เทศกาลโคมไฟ
เทศกาลโคมไฟ | |
---|---|
บรรยากาศกลางคืน เทศกาลโคมไฟในไทเป | |
ชื่อทางการ | Yuánxiāo jié (元宵節) / Shàngyuán jié (上元節) |
ชื่ออื่น | เทศกาลซ่างหยวน เทศกาลหยวนเซียว |
จัดขึ้นโดย | ชาวจีน |
ประเภท | วัฒนธรรม, ศาสนา |
ความสำคัญ | Marks the end of ปีใหม่ทางจันทรคติ |
การถือปฏิบัติ | ปล่อยโคมกระดาษ |
วันที่ | ขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย (ปีจันทรคติ) |
วันที่ในปี 2023 | 5 กุมภาพันธ์ |
วันที่ในปี 2024 | 24 กุมภาพันธ์ |
วันที่ในปี 2025 | 12 กุมภาพันธ์ |
ส่วนเกี่ยวข้อง | Chinese people |
เทศกาลโคมไฟ เป็นเทศกาลฉลองในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้ายตามปฏิทินจันทรคติ เป็นสัญลักษณ์ของวันสุดท้ายในการฉลองเทศกาลปีใหม่ของจีนตามปฏิทินทางจันทรคติ ในเทศกาลโคมไฟ เด็กๆ จะถือโคมไฟกระดาษ ออกไปวัดกันในตอนกลางคืน และพากันทายปริศนาที่อยู่บนโคมไฟ เรียกว่า ไชเติงหมี
ในสมัยโบราณ, โคมไฟจะทำเป็นรูปแบบง่ายๆ จะมีเพียงแต่ของกษัตริย์ และขุนนางเท่านั้นที่จะมีโคมไฟที่หรูหราใหญ่โต แต่ในสมัยปัจจุบัน, โคมไฟได้ถูกประดับประดาด้วยรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้น. ตัวอย่างเช่น มักจะทำโคมไฟเป็นรูปสัตว์ต่างๆ โคมไฟมักจะทำเป็นสีแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี.
ในฮ่องกง, ยกให้วันนี้เปรียบเสมือนกับวันวาเลนไทน์ ในบางแห่งเทศกาลไหว้พระจันทร์ ก็จะถูกรู้จักกันในชื่อของเทศกาลโคมไฟเหมือนกัน เช่น Singapore และ Malaysia
ประวัติ
[แก้]Lantern Festival | |||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 元宵節 | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
อักษรจีนตัวย่อ | 元宵节 | ||||||
| |||||||
ชื่อภาษาจีนอื่น ๆ | |||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 上元節 | ||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 上元节 | ||||||
| |||||||
ชื่อภาษาจีนอื่น ๆ (2) | |||||||
ภาษาจีน | 十五暝 | ||||||
ความหมายตามตัวอักษร | fifteenth night | ||||||
|
ในเดือนแรกของปฏิทินจันทรคติเรียกว่า เดือนหยวน, และในสมัยก่อนเรียกเวลากลางคืนว่า เซียว ในภาษาจีนกลาง ดังนั้น ในประเทศจีนวันนี้จึงถูกเรียกว่า เทศกาลหยวนเซียว ในวันที่ 15 ของเดือนแรกในปีจันทรคตินี้เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง ตามประเพณีของลัทธิเต๋าวันที่ 15 ในเดือนแรกของปฏิทินจันทรคติ เรียกว่า ซ่างหยวน ตรงกับคำเรียก "เทพแห่งฟ้า" ท่านเป็นผู้ที่ชอบแสงสว่าง และวัตถุแห่งความสุข ดังนั้น ผู้คนจึงได้แขวนโคมไฟสีสันสวยงามนับพันๆ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณท่าน ในปัจจุบันผู้คนจะมีการละเล่นแก้ปริศนาที่อยู่ในโคมไฟ และกินขนมบัวลอยในเทศกาลหยวนเซียว เรียกว่า ขนมทังหยวน และครอบครัวก็มีการมารวมตัวกันอย่างมีความสุข.
