ข้ามไปเนื้อหา

ชาคีลล์ โอนีล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก แชคิล โอนีล)
ชาคีลล์ โอนีล
โอนีลในปี 2017
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด (1972-03-06) 6 มีนาคม ค.ศ. 1972 (52 ปี)
นวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ U.S.
ส่วนสูงที่ระบุ7 ฟุต 1 นิ้ว (216 เซนติเมตร)[1]
น้ำหนักที่ระบุ325 ปอนด์ (147 กิโลกรัม)[1]
ข้อมูลอาชีพ
ไฮสกูล
วิทยาลัยLSU (1989–1992)
การดราฟต์เอ็นบีเอ1992 / รอบ: 1 / เลือก: 1st โอเวอร์ออล
เลือกโดยออร์แลนโด แมจิก
การเล่นอาชีพ1992–2011
ตำแหน่งเซ็นเตอร์
หมายเลข32, 34, 33, 36
ประวัติอาชีพ
19921996ออร์แลนโด แมจิก
19962004ลอสแอนเจลิส เลเกอรส์
20042008ไมอามี ฮีท
20082009ฟีนิกส์ ซันส์
2009–2010คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์
2010–2011บอสตัน เซลติกส์
ไฮไลต์อาชีพและรางวัล
ผู้เล่นทรงคุณค่าเอ็นบีเอปี 2000
ผู้เล่นทรงคุณค่าเอ็นบีเอรอบไฟนอล 3 ครั้ง
ผู้เล่นทรงคุณค่าในฟีบาเวิร์ลแชมเปียนชิพปี 1994
เล่นเกมรวมดารา 14 ครั้ง
ผู้เล่นทรงคุณค่าเกมรวมดารา 2 ครั้ง
สถิติอาชีพ
แต้ม28,596 (23.7 ppg)
รีบาวด์13,099 (10.9 rpg)
แอสซิสต์2,732 (2.3 bpg)
หอเกียรติยศบาสเกตบอลในฐานะผู้เล่น
FIBA Hall of Fame as player
College Basketball Hall of Fame
Inducted in 2014

ชาคีลล์ ราชอน โอนีล (อังกฤษ: Shaquille Rashaun O'Neal) (เกิด 6 มีนาคม พ.ศ. 2515 ในเมืองนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์) เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า แช็ก (Shaq) เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลเอ็นบีเอที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง โอนีลเริ่มเล่นให้กับออร์แลนโด แมจิก ต่อมาเซ็นสัญญากับลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ ก่อนจะถูกเทรดย้ายไปไมอามี ฮีท, ฟีนิกส์ ซันส์, คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ และ บอสตัน เซลติกส์ ตามลำดับ มีชื่อเสียงเรื่องตัวใหญ่ด้วยความสูง 7 ฟุต 1 นิ้ว (2.16 ม.) หนัก 340 ปอนด์ (154 กก.) และใส่รองเท้าเบอร์ 22 (ของทางสหรัฐ) มีชื่อเล่นหลายชื่อ เช่น ดีเซล (Diesel) บิ๊กอริสโตเติล (Big Aristotle) ซูเปอร์แมน (Superman) และล่าสุดเมื่อได้รับปริญญาโทบริหารธุรกิจคือ ดอกเตอร์แช็ก (Doctor Shaq) ซึ่งส่วนใหญ่แช็กเป็นคนตั้งเอง เขาเริ่มเล่นในเอ็นบีเอตั้งแต่อายุ 20 ปี และตลอดเวลาการเล่น 13 ปี สร้างผลงานที่เยี่ยมยอดและหลายคนถือว่าเขาเป็นเซ็นเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยมีมาทีเดียว

หลังจากเล่นบาสเก็ตบอลระดับมหาวิทยาลัยให้กับ LSU Tigers โอนีลถูกดราฟเข้าสู่ทีมโดย ออลันโด แมจิก ในการดราฟเข้าลีกปี 1992 เขากลายเป็นหนึ่งในเซนเตอร์ที่ดีที่สุดในลีกอย่างรวดเร็ว โดยได้รับรางวัล ผู้เล่นดาวรุ่งยอดยเยี่มประจำปี ในฤดูกาล 1992–93 และโอนีลสามารถนำทีมของเขาเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเอ็นบีเอได้ในปี 1995 ภายหลังจากการเล่นอาชีพเป็นระยะเวลาสี่ปีกับแมจิก โอนีลได้เซ็นสัญญาร่วมทีม แอลเอ เลเกอร์ส เขาคว้าแชมป์เอ็นบีเอได้ 3 สมัยติดต่อกันในปี 2000, 2001 และ 2002 ต่อมา ท่ามกลางความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างเขาและ โคบี ไบรอัน โอนีลได้ถูกเทรดไปร่วมทีม ไมอามี ฮีทในปี 2004 และ สามารถคว้าแชมป์สมัยที่ 4 ของเขาได้สำเร็จในปี 2006 ก่อนจะย้ายไปร่วมทีม ฟีนิกซ์ ซันส์ในฤดูกาล 2007-2008 เขาเล่นให้กับซันส์เป็นระยะเวลาหนึ่งฤดูกาลครึ่ง ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมคลีฟแลนด์ คาวาเลียส์ในฤดูกาล 2009-2010 ในช่วงปลายของการเล่นอาชีพ โอนีลได้เล่นให้กับ บอสตัน เซลติกส์ เป็นทีมสุดท้ายก่อนจะยุติการเล่นอาชีพของตนเองที่นั่น ในวัย 39 ปี

