ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การพลัดถิ่น"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: ถูกย้อนกลับแล้ว แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: ถูกย้อนกลับแล้ว แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
www
www


ถิ่นฐานประเทศไทย
== การพลัดถิ่นของชาวเอเชีย ==
[[การย้ายถิ่นฐานของชาวจีน]] (Chinese emigration หรือที่เรียกว่า[[จีนโพ้นทะเล|การพลัดถิ่นของชาวจีน]]{{Fact|date=June 2009}}) เกิดขึ้นครั้งแรกเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว การย้ายถิ่นฐานที่เกิดขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึง ค.ศ. 1949 มีสาเหตุหลักมาจากสงคราม และ ความอดอยากบน[[แผ่นดินใหญ่จีน]] และรวมทั้งการฉ้อโกงทางการเมือง ผู้อพยพส่วนใหญ่เป็นผู้ขาดการศึกษาหรือเกษตรกรผู้มีการศึกษาขั้นต่ำ และชนชั้นแรงงาน (苦力) ผู้อพยพไปยังประเทศที่กำลังพัฒนาที่มีความต้องการแรงงานสูงเช่นใน[[ทวีปอเมริกา]], [[ออสเตรเลีย]], [[แอฟริกาใต้]], [[เอเชียตะวันออกเฉียงใต้]], [[คาบสมุทรมลายู]] และอื่นๆ

การพลัดถิ่นของชาวเอเชียที่ใหญ่ที่สุดคือการพลัดถิ่นของชาวอินเดีย เชื่อกันว่าชาวอินเดียโพ้นทะเลมมีด้วยกันทั้งสิ้นกว่า 25 ล้านคนที่ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณต่างๆ ทุกทวีปทั่วโลก ชาวอินเดียโพ้นทะเลเป็นกลุ่มมีมาจากบริเวณต่างๆ ของอินเดีย พูดภาษา และมีวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาต่างๆ กัน สิ่งที่เป็นสายผสานร่วมกันของชนกลุ่มนี้คือปรัชญาของความเป็นอินเดียและคุณค่าอันแท้จริงของความเป็นชาวอินเดีย{{Fact|date=August 2008}}

[[ชาวโรมานี]]เป็นกลุ่มชนที่[[การพลัดถิ่นของชาวโรมานี|พลัดถิ่น]]ไปในบริเวณที่กว้างใหญ่ที่สุดที่ส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป ภาษาพูดและหลักฐานทาง[[พันธุศาสตร์]]บ่งว่าเป็นชาติพันธุ์ที่เดิมมาจาก[[อนุทวีปอินเดีย]]ที่อพยพออกจากอินเดียไปทางตะวันตกเฉียงเหนือไม่เกินก่อนหน้าคริสต์ศตวรรษที่ 11<ref>{{cite journal |title=Genetic studies of the Roma (Gypsies): A review |url=http://www.biomedcentral.com/1471-2350/2/5 |accessdate=2008-06-16 |doi=10.1186/1471-2350-2-5 |year=2001 |last=Kalaydjieva |first=Luba |journal=BMC Medical Genetics |volume=2 |pages=5 }}</ref>

การพลัดถิ่นของชาวเนปาลเกิดขึ้นอย่างน้อยก็สามครั้งๆ แรกที่สุดเกิดขึ้นหลายร้อยปีมาแล้ว ที่มีสาเหตมาจากการแต่งงานกันตั้งแต่อายุยังน้อยที่ทำให้อัตราการเกิดสูง และเป็นผลให้เกิดแรงผลักดันให้มีการอพยพไปตั้งถิ่นฐานทางตะวันออกของเนปาลต่อมาใน[[รัฐสิกขิม]]และ[[ภูฏาน]] จำนวนประชากรเชื้อชาติภูฐานเพิ่มมากขึ้นทุกขณะจนในที่สุดในคริสต์ทศวรรษ 1980 ภูฏานก็ดำเนินนโยบายกดดันที่เป็นผลให้ชาวเนปาลกว่า 107,000 คนถูกขับออกจากภูฏานกลับเข้าไปในเนปาลสหรัฐอเมริกา[[สหรัฐอเมริกา]]จึงพยายามดำเนินการหาที่ตั้งหลักแหล่งให้แก่ชาวเนปาลจากภูฏานในสหรัฐอเมริกาในฐานะโครงการประเทศที่สาม<ref>{{cite news | url = http://news.bbc.co.uk/2/hi/south_asia/7082586.stm | title = Bhutan refugees are 'intimidated' | author = Bhaumik, Subir | date = November 7, 2007 | work = BBC News | accessdate = 2008-04-25}}</ref>