ตำนานกำเนิด
[แก้]มีความเชื่อที่หลากหลายต่างๆ กันเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเทศกาลโคมไฟ. อย่างไรก็ตาม มีหนึ่งตำนานที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ก่อกำเนิดจริงๆ คือ "ความมืดลงของฤดูหนาว" และ ผู้คนในชุมชนสามารถที่จะ "ลบความมืดนั้นออกไปด้วยแสงสว่างที่เกิดจากฝีมือมนุษย์" ที่เรียกว่า โคมไฟ ในสมัยของราชวงศ์ฮั่น เทศกาลนี้มีความเชื่อมโยงกับเทพเจ้าไท่อี่, เทพเจ้าแห่งดาวขั้วฟ้าเหนือ
มีหนึ่งตำนานบอกว่า มันคือช่วงเวลาของการบูชาเทพเจ้าไท่อี่ เป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า เชื่อว่าเทพแห่งฟ้านี้คือผู้กุมโชคชาตะชีวิตของมนุษย์. ท่านมีมังกร16 ตัวอยู่ที่หลัง ยามที่เกิดภัยแล้ง พายุ โรคระบาดในมนุษย์ ก็จะต้องเรียกให้ท่านช่วย นับตั้งแต่กษัตริย์จินซีฮ่องเต้ กษัตริย์องค์แรกของจีน มาจนถึงกษัตริย์ทุกพระองค์จะต้องมีการจัดเทศกาลฉลองอย่างสวยงามในทุกๆ ปี โดยที่กษัตริย์ก็จะขอให้เทพเจ้าไท่อี่ดลบรรดาลให้อากาศดี และสุขภาพร่างกายแข็งแรงจงเกิดกับตัวเขาเองและประชาชน[1]
กษัตริย์ฮั่น หวู่ตี้ แห่งราชวงศ์ฮั่น มีความสนใจในเทศกาลนี้มาก. ในปีคริสต์ศักราช 104 เขาได้ประกาศให้เทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดเทศกาลหนึ่ง และให้มีการเฉลิมฉลองกันตลอดทั้งคืน.
ตำนานเทศกาลโคมไฟอีกอันหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋า เทียนกวน เป็นเทพแห่งลัทธิเต๋ารับผิดชอบเกี่ยวความโชคดี ท่านเกิดตรงกับวันที่ 15 ในเดือนแรกของปีจันทรคติ. กล่าวกันว่าท่านเทียนกวนชอบความบันเทิงทุกประเภท ดังนั้นผู้ที่นับถือจึงจัดเตรียมกิจกรรมความสนุกที่หลากหลายในเวลาที่ขอพรให้ตนเองโชคดี.
ตำนวนเทศกาลโคมไฟอีกอันหนึ่ง ก็จะมีที่เกี่ยวข้องกับนักรบที่ชื่อว่า Lan Moon, เขาเป็นผู้นำการก่อกบฏต่อต้านกษัตริย์เผด็จการสมัยจีนโบราณ เขาถูกฆ่าลงท่ามกลางพายุกลางเมือง และการทำกบฏสำเร็จจึงได้ใช้ชื่อเขาเป็นชื่อเทศกาลเพื่อเป็นอนุสรณ์ .
ตำนานเทศกาลโคมไฟอีกอันหนึ่ง กล่าวถึงนกกระเรียนสวยงามที่บินลงมาจากสวรรค์สู่โลกมนุษย์ หลังจากที่บินลงถึงโลกมนุษย์ก็ถูกฆ่าตายโดยชาวบ้านของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทำให้พระเจ้ายวู่ฮวงต้าตี้ ที่อยู่บนสวรรค์โกรธมาก เพราะท่านโปรดปรานนกกระเรียนมาก ดังนั้นท่านจึงได้วางแผนจะให้เกิดพายุไฟขึ้นในหมู่บ้านแห่งนั้นในวันที่ 15 เดือนแรกของปีจันทรคติ ลูกสาวของพระเจ้ายวู่ฮ่วงต้าตี้ทราบเข้า จึงได้ไปเตื่อนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้น ชาวบ้านต่างวุ่นวายโกลาหลเพราะไม่มีใครรู้ว่าจะหนีจากภัยที่กำลังใกล้เข้ามานี้ได้ยังไง อย่างไรก็ตาม ก็มีชายผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดจากหมู่บ้านอื่นมาแนะนำให้ทุกบ้านจงแขวนโคมไฟสีแดงรอบๆ บ้าน ก่อกองไฟบนถนน และจุดประทัดในวันที่ 14 15 และ 16 แบบนี้ก็จะทำให้หมู่บ้านนี้ปรากฏแสงไฟต่อพระเจ้ายวู่ฮวงต้าตี้ และแล้วในวันที่ 15 กองกำลังทหารก็ถูกส่งลงมาจากสวรรค์เพื่อมาทำลายล้างหมู่บ้านนี้ เหล่าทหารก็ได้เห็นว่าหมู่บ้านเต็มไปด้วยแสงไฟที่ร้อนแรง ก็เลยกลับไปรายงานพระเจ้ายวู่ฮวงต้าตี้ ทำให้ พระเจ้ายวู่ฮวงต้าตี้เกิดความพอใจ และไม่คิดจะเผาทำลายหมู่บ้านนี้อีก จากวันนั้นเป็นต้นมา ผู้คนก็ฉลองในวันที่ 15 ในเดือนแรกของปีจันทรคติของทุกปี ด้วยการแขวนโคมไฟตามถนน และจุดประทัด ดอกไม้ฟ.[ต้องการอ้างอิง]