รางวัลและความสำเร็จที่โอนีลได้รับตลอดการเล่นอาชีพ ได้แก่ รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ประจำปี 1999–2000, รางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยม (NBA Rookie of the Year) ปี 1992–93, การติดทีมออลสตาร์ของลีก 15 สมัย, รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเกมส์ออลสตาร์ 3 สมัย, รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า MVP ในรอบชิงชนะเลิศเอ็นบีเอสามสมัย, การติดทีมรวมผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล (All-NBA )14 สมัย และ ติดทีมผู้เล่นเกมส์รับยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล (NBA All-Defensive) 3 สมัย เขายังเป็นหนึ่งในสามผู้เล่นที่ได้รับรางวัล NBA MVP, All-Star Game MVP และ Finals MVP ภายในปีเดียวกัน (ปี 2000) ต่อจาก วิลลิส รีด ในปี 1970 และ ไมเคิล จอร์แดน ในปี 1996 และ 1998, โอนีลยังเป็นผู้เล่นที่ทำคะแนนสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ตลอดกาลของเอ็นบีเอ 6 โอนีลได้รับเลือกให้เข้าสู่หอเกียรติยศบาสเกตบอล Naismith Memorial ในปี 2016 และ ได้รับเลือกให้เข้าสู่หอเกียรติยศของสมาคมบาสเก็ตบอลโลก (FIBA ​​Hall of Fame) ในปี 2017

นอกเหนือจากการเป็นนักบาสเก็ตบอลแล้ว โอนีลยังได้เปิดตัวอัลบั้มเพลงแร็พจำนวน 4 อัลบั้ม โดยอัลบั้มแรกของเขาคือ "Shaq Diesel" โอนีลยังเป็นโปรดิวเซอร์เพลงอิเล็กทรอนิกส์และดีเจทัวร์ที่รู้จักกันในนาม "DIESEL" เขาเคยปรากฏตัวในภาพยนตร์หลายเรื่องและได้แสดงในรายการเรียลลิตี้โชว์ ได้แก่ Shaq's Big Challenge และ Shaq Vs .. เขายังเป็นพิธีกรรายการ The Big Podcast และเป็นผู้จัดการทั่วไปของเกมส์ NBA 2K League

วัยเด็ก

[แก้]

ชาคีลล์ ราชอน (Shaquille Rashaun มาจากภาษาอาหรับ แปลว่า นักรบน้อย) เป็นชื่อที่บิดาแท้ ๆ คือ โจเซฟ โทนี (Joseph Toney) เป็นคนตั้งให้ แต่โอนีลก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับพ่อมากนัก มารดาของเขา ชื่อ ลูซีลล์ โอนีล แฮริสัน (Lucille O'Neal Harrison) แต่งงานใหม่กับทหารอเมริกันชื่อ ฟิลิป แฮริสัน (Phillip Harrison) ซึ่งแช็กเห็นเขาเป็นบิดาที่แท้จริง แช็กได้ใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนหนึ่งในประเทศเยอรมนี ที่ที่พ่อ (ฟิลิป) ของเขาประจำการอยู่ และได้เรียนรู้วิธีการเล่นบาสเกตบอลที่นั่น

เขาทำข้อมือหักทั้งสองข้างจากการไต่ระหว่างต้นไม้สองต้นเลียนแบบสไปเดอร์แมน ตัวการ์ตูนที่เขาชื่นชอบ นี่เป็นคำอธิบายหนึ่งว่าทำไมแช็กถึงชู๊ตลูกโทษได้ไม่ดี

ชีวิตการเล่นบาสเกตบอล

[แก้]

มหาวิทยาลัยลุยเซียนาสเต็ต

[แก้]

เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างเมื่อเล่นที่ไฮสกูล Robert G. Cole Junior-Senior High School ในเมืองแซนแอนโทนีโอ รัฐเท็กซัส และได้เป็นผู้เล่นดีเด่นของโรงเรียนระหว่างเวลาที่เล่นอยู่ที่นั่น เขาเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยลุยเซียนาสเตต (Louisiana State University, LSU) และจบปริญญาตรีในสาขาพาณิชยศาสตร์ ได้รับตำแหน่ง first team All-American สองครั้ง ผู้เล่นแห่งปีของ Southeastern Conference (SEC) สองครั้ง ผู้เล่นแห่งปีระดับประเทศในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) และเป็นเจ้าของสถิติของระดับมหาวิทยาลัย (NCAA) สำหรับจำนวนบล็อกสูงสุดในหนึ่งเกม ถึง 17 ครั้ง เมื่อแข่งกับมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปีสเตต (Mississippi State University) เมื่อ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2533

เดล บราวน์ (Dale Brown) โค้ชที่ LSU ในขณะนั้นบอกว่า เขาพบกับแช็กครั้งแรกเมื่อไปที่เยอรมนี และเข้าใจผิดว่าแช็กเป็นทหารคนหนึ่ง ขณะนั้นเขาอายุเพียง 13 ปี สูงถึง 7 ฟุต แต่หนักเพียง 223 ปอนด์ สามปีผ่านไปแช็กตัวสูงขึ้นอีกเพียงหนึ่งนิ้ว แต่มีกล้ามเนื้อเพิ่มถึง 80 ปอนด์

