นีกอลาเอ ชาวูเชสกู

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก นิโคไล เชาเชสกู)
นีกอลาเอ ชาวูเชสกู
ชาวูเชสกูในปี ค.ศ. 1965
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โรมาเนีย
ดำรงตำแหน่ง
22 มีนาคม ค.ศ. 1965 – 22 ธันวาคม ค.ศ. 1989
ก่อนหน้ากียอร์กีเย กียอร์กียู-เดฌ
ถัดไประบอบคอมมิวนิสต์ล่มสลาย
ประธานาธิบดีโรมาเนีย
ดำรงตำแหน่ง
28 มีนาคม ค.ศ. 1974 – 22 ธันวาคม ค.ศ. 1989
ก่อนหน้าสถาปนาตำแหน่ง
ถัดไปแนวร่วมปลดปล่อยโรมาเนีย
อียอน อีลีเยสกู
ประธานคณะมนตรีแห่งรัฐ
ดำรงตำแหน่ง
9 ธันวาคม ค.ศ. 1967 – 22 ธันวาคม ค.ศ. 1989
ก่อนหน้ากีวู สตอยกา
ถัดไปคอมมิวนิสต์ล่มสลาย
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด26 มกราคม ค.ศ. 1918(1918-01-26)
สกอร์นีเชสตี ราชอาณาจักรโรมาเนีย
เสียชีวิต 25 ธันวาคม ค.ศ. 1989(1989-12-25) (71 ปี)
ตีร์โกวิชเต สาธารณรัฐสังคมนิยมโรมาเนีย
สาเหตุการเสียชีวิตการประหารชีวิตด้วยการยิงเป็นชุด
พรรคการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์ (1932-1989)
ลายมือชื่อ

นีกอลาเอ ชาวูเชสกู (โรมาเนีย: Nicolae Ceaușescu, ออกเสียง: [nikoˈla.e tʃe̯a.uˈʃesku] ( ฟังเสียง); 5 กุมภาพันธ์ [ตามปฎิทินเก่า: 23 มกราคม]  ค.ศ. 1918[1] – 25 ธันวาคม ค.ศ. 1989) เป็นนักการเมืองและผู้เผด็จการคอมมิวนิสต์ชาวโรมาเนีย ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โรมาเนียระหว่าง ค.ศ. 1965 ถึง 1989 เป็นผู้นำในระบอบคอมมิวนิสต์คนที่สองและคนสุดท้ายของประเทศโรมาเนีย เขายังเป็นประมุขแห่งรัฐตั้งแต่ ค.ศ. 1967 ในตำแหน่งประธานคณะมนตรีแห่งรัฐ และหลัง ค.ศ. 1974 ในตำแหน่งประธานาธิบดี ชาวูเชสกูถูกโค่นล้มและถูกยิงประหารชีวิตในช่วงการปฏิวัติโรมาเนียเมื่อ ค.ศ. 1989 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก

ประวัติ[แก้]

นีกอลาเอเกิดในหมู่บ้านขนาดเล็กชื่อ สกอร์นีเชสต์ (Scornicești) เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 เป็นบุตรคนที่สามในจำนวนเก้าคนของครอบครัวชาวไร่ยากจนเคร่งศาสนา บิดาของเขามีที่ดินขนาดยี่สิบไร่ใช้ปลูกผักและเลี้ยงแกะ นีกอลาเอหาแบ่งเบาภาระครอบครัวใหญ่ของเขาด้วยการช่วยตัดเสื้อ[2] นีกอลาเอศึกษาที่โรงเรียนของหมู่บ้านจนถึงอายุสิบเอ็ดปี แล้วจึงย้ายไปยังกรุงบูคาเรสต์ เหตุผลของการย้ายไม่เป็นที่แน่ชัด บางสำนักข่าวระบุว่าเขาหนีจากความเข้มงวดของครอบครัว

ชาวูเชสกูต้อนรับกองทัพแดงยกพลเข้ากรุงบูคาเรสต์ สิงหาคม ค.ศ. 1944

ที่กรุงบูคาเรสต์ เขาทำงานในโรงงานรองเท้าอาเลกซันดรู เซินดูเลสกู (Alexandru Săndulescu) สมาชิกคนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งขณะนั้นถือเป็นพรรคการเมืองนอกกฎหมาย และแล้วชาวูเชสกูก็เข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์ (เข้าเป็นสมาชิกใน ค.ศ. 1932) เนื่องจากชาวูเชสกูอายุยังน้อย จึงไม่ได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญ ชาวูเชสกูถูกจับกุมครั้งแรกใน ค.ศ. 1933 ขณะมีอายุสิบห้าปี ฐานทะเลาะวิวาทบนท้องถนนในช่วงการนัดหยุดงาน และถูกจับกุมอีกหลายครั้งจากการทำกิจกรรมสังคมนิยม[3] และกลายเป็นหนึ่งในนักกิจกรรมคอมมิวนิสต์ที่ทางการจับตามอง