การพลัดถิ่นครั้งที่สองของชาวเนปาลเกิดขึ้นเมื่ออังกฤษเริ่มรวมพลเป็นกอง[[ทหารรับจ้าง]]ที่เริ่มราวปี ค.ศ. 1815 และย้ายให้ไปตั้งหลักแหล่งในเกาะอังกฤษและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลังจากปลดระวาง การพลัดถิ่นครั้งที่เริ่มราวคริสต์ทศวรรษ 1970 เมื่อเกิดปัญหาขาดแคลนที่ดินทำมาหากินและผู้มีการศึกษามีจำนวนมากกว่าตำแหน่งงานที่มี การโยกย้ายเพื่อไปหางานใหม่ก็มักจะไปตั้งหลักแหล่งกันในอินเดียทำให้เกิดเป็นชุมชนชาวเนปาลขึ้นที่นั่น และในประเทศที่มั่งคั่งในตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกาเหนือ ประมาณกันว่าจำนวนผู้พลัดถิ่นของเนปาลมีจำนวนเป็นหลักล้าน


== คริสต์ศตวรรษที่ 20 และอนาคต ==
== คริสต์ศตวรรษที่ 20 และอนาคต ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 12:29, 12 ตุลาคม 2565

www

ถิ่นฐานประเทศไทย

คริสต์ศตวรรษที่ 20 และอนาคต

คริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นศตวรรษของการพลัดถิ่นครั้งใหญ่หลายครั้ง ในบางกรณีเกิดจากการที่รัฐบาลตัดสินใจโยกย้ายกลุ่มผู้คนด้วยเหตุผลต่างๆ เช่นเมื่อสตาลินดำเนินการขนย้ายประชากรเป็นจำนวนหลายล้านคนไปยังทางตะวันออกของรัสเซีย, เอเชียกลาง และ ไซบีเรีย ทั้งเพื่อเป็นการลงโทษและเพื่อเป็นการกระตุ้นความเจริญในบริเวณชายแดน การโยกย้ายถิ่นฐานบางครั้งก็เกิดขึ้นเพื่อเลี่ยงความขัดแย้งในการสงคราม หรือมีสาเหตุมาจากนโยบายการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเช่นหลังจากการยุติการเป็นอาณานิคมเป็นต้น

สงครามโลกครั้งที่สองและการสิ้นสุดของการเป็นอาณานิคม

การพลัดถิ่นของชาวเวียดนามหลังสงคราม

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มขึ้นนาซีเยอรมนีก็เนรเทศและฆ่าชาวยิวและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ เป็นจำนวนเป็นล้านคน ชาวยิวบางคนก็สามารถหนีการไล่ทำร้ายและสังหารไปยังยุโรปตะวันตกและทวีปอเมริกาก่อนที่พรมแดนจะปิดลงได้ ในเวลาต่อมาชายยุโรปตะวันออกก็เดินทางหนีไปยังยุโรปตะวันตกเพื่อเลี่ยงจากการถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต[1] และรัฐบาลม่านเหล็กในประเทศต่างๆ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

หลังสงครามโลกครั้งที่สองสหภาพโซเวียตและประเทศภายใต้ระบบพรรคคอมมิวนิสต์ที่รวมทั้งโปแลนด์ ฮังการี และ ยูโกสลาเวียก็เนรเทศผู้มีเชื้อสายเยอรมันผู้ที่ไปตั้งหลักแหล่งในประเทศเหล่านั้นมาเป็นเวลาเกือบสองร้อยปีออกจากประเทศเพื่อเป็นการแก้แค้นในการที่นาซีเยอรมนีเข้ารุกรานและพยายามผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนี ผู้คนส่วนใหญ่ที่ถูกเนรเทศก็โยกย้ายกันไปทางตะวันตกแต่ก็มีจำนวนเป็นหมื่นที่โยกย้ายไปตั้งหลักแหล่งอยู่ในสหรัฐอเมริกา

เมื่อมีการก่อตั้งอิสราเอลขึ้นเป็นรัฐหลังสงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1948 ชาวยิวก็กลับไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นผลให้เกิดชาวปาเลสไตน์จำนวน 750,000 คนกลายเป็นผู้พลัดถิ่น ปัญหานี้ยิ่งขยายตัวใหญ่ขึ้นหลังจากสงครามหกวันที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1967 ในปัจจุบันผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์เป็นกลุ่มผู้ลี้ภัยที่ยังคงอยู่ในสภาพที่พลัดบ้านพลัดเมืองนานที่สุดในโลก

ในสมัยรัฐบาลเผด็จการของฟรันซิสโก ฟรังโก ระหว่าง ค.ศ. 1936 จนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1975 พลเมืองในแคว้นกาลิเซียที่ได้รับความกดดันทางตอนเหนือของสเปนก็โยกย้ายถิ่นฐานออกจากสเปนกันไปเป็นจำนวนมาก