ออร์แลนโด แมจิก

[แก้]

โอนีล ได้รับเลือกเป็นคนแรกของการดราฟในปี พ.ศ. 2535 โดยทีมออร์แลนโด แมจิก เขาเล่นที่นั่นเป็นเวลาสี่ปี โดยมีผลงานที่โดดเด่นจนได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยม (รุกกีออฟเดอะเยียร์) หลังจากนั้น เมื่อออร์แลนโด้ได้ตัวการ์ดหน้าใหม่ แอนเฟอร์นี ฮาร์ดอเวย์ (ฉายา "เพนนี") เข้ามาในทีม การประสานงานของแช็กกับเพนนี่ช่วยกันสร้างทีมออร์แลนโดจากทีมท้ายตารางกลายมาเป็นทีมที่สามารถเข้ารอบเพลย์ออฟได้

และในฤดูกาลปี พ.ศ. 2537-38 การเข้ามาเสริมทีมของผู้เล่นมากประสบการณ์อย่าง โฮเรส แกรนท์ ทำให้พวกเขาพาทีมออร์แลนโด เอาชนะชิคาโก บุลส์ อดีตแชมป์ 3 สมัย ที่เพิ่งได้ไมเคิล จอร์แดนกลับมาในปีนั้น 4 ต่อ 2 เกม และได้แชมป์ฝั่งตะวันออกด้วยการเฉือนเอาชนะอินดีอานา เพเซอรส์ 4 ต่อ 3 เกม ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอ็นบีเอเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีม แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายให้แชมป์เก่า ฮิวส์ตัน ร็อกเก็ตส์ ที่มี อาคีม โอลาจูวอน กับ ไคลด์ เดร็กซ์เลอร์ เป็นผู้เล่นหลัก ไป 4 ต่อ 0 เกมรวด ฮิวส์ตัน คว้าแชมป์สมัยที่สองติดต่อกัน

ในปีถัดมา (ฤดูกาลปีพ.ศ. 2538-39) ออร์แลนโดยังคงเป็นทีมที่แข็งแกร่ง ฝ่าฟันเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของฝั่งตะวันออกได้ไม่ยากเย็น แต่ก็ไม่สามารถต้านทานฟอร์มร้อนแรงของ ไมเคิล จอร์แดน และชิคาโก บุลส์ ที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ชนะมากที่สุด 72 ครั้งแพ้ 10 มาจากฤดูกาลปกติได้ โดน ชิคาโก บุลส์ ล้างแค้น 4 เกมต่อ 0 คว้าแชมป์ฝั่งตะวันออกและ ชิคาโก้ ก็เข้าไปเอาชนะซีแอทเทิล ซุปเปอร์โซนิก ในรอบชิงชนะเลิศเอ็นบีเอ 4 เกมต่อ 2 คว้าแชมป์สมัยที่ 4 ไปได้สำเร็จ

หลังจากหมดสัญญาจากทีม แช็กได้รับข้อเสนอต่อสัญญาจากออร์แลนโดจำนวนเงินถึง 115 ล้านเหรียญ พร้อมๆกับได้รับการติดต่อจากทีมลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ แต่สุดท้ายแช็กก็ตกลงเซ็นสัญญาไปเข้าร่วมทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2539

ลอสแอนเจลิส เลเกอรส์

[แก้]
แช็ก กำลังจับมือกับ จอร์จ ดับเบิลยู. บุชในโอกาลที่ได้แชมป์เอ็นบีเอปี 2001

หลังจากฤดูกาล 1995-96 ของเอ็นบีเอ (ตรงกับ พ.ศ. 2538-39) โอนีลเข้าร่วมทีมลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ด้วยสัญญาเจ็ดปีมูลค่าสูงถึง 120 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งไม่เคยมีมาก่อน เขาและโคบี ไบรอันต์ กลายเป็นคู่การ์ดและเซ็นเตอร์ที่เล่นได้ประสิทธิภาพที่สุดคู่หนึ่งในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะไม่ราบรื่นและเกิดเรื่องผิดใจกันบ่อยครั้ง

อย่างไรก็ตามทั้งคู่ซึ่งคุมทีมโดยโค้ช ฟิล แจ็กสัน ประสบความสำเร็จมากบนสนามแข่งขัน และพาทีมคว้าตำแหน่งชนะเลิศสามปีติดต่อกัน (คือฤดูกาล 1999-2000, 2001-02 และ 2002-03) แช็กได้รับการเลือกเป็นผู้เล่นทรงคุณค่า (NBA Finals Most Valuable Player) ในรอบสุดท้ายทั้งสามครั้ง เป็นผู้เล่นที่ทำแต้มเฉลี่ยสูงสุดในตำแหน่งเซ็นเตอร์ในประวัติศาสตร์การแข่งรอบสุดท้าย เขายังได้รับการลงคะแนนให้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่า (NBA Most Valuable Player) ในฤดูกาลปกติของปี 1999-2000 และเกือบได้คะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ขาดไปเพียงคะแนนเดียวเท่านั้น