ตำนานเทศกาลโคมไฟอีกอันหนึ่ง เกี่ยวข้องกับสาวใช้ที่ชื่อ หยวนเซียว ในสมัยราชวงศ์ฮั่น Han Dynasty, ตงฟางซั่ว Dongfang Shuo คือ ขุนนางคนโปรดของกษัตริย์ฮั่นหวู่ตี้ ในฤดูหนาวปีหนึ่งเขาได้เดินไปในสวนและได้เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร้องไห้ และกำลังจะโดดลงไปในบ่อน้ำเพื่อฆ่าตัวตาย ตงฟางจึงได้ห้ามเธอไว้และถามว่าทำไมจึงคิดฆ่าตัวตาย เธอบอกว่าเธอชื่อหยวนเซียว เป็นสาวใช้ในวัง และตั้งแต่เธอมาทำงานในวัง เธอก็ไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมครอบครัวเลย ถ้าเธอไม่มีโอกาสได้แสดงความกตัญญู filial piety ต่อครอบครัว เธอก็ตายซะดีกว่า ตงฟางสัญญากับเธอว่าจะหาวิธีทำให้เธอได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวให้ได้ ตงฟางจึงแอบออกจากวังและไปตั้งโต๊ะทำนายดวงชะตาบนถนน จากปากต่อปากทำให้ประชาชนต่างมาให้เขาทำนายกันมากมาย แต่ทุกคนก็ได้คำทำนายเดียวกันคือ จะเกิดไฟหายนะในวันที่ 15 ของเดือนแรกในปฏิทินจันทรคติ. ข่าวลือแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว.[ต้องการอ้างอิง]
ทุกคนต่างกังวลเกี่ยวกับคำทำนายและขอให้ตงฟางช่วย ตงฟางจึงบอกว่า ในวันที่ 13 เทพเจ้าแห่งไฟจะส่งนางฟ้าชุดแดงขี่ม้าดำลงมาเผาเมือง. เมื่อประชาชนเห็นนางฟ้าจะต้องร้องขอความเมตตาจากท่าน ในวันนั้นหยวนเซียวแกล้งปลอมตัวเป็นนางฟ้าชุดแดง. เมื่อประชาชนร้องขอให้เธอช่วย เธอบอกว่าเธอได้รับคำสั่งจากเทพเจ้าแห่งไฟให้มาจับตัวกษัตริย์ไป หลังจากที่เธอจากไป ประชาชนจึงเข้าไปในวังและกล่าวทูลว่าบ้านเมืองจะถูกเผาในวันที่ 15. กษัตริย์ฮั่นหวู่ตี้ขอคำแนะนำจากตงฟางว่าควรทำอย่างไรดี ตงฟางบอกว่าเทพเจ้าแห่งไฟชอบกินทังหยวน tangyuan (sweet dumplings). หยวนเซียวควรจะทำทังหยวนในวันที่ 15 และกษัตริย์ควรจะต้องสั่งให้ทุกบ้านทำทังหยวนเพื่อบูชาแก่เทพเจ้าแห่งไฟในวันนั้นด้วย และในเวลาเดียวกันทุกบ้านควรจะต้องแขวนโคมไฟสีแดงและจุดประทัด. และท้ายสุดคือทุกคนในวัง และประชาชนภายนอกในเมืองควรจะถือโคมไฟของตนเองเดินไปตามถนนเพื่อชมการตกแต่งโคมไฟและดอกไม้ไฟ. พระเจ้ายวู่ฮวงต้าตี้ก็จะถูกหลอกจากอุบายกลลวงนี้และทุกคนก็จะรอดพ้นจากไฟไหม้.
กษัตริย์ฮั่นหวู่ตี้พอใจกับแผนการนี้. โคมไฟถูกประดับไปทั่วเมืองในคืนวันที่ 15 ประชาชนเดินไปตามถนน เสียงประทัดดังไปทั่ว มันดูราวกับว่าในเมืองถูกไฟเผา พ่อแม่ของหยวนเซียวเข้ามาในวังเพื่อดูการตกแต่งโคมไฟจึงทำให้ได้เจอกับลูกสาวอีกครั้ง. กษัตริย์ฮั่นหวู่ตี้ได้สั่งให้ประชาชนควรจะต้องทำแบบนี้ทุกๆ ปี และนับตั้งแต่นั้นมาที่หยวนเซียวได้ทำขนมทังหยวน ประชาชนก็เลยต่างพากันเรียกเทศกาลนี้ว่า เทศกาลหยวนเซียว.
ตามหาความรัก
[แก้]ในวันแรก หนุ่มสาวจะออกมาเดินตามท้องถนนเพื่อหวังที่จะตามหารัก แม่สือต่างทำงานกันวุ่นวายในการจับคู่ ความสว่างของโคมไฟเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความโชคดีและความหวัง เมื่อเวลาผ่านไป แม้ระยะเวลาในการเฉลิมