fraley, RC; Shaver, PR (2000). "Adult romantic attachment: Theoretical developments, emerging controversies, and unanswered questions". Review of General Psychology. 4 (2): 132–54. doi:10.1037/1089-2680.4.2.132.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  8. 8.0 8.1 Pietromonaco, PR; Barrett, LF (2000). "The internal working models concept: What do we really know about the self in relation to others?". Review of General Psychology. 4 (2): 155–75. doi:10.1037/1089-2680.4.2.155.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  9. Rholes, WS; Simpson, JA (2004). "Attachment theory: Basic concepts and contemporary questions". ใน Rholes, WS; Simpson, JA (บ.ก.). Adult Attachment: Theory, Research, and Clinical Implications. New York: Guilford Press. pp. 3–14. ISBN 1-59385-047-6.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  10. Crowell, JA; Fraley, RC; Shaver, PR (2008). "Measurement of Individual Differences in Adolescent and Adult Attachment". ใน Cassidy, J; Shaver, PR (บ.ก.). Handbook of Attachment: Theory, Research and Clinical Applications. New York and London: Guilford Press. pp. 599–634. ISBN 978-1-59385-874-2.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  11. Bowlby, J (1951). Maternal Care and Mental Health. Geneva: World Health Organisation. Each put his finger on the child's inability to make relationships as being the central feature from which all other disturbances sprang, and on the history of institutionalisation or, as in the case quoted, of the child's being shifted about from one foster-mother to another as being its cause
  12. Bowlby, J (1944). "Forty-four juvenile thieves: Their characters and home life". International Journal of Psychoanalysis. 25 (19–52): 107–27. sometimes referred to by Bowlby's colleagues as "Ali Bowlby and the Forty Thieves"
  13. Spitz, RA (1945). "Hospitalism: An Inquiry into the Genesis of Psychiatric Conditions in Early Childhood". The Psychoanalytic Study of the Child. 1: 53–74. PMID 21004303.
  14. Spitz, RA (1951). "The psychogenic diseases in infancy". The Psychoanalytic Study of the Child. 6: 255–75.
  15. Schwartz, J (1999). Cassandra's Daughter: A History of Psychoanalysis. New York: Viking/Allen Lane. p. 225. ISBN 0-670-88623-8.
  16. 16.0 16.1 "Preface". Deprivation of Maternal Care: A Reassessment of its Effects. Public Health Papers. Geneva: World Health Organization. 1962.
  17. Bowlby, J (1988). A Secure Base: Clinical Applications of Attachment Theory. London: Routledge. p. 24. ISBN 0415006406.
  18. Rutter, M (2008). "Implications of Attachment Theory and Research for Child Care Policies". ใน Cassidy, J; Shaver, PR (บ.ก.). Handbook of Attachment: Theory, Research and Clinical Applications. New York and London: Guilford Press. pp. 958–74. ISBN 978-1-59385-874-2.
  19. Bowlby, J (1986-12). "Citation Classic, Maternal Care and Mental Health" (PDF). Current Contents. สืบค้นเมื่อ 2008-07-13. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  20. Lorenz, KZ (1937). "The companion in the bird's world". The Auk. 54 (3): 245–73. doi:10.2307/4078077. JSTOR 4078077.
  21. Holmes 1993, p. 62.
  22. Bowlby, J (2007). "John Bowlby and ethology: An annotated interview with Robert Hinde". Attachment & Human Development. 9 (4): 321–35. doi:10.1080/14616730601149809. PMID 17852051.
  23. Bowlby, J (1953). "Critical Phases in the Development of Social Responses in Man and Other Animals". New Biology. 14: 25–32. the time is ripe for a unification of psychoanalytic concepts with those of ethology, and to pursue the rich vein of research which this union suggests
  24. Bowlby, J (1982). Attachment and Loss. Vol. 1. Attachment (2nd ed.). New York: Basic Books. pp. 220–23. ISBN 0465005438. LCCN 00266879. OCLC 11442968. NLM 8412414.
  25. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Rutter 95
  26. Crnic, LS; Reite, ML; Shucard, DW (1982). "Animal models of human behavior: Their application to the study of attachment". ใน Emde, RN; Harmon, RJ (บ.ก.). The development of attachment and affiliative systems. New York: Plenum. pp. 31–42. ISBN 978-0-306-40849-6.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  27. Brannigan, CR; Humphries, DA (1972). "Human non-verbal behaviour: A means of communication". ใน Blurton-Jones, N (บ.ก.). Ethological studies of child behaviour. Cambridge University Press. pp. 37–64. ISBN 978-0-521-09855-7. ... it must be emphasized that data derived from species other than man can be used only to suggest hypotheses that may be worth applying to man for testing by critical observations. In the absence of critical evidence derived from observing man such hypotheses are no more than intelligent guesses. There is a danger in human ethology ... that interesting, but untested, hypotheses may gain the status of accepted theory. [One author] has coined the term 'ethologism' as a label for the present vogue [in 1970] ... for uncritically invoking the findings from ethological studies of other species as necessary and sufficient explanations ... Theory based on superficial analogies between species has always impeded biological understanding ... We conclude that a valid ethology of man must be based primarily on data derived from man, and not on data obtained from fish, birds, or other primates{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  28. Schur, M (1960). "Discussion of Dr. John Bowlby's paper". Psychoanalytic Study of the Child. 15: 63–84. PMID 13749000. Bowlby ... assumes the fully innate, unlearned character of most complex behavior patterns ... (whereas recent animal studies showed)  ... both the early impact of learning and the great intricacy of the interaction between mother and litter" ... (and applies)  ... "to human behavior an instinct concept which neglects the factor of development and learning far beyond even the position taken by Lorenz [the ethological theorist] in his early propositions
  29. Schaffer, HR; Emerson, PE (1964). "The development of social attachment in infancy". Monographs of the Society for Research in Child Development, serial no. 94. 29 (3).{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  30. Anderson, JW (1972). "Attachment behaviour out of doors". ใน Blurton-Jones, N (บ.ก.). Ethological studies of child behaviour. Cambridge: Cambridge University Press. pp. 199–216. ISBN 978-0-521-09855-7.
  31. Jones, NB; Leach, GM (1972). "Behaviour of children and their mothers at separation and greeting". ใน Blurton-Jones, N (บ.ก.). Ethological studies of child behaviour. Cambridge: Cambridge University Press. pp. 217–48. ISBN 978-0-521-09855-7.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  32. Hinde, R (1982). Ethology. Oxford: Oxford University Press. p. 229. ISBN 978-0-00-686034-1.
  33. Freud, A; Burlingham, DT (1943). War and children. Medical War Books. ISBN 978-0-8371-6942-2.{{cite book}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  34. Holmes 1993, p. 62-63.
  35. Holmes 1993, p. 64-65.
  36. Steele, H; Steele, M (1998). "Attachment and psychoanalysis: Time for a reunion". Social Development. 7 (1): 92–119. doi:10.1111/1467-9507.00053.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  37. Cassidy, J (1998). "Commentary on Steele and Steele: Attachment and object relations theories and the concept of independent behavioral systems". Social Development. 7 (1): 120–26. doi:10.1111/1467-9507.00054.
  38. Steele, H; Steele, M (1998). "Debate: Attachment and psychoanalysis: Time for a reunion". Social Development. 7 (1): 92–119. doi:10.1111/1467-9507.00053.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  39. Johnson-Laird, PN (1983). Mental models. Cambridge, MA: Harvard University Press. pp. 179–87. ISBN 0-674-56881-8.
  40. Main, M; Kaplan, N; Cassidy, J (1985). "Security in Infancy, Childhood, and Adulthood: A Move to the Level of Representation". Monographs of the Society for Research in Child Development. 50: 66–104.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  41. Morgan, Alex (2014). "Representations Gone Mental". Synthese 191.2: 213–44.
  42. Narr, David (2010). Vision. A Computational Investigation into the Human Representation and Processing of Visual Information. The MIT Press. ISBN 978-0262514620.
  43. Lieberman, AF (1997), "Toddlers' internalization of maternal attributions as a factor in quality of attachment", ใน Atkinson, Leslie; Zucker, Kenneth J (บ.ก.), Attachment and psychopathology, New York, NY, US: Guilford Press, pp. 277–292
  44. Zeanah, CH; Keener, MA; Anders, TF (1986). "Adolescent mothers' prenatal fantasies and working models of their infants". Psychiatry. 49 (3): 193–203.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  45. Schechter, DS; Moser, DA; Reliford, A; McCaw, JE; Coates, SW; Turner, JB; Rusconi, S; Willheim, E (2015). "Negative and distorted attributions towards child, self, and primary attachment figure, among posttraumatically stressed mothers: What changes with Clinical Assisted Videofeedback Exposure Sessions (CAVES) ?". Child Psychiatry and Human Development. 46 (1): 10–20.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  46. Sroufe, LA; Waters, E (1977). "Attachment as an organizational construct". Child Development. Blackwell Publishing. 48 (4): 1184–99. doi:10.2307/1128475. JSTOR 1128475.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  47. Waters, E; Cummings, EM (2000). "A secure base from which to explore close relationships". Child Development. 71 (1): 164–72. doi:10.1111/1467-8624.00130. PMID 10836570.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  48. Tronick, EZ; Morelli, GA; Ivey, PK (1992). "The Efe forager infant and toddler's pattern of social relationships: Multiple and simultaneous". Developmental Psychology. 28 (4): 568–77. doi:10.1037/0012-1649.28.4.568.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  49. 49.0 49.1 49.2 van IJzendoorn, MH; Sagi-Schwartz, A (2008). "Cross-Cultural Patterns of Attachment; Universal and Contextual Dimensions". ใน Cassidy, J; Shaver, PR (บ.ก.). Handbook of Attachment: Theory, Research and Clinical Applications. New York and London: Guilford Press. pp. 880–905. ISBN 978-1-59385-874-2.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  50. Rutter, Michael (1974). The Qualities of Mothering. New York, N.Y.
  51. Behrens, KY; Hesse, E; Main, M (2007-11). "Mothers' attachment status as determined by the Adult Attachment Interview predicts their 6-year-olds' reunion responses: a study conducted in Japan". Developmental Psychology. 43 (6): 1553–67. doi:10.1037/0012-1649.43.6.1553. PMID 18020832. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  52. Main, M; Cassidy, J (1988). "Categories of response to reunion with the parent at age 6: Predictable from infant attachment classifications and stable over a 1-month period". Developmental Psychology. 24 (3): 415–26. doi:10.1037/0012-1649.24.3.415.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  53. Harris, JR (1998). The Nurture Assumption: Why Children Turn Out the Way They Do. New York: Free Press. pp. 1–4. ISBN 978-0-684-84409-1.
  54. Pinker, S (2002). The Blank Slate: The Modern Denial of Human Nature. London: Allen Lane. pp. 372–99. ISBN 978-0-14-027605-3.
  55. Kagan, J (1994). Three Seductive Ideas. Cambridge, MA: Harvard University Press. pp. 83–150. ISBN 978-0-674-89033-6.
  56. 56.0 56.1 56.2 Vaughn, BE; Bost, KK; van IJzendoorn, MH (2008). "Attachment and Temperament". ใน Cassidy, J; Shaver, PR (บ.ก.). Handbook of Attachment: Theory, Research and Clinical Applications. New York and London: Guilford Press. pp. 192–216. ISBN 978-1-59385-874-2.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  57. Schaffer, HR (2004). Introducing Child Psychology. Oxford: Blackwell. p. 113. ISBN 978-0-631-21627-8.
  58. Fonagy, P; Gergely, G; Jurist, EL; Target, M (2002). Affect regulation, mentalization, and the development of the self. New York: Other Press. ISBN 1-59051-161-1.{{cite book}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  59. Mercer 2006, p. 165-68.
  60. Fonagy, P; Gergely, G; Target, M. "Psychoanalytic Constructs and Attachment Theory and Research". ใน Cassidy, J; Shaver, PR (บ.ก.). Handbook of Attachment: Theory, research and Clinical Applications. New York and London: Guilford Press. pp. 783–810. ISBN 978-1-59385-874-2.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  61. Belsky, J; Rovine, MJ (1988-02). "Nonmaternal care in the first year of life and the security of infant-parent attachment". Child Development. Blackwell Publishing. 59 (1): 157–67. doi:10.2307/1130397. JSTOR 1130397. PMID 3342709. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  62. Mercer 2006, p. 160-63.