ต้นฤดูกาล 2003-04 (2546-47) โอนีลประกาศว่าเขาต้องการต่อสัญญา แต่ผู้บริหารทีมลังเลที่จะทำตามข้อเรียกร้องของเขา แม้ว่าเลเกอร์สจะเสนอสัญญาหนึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 เพื่อให้โอนีลยังคงเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวสูงที่สุดในลีกแต่โอนีลก็ปฏิเสธ

หลังจากเลเกอร์สพ่ายให้กับดีทรอยต์ พิสตันส์ในรอบสุดท้ายของเอ็นบีเอ โอนีล ผิดใจกับคำพูดของผู้จัดการทั่วไปของเลเกอร์ส มิทช์ คุปแช็ก (Mitch Kupchak) และยังมีเรื่องความขัดแย้งระหว่างแช็กกับ โคบี้ ไบรอนท์ ที่ลุมๆดอนๆมาตลอด, โค้ชฟิล แจ็กสันไม่ต่อสัญญากับทีม รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของแช็กกับทีมที่ทางเจ้าของทีมไม่ได้ให้ความสนใจ ทำให้โอนีลประกาศว่าเขาต้องการให้เทรด ตัวเขาย้ายออกจากทีม ซึ่งทางเลเกอร์สก็ตกลงเทรดโอนีลไปยังทีมไมอามี ฮีท แลกกับ ลามาร์ โอดอม (Lamar Odom) , ไบรอัน แกรนต์ (Brian Grant) , คารอน บัทเลอร์ (Caron Butler) และสิทธิ์ในการดราฟรอบแรก

ไมอามี ฮีท

[แก้]

แช็กได้ถูกเทรดอย่างเป็นทางการเมื่อ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 การเทรดนี้ถือเป็นการเทรดที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์กีฬา โดยผู้วิเคราะห์ไม่แน่ใจว่าผู้เล่นคนเดียวสามารถแทนที่ผู้เล่นสำคัญหลายคนของไมอามีได้ แต่ว่าทีมฮีทใหม่ที่มีแช็กประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมายและทำสถิติดีที่สุดของสายตะวันออกได้อย่างง่ายดาย เมื่อเขารับบทพระรองให้กับผู้เล่นดาวรุ่งของไมอามี่ ชื่อ ดเวย์น เหวด ในขณะที่คนที่เทรดออกไปกลับไม่สามารถช่วยให้เลเกอร์สเข้ารอบเพลย์ออฟได้ เขาพลาดรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าของฤดูกาล 2004-05 โดยแพ้ให้กับ สตีฟ แนช (Steve Nash) ไปเพียงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าแช็กจะกะเผลกจากแผลฟกช้ำที่ต้นขา เขาก็ยังนำทีมเข้าถึงรอบชิงของสายตะวันออกและแพ้ให้กับทีมดีทรอยต์ พิสตันส์ในเกม 7 ด้วยคะแนนไม่ห่างมากนัก

สิงหาคม พ.ศ. 2548 โอนีลเซ็นสัญญาต่ออีก 5 ปีกับฮีทด้วยเงิน 100 ล้านเหรียญ นักวิจารณ์ต่างดูแคลนว่าเป็นการจ่ายผู้เล่นอายุมากที่แพงเกินความเป็นจริง แต่ผู้สนับสนุนก็ยกย่องฮีทที่ได้ผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอ็นบีเอด้วยค่าตัวเพียง 20 ล้านเหรียญต่อปี ซึ่งพอ ๆ กับผู้เล่นบางคนที่มักบาดเจ็บหรือเล่นได้แย่บางคน

จากการเซ็นสัญญานี้ แช็กได้กลับคำพูดเดิมที่ว่าไม่ยอมลดค่าตัวของตัวเองเพื่อผลประโยชน์ของทีม ปีพ.ศ. 2548 แช็กมีค่าตัว 30 ล้านเหรียญแต่ปีต่อ ๆ ไปจะมีค่าตัวลดลงถึง 10 ล้านเหรียญเพื่อช่วยให้ฮีทสามารถได้ผู้เล่นที่ดีขึ้น และสยบความสงสัยของผู้คนว่า เขาจะมีปัญหากับ ดเวย์น เหวด เหมือนที่เคยมี กับ โคบี้ ไบรอันท์ หรือไม่ (แช็ก เคยประกาศเมื่อสมัยอยู่กับทีมเลเกอร์สว่า ทีมนี้คือทีมของเขา) โดยบอกกับสื่อมวลชนว่า "ไมอามี่ ฮีท คือทีมของ ดเวยน์ เหว็ด และสิ่งเดียวที่เขาต้องการคือ แชมป์เอ็นบีเอ"

ในฤดูกาล 2005-06 แช็กบาดเจ็บข้อเท้าขวาในเกมที่สองของฤดูกาลและพลาดลงเล่นใน 18 เกมถัดมา ตลอดฤดูกาลปกติ โค้ช แพท ไรลีย์ (Pat Riley) จำกัดเวลาเล่นของแช็กเพื่อให้แช็กมีฟอร์มการเล่นที่สดขึ้นเมื่อถึงช่วงเพลย์ออฟ แช็กจบฤดูกาลปกติได้เปอร์เซนต์การชู้ตสูงสุดในลีก และเป็นการทำสถิติได้เป็นครั้งที่ 9 ซึ่งมีเพียงแช็ก และ วิลต์ แชมเบอร์เลน (Wilt Chamberlain) เท่านั้นที่ทำได้ ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2549 แช็ก ยังทำ ทริปเปิล-ดับเบิล เป็นครั้งที่สองในชีวิตการเล่นโดยได้ 15 คะแนน 11 รีบาวด์ 10 แอสซิสต์ ซึ่งเป็นการทำแอสซิสต์สูงสุดของแช็ก