ครองอำนาจ[แก้]

เติ้ง เสี่ยวผิง, ชาวูเชสกู และเลโอนิด เบรจเนฟ กรุงบูคาเรสต์ ค.ศ. 1965

ภายหลังประเทศโรมาเนียตกอยู่ภายใต้การปกครองของระบอบคอมมิวนิสต์เมื่อ ค.ศ. 1947 ชาวูเชสกูได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตร, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ต่อมาใน ค.ศ. 1952 ได้เป็นสมาชิกคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ ต่อมาเมื่อนายกียอร์กีเย กียอร์กียู-เดฌ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โรมาเนีย ถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1965 ชาวูเชสกูได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คนที่สอง

ช่วงแรกของการครองอำนาจ ชาวูเชสกูมีนโยบายต่อต้านอิทธิพลของสหภาพโซเวียต ทำให้เขาได้รับความนิยมจากชาวโรมาเนียและจากชาติตะวันตก เขาอนุมัติกฎหมายเซ็นเซอร์สื่อและประกาศว่าโรมาเนียจะยุติบทบาทในกติกาสัญญาวอร์ซอ แต่ยังคงสถานะสมาชิกภาพอยู่ เขาประณามอย่างเปิดเผยต่อการบุกครองเชโกสโลวาเกียของฝ่ายกติกาสัญญาวอร์ซอใน ค.ศ. 1968 ซึ่งส่งผลให้ความนิยมของเขาพุ่งสูง ชาวูเชสกูมีความทะเยอทะยานนำพาประเทศโรมาเนียเป็นมหาอำนาจของยุโรป นโยบายของเขาด้านเศรษฐกิจ, การต่างประเทศ และกิจการในประเทศต่างถูกออกแบบมาเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น[4] ชาวูเชสกูดำเนินนโยบายต่างประเทศเข้าหาสหรัฐและชาติยุโรปตะวันตก โรมาเนียกลายเป็นประเทศแรกในกติกาสัญญาวอร์ซอที่ยอมรับอิทธิพลของเยอรมนีตะวันตกและเข้าร่วมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ต่อมาใน ค.ศ. 1971 โรมาเนียกลายเป็นสมาชิกในความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า ประเทศโรมาเนียกับประเทศยูโกสลาเวียเป็นเพียงสองชาติในยุโรปตะวันออกที่เข้าร่วมความตกลงทางการค้ากับประชาคมเศรษฐกิจยุโรปก่อนการล่มสลายของกลุ่มตะวันออก[5] ซึ่งใน ค.ศ. 1973 ชาวูเชสกูเป็นผู้นำชาติยุโรปตะวันออกคนแรกที่ได้ต้อนรับการมาเยือนของประธานาธิบดีสหรัฐ

หลัง ค.ศ. 1971 ชาวูเชสกูจัดตั้งลัทธิเชิดชูตัวเอง

แม้ว่าชาวูเชสกูมีนโยบายออกห่างโซเวียตและเข้าหาชาติเสรี แต่ในเวลาไม่กี่ปี รัฐบาลของเขากลายเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จและถูกกล่าวขานว่าเป็นรัฐบาลกดขี่ที่สุดในประเทศกลุ่มตะวันออก หลัง ค.ศ. 1971 เขาเริ่มออกโฆษณาชวนเชื่อและจัดตั้งลัทธิเชิดชูท่านผู้นำ มีรูปภาพของเขาติดอยู่ในทุกสถานที่ ตำรวจลับและฝ่ายความมั่นคงดำเนินการสอดแนมมวลชนและปราบปรามฝ่ายต่อต้าน มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีการควบคุมคุกคามสื่อมวลชน

ความล้มเหลวในการร่วมทุนด้านกิจการน้ำมันในทศวรรษที่ 1970 นำไปสู่การพุ่งทะยานของหนี้ต่างประเทศ ส่งผลให้ใน ค.ศ. 1982 ประธานาธิบดีชาวูเชสกูสั่งการให้รัฐบาลประกาศใช้มาตรการรัดเข็มขัดในประเทศโรมาเนีย คริสต์ทศวรรษ 1980 เพิ่มการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ต่างประเทศ คุณภาพชีวิตของชาวโรมาเนียตกต่ำลงอย่างมาก