การแบ่งแยกอินเดีย ในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1947 ที่ทำให้ปากีสถานแยกออกเป็นประเทศใหม่ เป็นผลให้เกิดการโยกย้ายของประชากรระหว่างอินเดียและปากีสถานที่มีผลกระทบกระเทือนต่อประชากรทั้งสิน 12.5 คน ที่รวมทั้งการเสียชีวิตจากความขัดแย้งที่ประมาณกันว่าอาจจะเป็นจำนวนแสนถึงหนึ่งล้านคน ประชากรที่เดิมเป็นข้าแผ่นดินของบริติชราชก็โยกย้ายไปตั้งหลักแหล่งอยู่ในสหราชอาณาจักร

ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เกาหลีกลายเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ชาวจีนจำนวนเป็นล้านก็หนีไปยังจังหวัดทางตะวันตกที่ไม่ได้ถูกยึดครองโดยญี่ปุ่น (โดยเฉพาะในมณฑลเสฉวนและมณฑลยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ และมณฑลส่านซีและมณฑลกานซูทางตะวันตกเฉียงเหนือ) และไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวเกาหลีกว่า 100,000 อพยพข้ามแม่น้ำอาเมอร์เข้าไปยังรัสเซียตะวันออกเพื่อหนีจากการปกครองของญี่ปุ่น[ต้องการอ้างอิง]

หลังจากปี ค.ศ. 1959 กองทัพปลดปล่อยของสาธารณรัฐประชาชนจีนก็เข้ารุกรานและยึดครองทิเบตที่เป็นผลให้ทะไลลามะ องค์ที่สิบสี่และรัฐบาลต้องลี้ภัยไปตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย หลังจากนั้นก็เกิดการอพยพของชาวทิเบตครั้งใหญ่ลงไปทางใต้โดยไม่มีเอกสารติดตัวข้ามเทือกเขาหิมาลัยจนกระทั่งถึงกลางคริสต์ทศวรรษ 1960 และยังคงมีอยู่บ้างอย่างประปรายจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ประมาณกันว่าผู้พลัดถิ่นทิเบตที่ไปพำนักในประเทศต่างๆ มีด้วยกันราว 200,000 คนในจำนวนนั้นครึ่งหนึ่งพำนักอยู่ในอินเดีย, เนปาล และ ภูฏาน

สงครามเย็นและการก่อตั้งรัฐอิสระหลังการเป็นประเทศบริวาร

ระหว่างและหลังสมัยสงครามเย็นประชากรเป็นจำนวนมากอพยพออกจากบริเวณที่มีความขัดแย้งโดยเฉพาะจากประเทศที่กำลังพัฒนาไปยังประเทศต่างๆ

ความระส่ำระสายในตะวันออกกลางและในเอเชียกลางที่มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งของสองมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา และ สหภาพโซเวียตก่อให้เกิดกลุ่มผู้ลี้ภัยขึ้นเป็นจำนวนมากที่กลายมาเป็นการพลัดถิ่นระดับโลก ในปี ค.ศ. 1979 เมื่อสหภาพโซเวียตเข้ารุกรานอาฟกานิสถานที่ทำให้ผู้คนกว่า 6 ล้านคนกลายเป็นผู้พลัดถิ่นที่ทำให้จำนวนประชากรที่เป็นผู้ลี้ภัยทั่วโลกทวีคูณขึ้นเป็นจำนวนมาก หรือในปี ค.ศ. 1979 เมื่อชาห์มุฮัมมัด เรซา ปาเลวีล่มก็มีผู้ที่เป็นฝ่ายเดียวกับพระเจ้าชาห์หนีออกจากอิหร่านกันเป็นจำนวนมาก

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1970 เมื่อรัฐบาลเวียดนาม กัมพูชา และลาวล่ม ก็ก่อให้เกิดกลุ่มผู้ลี้ภัยจากประเทศเหล่านั้นเป็นจำนวนมากที่บางส่วนก็หนีข้ามพรมแดนเข้ามายังประเทศไทย หรือ ล่องเรือเข้ามาที่เรียกกันว่า “ชนเรือ” (Boat people) ก่อนที่จะถูกส่งต่อไปยังประเทศอื่นๆ ในทวีปอเมริกาและยุโรป

ในแอฟริกาก็มีระลอกการอพยพลี้ภัยเกิดขึ้นหลายครั้งหลังจากสมัยอาณานิคมสิ้นสุดลง เช่นเมื่อยูกันดาขับไล่ชาวอินเดีย 80,000 คนออกจากประเทศในปี ค.ศ. 1972 หรือเมื่อมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่รวันดา (Rwandan Genocide) ในปี ค.ศ. 1994 ก็ทำให้ผู้คนต้องหลบหนีเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านเป็นจำนวนมาก หรือเมื่อสถานะการณ์ในZimbabweเริ่มเสื่อมทรามลงซิมบับเวก็ทำให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากหนีเข้าไปในประเทศแอฟริกาใต้

