ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อับดุล ฆาฟูร์ มูฮียุดดิน ชะฮ์แห่งรัฐปะหัง"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Waniosa Amedestir (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าใหม่: {{Infobox royalty |name = อับดุล ฆอฟูร์ มูฮียุดดีน ชะฮ์<br>عبد الغفور محى الدين شاه |title = สุลต่านแห่งรัฐปะหัง |image = |reign = ค.ศ. 1592–1614 |predecessor = อะฮ์มัด ชะฮ์ที่ 2 |successor = อาลา...
ป้ายระบุ: เครื่องมือแก้ไขต้นฉบับปี 2560
(ไม่แตกต่าง)

รุ่นแก้ไขเมื่อ 18:37, 4 สิงหาคม 2566

อับดุล ฆอฟูร์ มูฮียุดดีน ชะฮ์
عبد الغفور محى الدين شاه
สุลต่านแห่งรัฐปะหัง
ครองราชย์ค.ศ. 1592–1614
ก่อนหน้าอะฮ์มัด ชะฮ์ที่ 2
ถัดไปอาลาอุดดีน รีอายัต ชะฮ์
ประสูติค.ศ. 1567
ราจา อับดุล ฆอฟูร์
สวรรคตค.ศ. 1614
คู่อภิเษกรายาอูงูแห่งปัตตานี
ราจา ปูตรี ซาฮาระฮ์
พระราชบุตรราจา อับดุลละฮ์ (รายามูดา)
ราจา อาลาอุดดีน
รายากูนิง
พระนามครองราชย์
ปาดูกา ซรี ซุลตัน อับดุล ฆอฟูร์ มูฮียุดดีน ชะฮ์ อิบนี อัล-มัรฮุม ซุลตัน อับดุล กาดีร์ อาลาอุดดีน ชะฮ์
พระมรณนาม
มัรฮุม ปาฮัง
ราชวงศ์มะละกา
พระราชบิดาอับดุล กาดีร์ อาลาอุดดีน ชะฮ์
พระราชมารดาไม่ทราบพระนาม
ศาสนาอิสลามนิกายซุนนี

สุลต่าน อับดุล ฆอฟูร์ มูฮียุดดีน ชะฮ์ (มลายู: Abdul Ghafur Muhiuddin Shah) เป็นสุลต่านแห่งรัฐปะหังองค์ที่ 12 ที่ครองราชย์ใน ค.ศ. 1592 ถึง 1614[1] เดิมดำรงตำแหน่งเป็นอุปราชของอะฮ์มัด ชะฮ์ที่ 2 หลังพระราชบิดาสรรคตใน ค.ศ. 1590 จากนั้นพระองค์จึงโค่นและเข้ายึดอำนาจในอีกสองปีต่อมา[2][3]

พระองค์ได้รับการระบุว่าเป็นผู้จัดตั้งฮูกุมกานุนปาฮัง (กฎหมายปะหัง) ที่ผ่านการรวบรวมและกลายเป็นพื้นฐานสำหรับฝ่ายกฎหมายไม่เฉพาะในรัฐปะหังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรัฐสุลต่านยะโฮร์ในภายหลังด้วย

พระราชประวัติ

พระองค์เสด็จพระราชสมภพใน ค.ศ. 1567 เดิมมีพระนาม ราจา อับดุล ฆอฟูร์ พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์โตของอับดุล กาดีร์ อาลาอุดดีน ชะฮ์ สุลต่านแห่งรัฐปะหังองค์ที่ 10 กับมเหสีรอง[4] ส่วนพี่น้องต่างพระราชมารดา ได้แก่ ราจา ยามีร์, ราจา อะฮ์มัด, ปูเตอรี กามาลียะฮ์[5] และปูเตอรี ไครุล บารียะฮ์ หลังการรุกรานรัฐปะหังโดยรัฐสุลต่านอาเจะฮ์ใน ค.ศ. 1617 เชื้อพระวงศ์ปะหังส่วนหนึ่งถูกนำไปยังอาเจะฮ์ ปูเตอรี กามาลียะฮ์กลายเป็นสมเด็จพระราชินีของ ruler of Aceh, อิซกันดาร์ มูดา ผู้ปกครองอาเจะฮ์ ส่วนไครุล บารียะฮ์สมรสกับโกจะฮ์ ปะฮ์ลาวัน สุลต่านแห่งเดอลีองค์แรกในอนาคต[6]

ใน ค.ศ. 1584 อับดุล ฆอฟูร์สมรสกับรายาอูงู พระขนิษฐาในรายาฮีเยาแห่งปัตตานี[7][8] ทั้งคู่ให้กำเนิดพระราชธิดาองค์เดียวพระนาม รายากูนิง[9] ทั้งรายาอูงูและรายากูนิงปกครองปัตตานีอย่างต่อเนื่องใน ค.ศ. 1624 ถึง 1651 หลังรัชสมัยรายาฮีเยากับรายาบีรู[10] อับดุล ฆอฟูร์ก็สร้างสายสัมพันธ์การสมรสกับบรูไนด้วยการสมรสกับเจ้าหญิงซาฮาระฮ์หรือโซฮ์รา พระราชธิดาในสุลต่านไซฟุล รีจัล[11] โดยทั้งคู่ให้กำเนิดเจ้าชาย อับดุลละฮ์[12] ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทหรือ ราจา มูดา[13] อับดุล ฆอฟูร์ยังมีพระราชโอรสกับพระมเหสีไม่ทราบพระนาม ซึ่งไม่ปรากฏพระนามในประวัติศาสตร์ท้องถิ่น แต่ถูกจารึกไว้ในพระราชลัญจกรในสนธิสัญญากับมะละกาของโปรตุเกส[14] พระองค์ได้รับการระบุเป็นอาลาอุดดีน รีอายัต ชะฮ์ ผู้ที่เชื่อว่าขึ้นครองราชย์หลังปลงพระชนม์พระราชบิดาและราจา มูดา อับดุลละฮ์ พระเชษฐา ใน ค.ศ. 1614[15] Abdul Ghafur was also survived by other 12 children from his commoner wives.[16]

สวรรคต

อับดุล ฆอฟูร์สวรรคตร่วมกับราจา มูดา อับดุลละฮ์ พระราชโอรสองค์โต ใน ค.ศ. 1614 ที่น่าจะเกิดจากพระราชโอรสองค์ที่สองวางยาพิษ[17] who succeeded as Alauddin Riayat Shah.[18] พระองค์มีพระนามหลังสวรรคตว่า มัรฮุม ปาฮัง และฝังร่วมกับพระราชโอรสที่มีพระนามหลังสวรรคตว่า มัรฮุม มูดา ปาฮัง ที่สุสานหลวงจนดง เปอกัน[19]

ก่อน ค.ศ. 1607 ราจา มูดา อับดุลละฮ์สมรสกับเจ้าหญิงจากรัฐเปรักและให้กำเนิดพระราชธิดา 2 พระองค์ เมื่อราจา มูดา อับดุลละฮ์ถูกปลงพระชนม์ใน ค.ศ. 1614 พระมเหสีหม้ายกับพระราชธิดาจึงถูกส่งไปที่เปรัก ภายหลัง อิซกันดาร์ มูดาจับกุมทั้งสองและส่งไปที่อาเจะฮ์ โดยในเวลานั้น พระราชธิดาองค์หนึ่งได้สมรสกับราจา ซูลง เชลยหลวงอีกพระองค์ ผู้ที่ภายหลังเป็นสุลต่าน มูซัฟฟาร์ รีอายัต ชะฮ์ที่ 2 แห่งรัฐเปรัก[20]

ในวัฒนธรรมร่วมสมัย

เจษฎาภรณ์ ผลดีแสดงเป็นราจา อับดุล ฆอฟูร์ ในภาพยนตร์ปืนใหญ่จอมสลัด โดยในภาพยนตร์ พระองค์เป็นคู่หมั้นของรายาอูงู ผู้ปกป้องปัตตานีในรัชสมัยรายาฮีเยา

อ้างอิง

  1. Ahmad Sarji Abdul Hamid 2011, p. 81
  2. Linehan 1973, p. 27
  3. Ahmad Sarji Abdul Hamid 2011, p. 81
  4. Linehan 1973, p. 27
  5. "Kesultanan Pahang ('Pahang Sultanate')". Portal Diraja Pahang. 21 January 2021.
  6. Tengku Luckman Sinar 1996, p. 23
  7. Linehan 1973, p. 29
  8. Teeuw & Wyatt 1970, p. 15
  9. Teeuw & Wyatt 1970, p. 16
  10. Amirell 2011, pp. 303–323
  11. Awang Mohd. Jamil Al-Sufri 1997, p. 96
  12. Linehan 1973, pp. 29 & 33
  13. Linehan 1973, p. 33
  14. Gallop, Porter & Barakat 2012, p. 80
  15. Linehan 1973, p. 33
  16. Linehan 1973, p. 29
  17. Linehan 1973, p. 33
  18. Gallop, Porter & Barakat 2012, p. 80
  19. Linehan 1973, p. 235
  20. Linehan 1973, p. 34

บรรณานุกรม