ถูกโค่นอำนาจ[แก้]

22 ธันวาคม ค.ศ. 1989 ชาวูเชสกูกล่าวสุนทรพจน์โฆษณาความสำเร็จของระบอบคอมมิวนิสต์ต่อฝูงชนราวหนึ่งแสนคนที่อาคารพรรคคอมมิวนิสต์ในกรุงบูคาเรสต์อย่างเช่นทุกครั้ง เมื่อกล่าวสุนทรพจน์ได้แปดนาที มวลชนเริ่มส่งเสียงโห่และร้องตะโกน เขาชูมือเพื่อปราม ความสงบกลับคืนมาอีกครั้ง เขาเริ่มกล่าวสุนทรพจน์ต่อ สีหน้าตื่นตระหนกของเขาตอนถูกโห่และตะโกนใส่ถูกถ่ายทอดสดไปทั่วยุโรปตะวันออก[6] แต่แล้วเหตุการณ์ก็เริ่มควบคุมไม่ได้ เกิดเสียงปืนดังขึ้น เขาเข้าไปหลบภายในอาคารและประกาศกฎอัยการศึก มีการชุมนุมใหญ่ที่จัตุรัสมหาวิทยาลัยและถูกปราบปรามโดยกำลังตำรวจ มีผู้ถูกจับกุมหลายร้อยคน

การปราบปรามประชาชนทำให้เหตุการณ์ลุกลามไปในหลายเมืองใหญ่ทั่วประเทศ วาซีลี มีเลอา (Vasile Milea) รัฐมนตรีกลาโหม เสียชีวิตอย่างปริศนา ทางการประกาศว่ามีเลียฆ่าตัวตาย หลังจากนั้น ประธานาธิบดีชาวูเชสกูประกาศเป็นผู้นำกองทัพด้วยตนเอง ทหารจำนวนมากเชื่อว่ารัฐมนตรีกลาโหมถูกฆาตกรรม จึงพากันย้ายข้างมาเข้ากับฝ่ายประชาชนปฏิวัติ ถึงจุดนี้ นายทหารระดับสูงเห็นว่าชาวูเชสกูหมดความชอบธรรมและไม่ต้องการรับใช้รัฐบาลชาวูเชสกูอีกแล้ว ชาวูเชสกูดิ้นรนครั้งสุดท้ายโดยการออกมาเกลี้ยกล่อมฝูงชนที่หน้าอาคารแต่ถูกขว้างปาสิ่งของใส่ และแล้วเขาก็ตัดสินใจหลบหนีด้วยเฮลิคอปเตอร์

ถูกประหารชีวิต[แก้]

ชาวูเชสกูและพวกหนีออกจากเมืองหลวงโดยเฮลิคอปเตอร์ ฝ่ายปฏิวัติประกาศชัยชนะและประกาศจัดตั้งคณะรัฐบาลเฉพาะกาล เมื่อเฮลิคอปเตอร์ของชาวูเชสกูไปถึงบริเวณเมืองตีมีชออาราก็จำเป็นต้องร่อนลงจอดและทิ้งเครื่องไว้เนื่องจากกองทัพประกาศให้ทั้งประเทศเป็นเขตห้ามบิน ชาวูเชสกูถูกตำรวจจับกุมและส่งตัวให้แก่กองทัพ ในวันคริสต์มาส เขาเข้ารับการพิจารณาคดีโดยศาล ตามคำสั่งของของแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ (คณะรัฐบาลเฉพาะกาล) ศาลพิพากษาว่าเขามีความผิดฐานยักยอกเงินรัฐและกระทำพันธฆาต เขาถูกประหารชีวิตด้วยการยิงโดยแถวทหาร[7]

อ้างอิง[แก้]

  1. "Ceauşescu, între legendă şi adevăr: data naşterii şi alegerea numelui de botez". Jurnalul Național. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 8 September 2016.
  2. Gruia, Cătălin (29 July 2013). The Man They Killed on Christmas Day. United Kingdom: Createspace Independent Pub. p. 42. ISBN 978-1492282594.
  3. Gruia, p. 43
  4. Crampton, Richard Eastern Europe In the Twentieth Century-And After, London: Routledge, 1997 page 355.
  5. Martin Sajdik, Michaël Schwarzinger (2008). European Union enlargement: background, developments, facts. New Jersey, USA: Transaction Publishers. p. 10. ISBN 978-1-4128-0667-1.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  6. Sebetsyen, Victor (2009). Revolution 1989: The Fall of the Soviet Empire. New York City: Pantheon Books. ISBN 978-0-375-42532-5.
  7. "Nicolae Ceaușescu". Biography.com.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]