  63. Rutter, M (January–February 2002). "Nature, nurture, and development: From evangelism through science toward policy and practice". Child Development. 73 (1): 1–21. doi:10.1111/1467-8624.00388. PMID 14717240.{{cite journal}}: CS1 maint: date format (ลิงก์)
  64. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ PPP
  65. Miyake, K; Chen, SJ (1985). "Infant temperament, mother's mode of interaction, and attachment in Japan: An interim report". ใน Bretherton, I; Waters, E (บ.ก.). Growing Points of Attachment Theory and Research: Monographs of the Society for Research in Child Development. Vol. 50 (1-2, Serial No. 209). pp. 276–97. ISBN 978-0-226-07411-5.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  66. Mercer 2006, p. 152-56.
  67. McHale, JP (2007). "When infants grow up in multiperson relationship systems". Infant Mental Health Journal. 28 (4): 370–92. doi:10.1002/imhj.20142.
  68. Zhang, X; Chen, C (2010). "Reciprocal Influences between Parents' Perceptions of Mother-Child and Father-Child Relationships: A Short-Term Longitudinal Study in Chinese Preschoolers". The Journal of Genetic Psychology. 171 (1): 22–34. doi:10.1080/00221320903300387. PMID 20333893.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  69. Milanov, M; Rubin, M; Paolini, S (2013). "Adult attachment styles as predictors of different types of ingroup identification". Bulgarian Journal of Psychology. 1–4: 175–186.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  70. Bugental, DB (2000). "Acquisition of the Algorithms of Social Life: A Domain-Based Approach". Psychological Bulletin. 126 (2): 178–219. doi:10.1037/0033-2909.126.2.187. PMID 10748640.
  71. Bugental, DB; Ellerson, PC; Rainey, B; Lin, EK; Kokotovic, A (2002). "A Cognitive Approach to Child Abuse Prevention". Journal of Family Psychology. 16 (3): 243–58. doi:10.1037/0893-3200.16.3.243. PMID 12238408.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  72. Ma, K (2006). "Attachment theory in adult psychiatry. Part 1: Conceptualisations, measurement and clinical research findings". Advances in Psychiatric Treatment. 12: 440–449. doi:10.1192/apt.12.6.440. สืบค้นเมื่อ 2010-04-21.
  73. 73.0 73.1 Fox, NA; Hane, AA (2008). "Studying the Biology of Human Attachment". ใน Cassidy, J; Shaver, PR (บ.ก.). Handbook of Attachment: Theory, Research and Clinical Applications. New York and London: Guilford Press. pp. 811–29. ISBN 978-1-59385-874-2.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  74. Landers, MS; Sullivan, RM (2012). "The development and neurobiology of infant attachment and fear". Developmental neuroscience. 34 (2–3): 101–14. doi:10.1159/000336732. PMID 22571921. สืบค้นเมื่อ 2014-08-17.
  75. Marshall, PJ; Fox, NA (2005). "Relationship between behavioral reactivity at 4 months and attachment classification at 14 months in a selected sample". Infant Behavior and Development. 28 (4): 492–502. doi:10.1016/j.infbeh.2005.06.002.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  76. Prior & Glaser 2006, p. 219.
  77. Gillath, O; Shaver, PR; Baek, JM; Chun, DS (2008-10). "Genetic correlates of adult attachment style". Personality and Social Psychology Bulletin. 34 (10): 1396–405. doi:10.1177/0146167208321484. PMID 18687882. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  78. Belsky, J; Pasco, Fearon RM (2008). "Precursors of Attachment Security". ใน Cassidy, J; Shaver, PR (บ.ก.). Handbook of Attachment: Theory, Research and Clinical Applications. New York and London: Guilford Press. pp. 295–316. ISBN 978-1-59385-874-2.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  79. doi:10.1017/S0954579410000611
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full Article PDF (306 KB)
  80. 80.0 80.1 80.2 80.3 Rutter, M (2008). "Implications of Attachment Theory and Research for Child Care Policies". ใน Cassidy, J; Shaver, PR (บ.ก.). Handbook of Attachment: Theory, Research and Clinical Applications. New York and London: Guilford Press. pp. 958–74. ISBN 978-1-60623-028-2.
  81. Berlin, L; Zeanah, CH; Lieberman, AF (2008). "Prevention and Intervention Programs for Supporting Early Attachment Security". ใน Cassidy, J; Shaver, PR (บ.ก.). Handbook of Attachment: Theory, Research and Clinical Applications. New York and London: Guilford Press. pp. 745–61. ISBN 978-1-60623-028-2. Supporting early child-parent relationships is an increasingly prominent goal of mental health practitioners, community-based service providers and policy makers... Attachment theory and research have generated important findings concerning early child development and spurred the creation of programs to support early child-parent relationships.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  82. 82.0 82.1 Karen 1998, p. 252-58.