ในเพลย์ออฟ 2006 ฮีท ได้คว้าแชมป์เอ็นบีเอเป็นครั้งแรกของทีมภายใต้การนำของแช็ก และ ดเวน เหว็ด (Dwyane Wade) ฮีทเข้าเพลย์ออฟในอันดับสองในสาย เอาชนะทีมอันดับหนึ่งคือดีทรอยต์ พีสตันส์ในรอบชิงแชมป์คอนเฟอเรนซ์ตะวันออก และชนะทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ในรอบชิงชนะเลิศ แช็กทำผลงานเฉลี่ยน้อยกว่าฤดูกาลปกติ แต่ก็สร้างผลงานได้ดีในเกมที่ปิดซีรีส์เพื้อเข้ารอบต่อไป โดยทำ 30 แต้ม 20 รีบาวด์เอาชนะชิคาโก บูลส์ในรอบแรก และทำ 28 แต้ม 16 รีบาวด์ 5 บล็อกเอาชนะพีสตันส์ แชมป์ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่ของแช็กและเป็นไปตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับไมอามี

ฤดูกาล 2006-07 ฮีท ประสบปัญหาการบาดเจ็บจากผู้เล่นหลัก แช็กเจ็บเข่าขวา และไม่ได้ลงเล่นถึง 30 เกม ช่วงที่แช็กหายไป ทีมมีปัญหาการเล่น แต่เมื่อแช็กกลับมาเล่นอีกครั้ง เขาทำให้ทีมชนะ 7 ใน 8 เกมถัดมา แต่ ดเวน เหว็ด ก็มาบาดเจ็บหัวไหล่เคลื่อน นักวิจารณ์สงสัยว่าลำพังแช็กสามารถแบกทีมให้เข้าสู่รอบเพลย์ออฟได้หรือไม่ ซึ่งแช็กก็ตอบข้อวิจารณ์โดยพาทีมให้ชนะเกมติดต่อกันและได้เล่นในเพลย์ออฟ ฮีท ได้พบกับ ชิคาโก บุลส์ ในรอบแรกแต่แพ้ 4 เกมรวดและตกรอบเพลย์ออฟ ถือเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ โอนีล ไม่สามารถเข้าสู่รอบสอง

ฤดูกาล 2006–07 นี้ โอนีลทำคะแนนรวมตลอดอาชีพการเล่นถึง 25,000 คะแนน ถือเป็นผู้เล่นเอ็นบีเอคนที่ 14 ที่ทำได้ แต่ฤดูกาลนี้ก็เป็นฤดูกาลของโอนีลที่ทำคะแนนเฉลี่ยต่อเกมไม่ถึง 20 คะแนน

โอนีล เล่นไม่ดีในช่วงต้นฤดูกาล 2007–08 ทำคะแนน รีบาวด์ และ บล็อก เฉลี่ยต่ำสุดเท่าที่เคยเล่น บทบาทในการทำคะแนนของเขาลดลงมาก เขาพยายามชู้ตแค่ 10 ครั้งต่อเกม เที่ยบกับค่าเฉลี่ยตลอดอาชีพการเล่นที่ 17 อีกทั้งมีปัญหาเรื่องการฟาล์ว มีช่วงหนึ่งที่ทำฟาล์วจนต้องออกจากการแข่งขันติดต่อกัน 5 เกม จากผลงานที่ได้ดีและมีปัญหาบาดเจ็บบ่อย โอนีล พลาดการเล่นในเกมรวมดาราเอ็นบีเอ ทำให้สถิติการเล่นเกมรวมดาราถึง 14 ปีติดต่อกันของ โอนีล ก็จบลงในฤดูกาลนี้

ฟีนิกส์ ซันส์

[แก้]
ชาคีลล์ โอนีล เล่นในทีมซันส์ เจอกับนิวออลีนส์ ฮอร์เนตส์ เมื่อ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008

ฟีนิกส์ ซันส์ เทรดเอา โอนีล มาจากไมอามี ฮีท แลกกับ ชอน แมริออน (Shawn Marion) และ มาคัส แบงค์ส (Marcus Banks) โอนีล เล่นให้ซันส์เกมแรกในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 แข่งกับเลเกอร์ส ทีมเก่าของเขา และทำ 15 แต้ม 9 รีบาวด์ เลเกอร์สชนะด้วยคะแนน 130 ต่อ 124 โอนีลกล่าวกับผู้สื่อขาวหลังจบเกมว่า: "ผมขอรับผิดจากการแพ้เกมนี้เพราะยังไม่เล่นเข้าขากับคนอื่น แต่ขอเวลาผมสี่หรือห้าวันแล้วผมจะทำให้ได้" I will take the blame for this loss because I wasn't in tune with the guys [...] But give me four or five days to really get in tune and I'll get it.[2]