ในอเมริกาใต้ผู้ลี้ภัยจากชิลีและอุรุกวัยก็พากันหลบนี้ไปตั้งหลักแหล่งในยุโรปกันเป็นจำนวนมากระหว่างสมัยการปกครองของรัฐบาลเผด็จการระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1970 จนถึง 1980 ผู้ลี้ภัยโคลอมเบียหนีออกจากประเทศมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 เพื่อหลบหนีความรุนแรงของเหตุการณ์ภายในประเทศและสงครามการเมืองที่เกิดขึ้นอันไม่หยุดยั้ง ในอเมริกากลางผู้ที่กลายเป็นผู้พลัดถิ่นก็มาจากนิการากัว, เอลซัลวาดอร์, กัวเตมาลา, ฮอนดูรัส, คอสตาริกาns and ปานามาผู้หลบหนีเพราะสภาวะทางเศรษฐกิจอันยากไร้


การพลัดถิ่นที่เกิดจากการโยกย้าย: ปัญหาโต้เถียง

นักวิชาการบางท่านกล่าวว่าการอพยพเพราะเศรษฐกิจ (Immigration) ที่เป็นกลุ่มใหญ่นอกประเทศของตนเองเป็นกลุ่ม “ผู้พลัดถิ่น” ที่มีประสิทธิภาพ[ต้องการอ้างอิง] เช่นกลุ่มชาวตุรกีในเยอรมนีที่เรียกว่า “แรงงานรับเชิญ” (Gastarbeiter), ชาวเอเชียใต้ในอ่าวเปอร์เชีย, ชาวฟิลิปปินส์ ทั่วโลก หรือชาวจีนในญี่ปุ่น ชาวฮิสปานิค (Hispanic) หรือ ชาวลาติโน (Latino) ในสหรัฐอเมริกาบางครั้งก็เรียกว่ากลุ่ม “ผู้พลัดถิ่น” ใหม่ กลุ่มต่างๆ เหล่านี้ก็ยังคงพยายามรักษาขนบประเพณีของตนเองไว้เช่นกลุ่มเม็กซิกัน-อเมริกัน, เปอร์โตริโก หรือ ชาวคิบัน-อเมริกันเป็นต้น ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 ผู้อพยพชาวเม็กซิโกส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพเพราะปัญหาทางเศรษฐกิจ เพื่อเข้ามาหางานที่ดีกว่าทำในสหรัฐอเมริกา บ้างก็ข้ามเขตแดนอย่างผิดกฎหมาย การอพยพครั้งใหญ่ของสหรัฐก็ได้แก่การอพยพครั้งใหญ่ของชาวแอฟริกันอเมริกันจำนวน 6.5 ล้านคนจากทางใต้ขึ้นไปทางเหนือระหว่าง ค.ศ. 1910 ถึง ค.ศ. 1970 เพื่อไปสนองความต้องการทางแรงงานของเมืองต่างๆ ที่ขยายตัวขึ้น และเพื่อหลบหนีจากบริเวณของประเทศที่ยังถือผิว ยังมีโอกาสที่จะถูกทำร้าย และ จากความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจของรัฐทางภาคใต้

นักประวัติศาสตร์ระบุกลุ่มผู้พลัดถิ่นอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นผลมาจากเหตุการณ์พายุฝุ่น (Dust Bowl) ระหว่าง ค.ศ. 1930 ถึง ค.ศ. 1936 ที่เป็นผลทำให้เกิดความแห้งแล้งอย่างรุนแรงและสร้างความหายนะให้แก่เกษตรกรเป็นจำนวนมาก ผู้อพยพเหล่านี้ส่วนใหญ่ไปตั้งหลักแหล่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย[ต้องการอ้างอิง]

องค์การผู้โยกย้ายถิ่นฐานนานาชาติ (International Organization for Migration) กล่าวว่าในปัจจุบันมีผู้โยกย้ายถิ่นฐานด้วยกันกว่า 200 คนทั่วโลก ยุโรปเป็นจุดหมายใหญ่ที่สุดสำหรับผู้อพยพโดยรับผู้อพยพทั้งสิ้น 70.6 ล้านคนใน ค.ศ. 2005 โดยมีอเมริกาเหนือเป็นอันดับสองรับผู้อพยพทั้งสิ้นกว่า 45.1 ล้านคน ตามด้วยเอเชียเป็นจำนวนเกือบ 25.3 ล้านคน แรงงานนอกถิ่นฐาน (migrant workers) ในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากเอเชีย[2]

อ้างอิง

  1. "An International Conference on the Baltic Archives Abroad". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-13. สืบค้นเมื่อ 2009-10-03.
  2. Rich world needs more foreign workers: report, FOXNews.com, December 02, 2008

ดูเพิ่ม