  83. Rutter, M; O'Connor, TG (1999). "Implications of Attachment Theory for Child Care Policies". ใน Cassidy, J; Shaver, PR (บ.ก.). Handbook of Attachment: Theory, Research and Clinical Applications. New York: Guilford Press. pp. 823–44. ISBN 1-57230-087-6.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  84. Stefaroi, P (2012). "Humanistic Paradigm of Social Work or Brief Introduction in Humanistic Social Work". Social Work Review. 10 (1): 161–174. ICID 985513
  85. Stefaroi, P (2014). Humane & Spiritual Qualities of the Professional in Humanistic Social Work: Humanistic Social Work - The Third Way in Theory and Practice. Charleston, SC: Createspace.
  86. Goldsmith, DF; Oppenheim, D; Wanlass, J (2004). "Separation and Reunification: Using Attachment Theory and Research to Inform Decisions Affecting the Placements of Children in Foster Care" (PDF). Juvenile and Family Court Journal. Spring: 1–14. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2007-10-13. สืบค้นเมื่อ 2009-06-19.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  87. Crittenden, Patricia McKinsey; และคณะ. "Assessing attachment for family court decision making". Journal of Forensic Practice. 15 (4): 237–24.
  88. Ziv, Y (2005). "Attachment-Based Intervention programs: Implications for Attachment Theory and Research". ใน Berlin, LJ; Ziv, Y; Amaya-Jackson, L; Greenberg, MT (บ.ก.). Enhancing Early Attachments: Theory, Research, Intervention and Policy. Duke series in child development and public policy. New York and London: Guilford Press. p. 63. ISBN 1-59385-470-6.
  89. 89.0 89.1 Berlin, LJ; Zeanah, CH; Lieberman, AF (2008). "Prevention and Intervention Programs for Supporting Early Attachment Security". ใน Cassidy, J; Shaver, PR (บ.ก.). Handbook of Attachment: Theory, Research and Clinical Applications. New York and London: Guilford Press. pp. 745–61. ISBN 978-1-59385-874-2.{{cite encyclopedia}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  90. Prior & Glaser 2006, p. 231-32.
  91. Bakermans-Kranenburg, M; van IJzendoorn, M; Juffer, F (2003). "Less is more: meta-analyses of sensitivity and attachment interventions in early childhood". Psychological Bulletin. 129 (2): 195–215. doi:10.1037/0033-2909.129.2.195. PMID 12696839.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  92. Hoffman, Kent T; และคณะ (2006). "Changing toddlers' and preschoolers' attachment classifications: the Circle of Security intervention". Journal of Consulting and Clinical Psychology. 74 (6): 1017.
  93. Thompson, RA (2000). "The legacy of early attachments". Child Development. 71 (1): 145–52. doi:10.1111/1467-8624.00128. PMID 10836568.
  94. 94.0 94.1 Chaffin, M; Hanson, R; Saunders, BE; และคณะ (2006). "Report of the APSAC task force on attachment therapy, reactive attachment disorder, and attachment problems". Child Maltreatment. 11 (1): 76–89. doi:10.1177/1077559505283699. PMID 16382093.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  95. Prior & Glaser 2006, p. 223-25.
  96. Schechter, DS; Willheim, E (2009-07). "Disturbances of attachment and parental psychopathology in early childhood". Child and Adolescent Psychiatric Clinics of North America. 18 (3): 665–86. doi:10.1016/j.chc.2009.03.001. PMC 2690512. PMID 19486844. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  97. 97.0 97.1 Slade, A (2008). "Attachment Theory and Research: Implications for the theory and practice of individual psychotherapy with adults". ใน Cassidy, J; Shaver, PR (บ.ก.). Handbook of Attachment: Theory, Research and Clinical Applications. New York and London: Guilford Press. pp. 762–82. ISBN 978-1-59385-874-2.
  98. Sable, P (2000). Attachment & Adult Psychotherapy. Northvale, NJ: Aaronson. ISBN 978-0-7657-0284-5.

แหล่งข้อมูลอื่น