แต่ในเกมฤดูกาลปกติที่ โอนีล เล่นรวม 28 เกม ทำได้เฉลี่ย 12.9 คะแนน 10.6 รีบาวด์ในปีแรกที่เล่นให้ซันส์[3] และได้เข้ารอบเพลย์ออฟ สาเหตุหนึ่งของการเทรดเอา โอนีล มา ก็เพื่อประกบกับ ทิม ดังแคน ของทีม ซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ เมื่อพบกันตอนเพลย์ออฟ โดยเฉพาะเมื่อซันส์ต้องตกรอบในเพลย์ออฟในฤดูกาลที่แล้วเพราะดังแคน[4] โอนีล และ ฟีนิกส์ ซันส์ ก็ได้พบกับทีม ซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ จริงๆ ในรอบแรกของเพลย์ออฟ แต่ก็แพ้ตกรอบอีกครั้งในการแข่ง 5 เกม ในการแข่งซีรีส์นี้ โอนีล ทำ 15.2 แต้ม 9.2 รีบาวด์ 1.0 แอสซิสต์ต่อเกม[3]

ผลงานของเขาดีขึ้นในฤดูกาล 2008-09 สำหรับโอนีล ครึ่งฤดูกาลแรก (41 เกม) เขาทำผลงานเฉลี่ย 18 แต้ม 9 รีบาวน์ และ 1.6 บล็อกต่อเกม ช่วยให้ทีมฟินิกส์ ซันส์มีสถิติ 23-18 อยู่ในอันดับ 2 ของดิวิชั่น เขาได้รับเลือกให้ติดทีมออลสตาร์อีกครั้งในปี 2009 และได้รับตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าร่วมกับอดีตเพื่อนร่วมทีม โคบี้ ไบรอันต์

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2009 โอนีลชู้ต 45 แต้ม และรีบาวน์ 11 ครั้ง เป็นการทำคะแนน 40 แต้มหรือมากกว่าครั้งที่ 49 ของเขา ในเกมที่เอาชนะ โตรอนโต้ แร็พเตอร์ส 133-113 แต่ฤดูกาลนี้จบลง และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โอนีลเข้ามาเอ็นบีเอเมื่อปี 1992 ที่เขาไม่ได้เข้ารอบเพลย์ออฟ

คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส

[แก้]

วันที่ 25 มิถุนายน 2009 ฟินิกส์ ซันส์ เทรด โอนีล ไปอยู่ทีม คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส แลกกับ ซาช่า แพบโลวิช, เบน วอลเลซ, เงิน 500,000 เหรียญ และ สิทธิ์ในการดร้าฟผู้เล่นในรอบสองของปี 2010 การมาที่คลีฟแลนด์นี้ โอนีล กล่าวว่า "คำขวัญของผมง่ายมาก: ช่วยเดอะคิงคว้าแหวนแชมป์" "My motto is very simple: Win a Ring for the King," โดย The King นั้นหมายถึง เลอบรอน เจมส์

ในวันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2010 โอนีลได้รับบาดเจ็บที่นิ้วโป้งข้างขวาขณะที่พยายามขึ้นชู้ตแล้วโดน เกล็น เดวิส ของทีม บอสตัน เซลติกส์ ปัดป้องกันไว้ เขารับการผ่าตัดในวันที่ 1 มีนาคม และกลับมาลงสนามวันที่ 17 เมษายน ในเพลย์ออฟรอบแรกที่ทีมพบกับ ชิคาโก้ บุลส์

แต่ถ้ามองตามตัวเลขสถิติทั้งฤดูกาลของโอนีลกับคาวาเลียร์สแล้ว กลับน่าผิดหวัง เขาทำผลงานต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตัวเองในเกือบทุกด้าน บทบาทของเขาน้อยลงกว่าปีก่อนหน้า เขาไม่ราบรื่นนักในการเป็นผู้เล่นวงในสำหรับคลีฟแลนด์ แช็กหายจากการบาดเจ็บและกลับมาเป็นตัวจริงให้ทีมในเพลย์ออฟได้ทันเวลา แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่สามารถช่วยทีมให้รอดพ้นจากการเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอ ที่มีสถิติชนะมากที่สุดในฤดูกาลปกติแต่กลับเข้าไม่ถึงรอบชิงชนะเลิศได้ ถึงสองปีติดต่อกัน เมื่อพวกเขาพ่ายให้กับ บอสตัน เซลติกส์ 4 เกมต่อ 2 ในรอบรองชนะเลิศของการชิงแชมป์ฝั่งตะวันออก เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2553

อนาคตของโอนีลยังคงคลุมเครือเมื่อฤดูกาลจบลง เขาจะกลายเป็นผู้เล่น ฟรีเอเจนท์ ในช่วงปิดฤดูกาล 2010 นี้

บอสตัน เซลติก

[แก้]

หลังจบฤดูกาล 2009-2010 แช็กกลายเป็นฟรีเอเจนท์ หลายทีมให้ความสนใจทั้ง แอตแลนตา ฮอกส์ และ ดัลลัส แมฟเวอริกส์ แต่ทั้งสองทีมก็ไม่สู้สัญญาค่าจ้างที่แช็กต้องการสูงเกินไป ในวันที่ 4 สิงหาคม 2010 บอสตัน เซลติกส์ที่ตกลงเซ็นสัญญากับแช็กด้วยสัญญาขั้นต่ำ 2 ปี 2.8ล้านเหรียญ

2 พฤศจิกายน วันเปิดฤดูกาล 2010-2011 แช็กพลาดลงเล่น 5เกมแรก เนื่องจากอาการบาดเจ็บ และลงเล่นในเกมถัดไป

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2011 แช็คเกิดอาการบาดเจ็บอีกครั้งจนทำให้เขาพลาดเกมที่เหลือ

วันที่ 3 เมษายน 2011 แช็คกลับมาลงเล่นอีกครั้งหลังจากพลาดไป 27 เกม เขาลงเล่นด้วยเพียง 5 นาทีก็เกิดอาการบาดเจ็บ และนั่นเป็นเกมสุดท้ายของเขาในฤดูกาลปกติ

บอสตัน เซลติกส์ สามารถเข้าสู่รอบเพลย์ออฟ ด้วยสถิติฤดูกาลปกติ 56-26 เป็นที่ 3 ของสายตะวันออก ด้วยอาการบาดเจ็บ แช็ค ไม่สามารถลงเล่นในเกมนัดแรกที่เจอกับ นิวยอร์ก นิกส์ แต่ บอสตัน เซลติกส์สามารถชนะ 4 เกมรวดเข้ารอบสอง แช็คกลับมาช่วยทีมอีกครั้งในเพลย์ออฟรอบที่สองในเกมที่ 3 และ 4 ด้วยเวลาลงทั้งหมดเพียง 12 นาที แต่เซลติกแพ้ให้ ไมอามี่ ฮีต ในเกมที่ 5

วันที่ 1 มิถุนายน 2011 แช็คประกาศรีไทร์ทางทวิตเตอร์ เราสามารถทำมันได้ ,19 ฤดูกาล ผมขอบคุณมาก นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากบอกคุณเป็นคนแรก ผมจะรีไทร์แล้ว รักและขอบคุณทุกคนนะ แล้วเราไว้คุยกัน

รางวัลที่ได้รับ

[แก้]
  • โอนีลได้รับเลือกให้เล่นเกมออลสตาร์ทุกปีตั้งแต่ที่เริ่มเล่นในเอ็นบีเอเมื่อ พ.ศ. 2536 (ยกเว้นปี 2542 เมื่อมีการประท้วงหยุดเล่นและงดออลสตาร์เกม)
  • เป็นผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ในรอบไฟนอลของเอ็นบีเอ (พ.ศ. 2543 ถึง 2545)
  • ได้รับเลือกเป็น All-NBA-Defensive ในปี พ.ศ. 2543, 2544 และ 2546 (แต่ไม่จัดอยู่ในทีมแรก)
  • เป็นผู้เล่นคนสำคัญใน World Championship ปี 2537 และ โอลิมปิกปี 2539 และเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในทีม
  • เป็นผู้เล่นคนแรกในเอ็นบีเอที่ทำค่าเฉลี่ย 20 แต้ม 10 รีบาวด์ต่อเกมรวมกัน 13 ฤดูกาล
  • ได้รับเลือกในทีมออล-เอ็นบีเอ 11 ปี
  • ได้รับเลือกเป็น MVP ในฤดูกาล 1999-00 (พ.ศ. 2542-43) และ ในออลสตาร์เกมของฤดูกาล 2003-04 (พ.ศ. 2546-47)
  • ได้รับปริญญาด้านพาณิชยศาสตร์จาก LSU ที่นั่นมีที่พักตั้งชื่อว่า Shaquille O'Neal Lodge เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ประชุม Cook Conference Center
  • ได้รับปริญญาโทบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยแห่งฟีนิกส์ (University of Phoenix) เมื่อ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2548

จุดแข็งและจุดอ่อน

[แก้]

โอนีลมีร่างกายที่พิเศษ ความสูง 7 ฟุต 1 นิ้วและน้ำหนัก 320 ปอนด์ทำให้เขามีพละกำลังมาก และสำหรับคนรูปร่างขนาดนั้น แช็กเป็นคนที่คล่องแคล่ว ท่า drop step ของเขาคือ เริ่มด้วยยืนหันหลังให้แป้นและผู้เล่นตั้งรับทีมตรงข้าม จากนั้นหมุนตัวและเอาตัวดันเพื่อทำสแลมดังก์ เป็นท่าที่ยากที่จะป้องกันได้ เขายังเป็นคนส่งลูกที่ดีและเล่นตั้งรับได้มีประสิทธิภาพ การที่มีคนอย่างเขาบริเวณใต้แป้นทำให้ทีมต่าง ๆ ต้องปรับเปลี่ยนแผนในการรุกและรับ หากจะป้องกันแช็กโดยเอาผู้เล่นสองหรือสามคนมาประกบก็กลับทำให้เพื่อร่วมทีมสามารถชู้ตลูกได้ง่าย ๆ โดยไม่มีใครมาประกบ

โอนีลเป็นคนที่ชู้ตลูกโทษแย่ที่สุดคนหนึ่งในเอ็นบีเอ ค่าเฉลี่ยตลอดการเล่นของเขาคือเพียง 53.1% ทีมตรงข้ามชอบใช้วิธีทำฟาวล์แช็กโดยจงใจ เรียกกลยุทธนี้ว่า Hack-a-Shaq คิดและตั้งชื่อโดย ดอน เนลสัน โค้ชของดัลลัส แมฟเวอริกส์ แต่การชู้ตลูกโทษแย่ก็พบในผู้เล่นยิ่งใหญ่อีกหลายคนเช่น วิลท์ แชมเบอร์เลน (Wilt Chamberlain) การตั้งใจทำฟาวล์หรือ Hack-a-Shaq นี่เองที่ทำให้เกิดเอ็นบีเอตั้งกติกาขึ้นใหม่ว่า ห้ามจงใจทำฟาวล์ผู้เล่นที่ไม่ได้ถือบอล จนกว่าจะเหลือเวลาการแข่งขันต่ำกว่า 2 นาที ไม่เช่นนั้นจะถือเป็นการทำฟาวล์ทางเทคนิค (Technical Foul) ทันที

จุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งของเขาคือเรื่องน้ำหนัก โอนีลมักปรากฏตัวในแคมป์ฝึกซ้อมก่อนฤดูกาลด้วยน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ในช่วงสองสามปีสุดท้ายกับทีมลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ เขาหนักประมาณ 350 ปอนด์ (160 กิโลกรัม) เมื่อแช็กมีน้ำหนักตัวมากเกินไป เขามักมีปัญหาการบาดเจ็บโดยเฉพาะที่นิ้วหัวแม่โป้งเท้าข้างขวา เขามีอาการเจ็บปวดเรื้อรังที่ข้อต่อนิ้วโป้งเท้าขวาจากการวิ่ง กระโดด และดังก์ ด้วยน้ำหนักตัวที่สูงเป็นเวลามากกว่าสิบปี

หลายคนรู้สึกว่าความดังของแช็กทำให้กรรมการละเลยที่จะเรียกฟาวล์เมื่อทำผิดกฎบางอย่าง เช่นท่าชู้ตลูกโทษของแช็กที่ละเมิดกฎที่ห้ามไม่ให้คนชู้ตลูกโทษล้ำข้ามเส้นลูกโทษจนกว่าลูกบาสเกตบอลจะกระทบกับห่วงหรือแป้นบาส แต่คนที่เข้าข้างแช็กมักพูดว่า เนื่องจากรูปร่างที่ใหญ่โตของเขา กรรมการมักปล่อยให้คนอื่นเล่นรุนแรงขึ้นกับแช็ก

จุดอ่อนสำคัญประการล่าสุดชองแช็กตอนนี้คือ อายุ ตามสถิติของเอ็นบีเอแล้ว ผู้เล่นที่มีความสูงเกินกว่า 7 ฟุต (ประมาณ 213 เซนติเมตร) จะมีค่าเฉลี่ยต่างๆลดลงหลังจากอายุ 30 ปี โดยเฉพาะการทำคะแนนที่จะต่ำกว่า 20 คะแนนต่อเกม ซึ่งแช็กก็ไม่สามารถหนีสถิตินี้พ้นเช่นเดียวกัน

แรงบันดาลใจในอาชีพตำรวจ

[แก้]

นอกสนาม แช็กมีความสนใจงานในหน่วยงานตำรวจมาก โอนีลผ่านหลักสูตรโรงเรียนตำรวจของลอสแอนเจลิส และเป็นเจ้าหน้าที่สำรองของตำรวจท่าของลอสแอนเจลิส

เมื่อมีนาคม พ.ศ. 2548 เขาได้รับยศกิตติมศักดิ์ U.S. Deputy Marshal และเป็นโฆษกของสถาบัน Safe Surfin' และยังทำงานร่วมกับหน่วยที่มีชื่อเดียวกันเพื่อตามล่าผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อล่อลวงเด็กทางเพศ เมื่อแช็กย้ายไปอยู่ไมอามี แช็กเริ่มฝึกเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่สำรองของเมืองไมอามีบีช และเข้าสาบานตัวเป็นเจ้าหน้าที่เมื่อ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2548 แช็กสนใจทำงานด้านสืบสวนสอบสวน สำหรับป้องกันอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับเด็ก

ผลงานการแสดง

[แก้]

ภาพยนตร์

[แก้]

โฆษณาทางโทรทัศน์

[แก้]
  • เนสเล่ ครั้นช์ (Nestlé Crunch)
  • Chattem Icy Hot Sleeve and Icy Hot Back Patch (แผ่นปิดแก้ปวดเมื่อย)

รายการทีวี

[แก้]

ผลงานดนตรี

[แก้]
  • Shaq Diesel (1993)
  • Shaq Fu - Da Return (1994)
  • The Best of Shaquille O'Neal (1996)
  • You Can't Stop the Reign (1996)
  • Respect (1998)
  • Presents His Superfriends, Vol. 1 (2001)

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 "Shaquille O'Neal | Stats". NBA.com. 1972-03-06. สืบค้นเมื่อ 2022-02-13.
  2. ESPN - Daily Dime: Shaq gets the spotlight, while Kobe gets the game ESPN.com
  3. 3.0 3.1 Shaquille O'Neal career stats and splits NBA.com
  4. Why Shaq? Here’s Why dimemag.com

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]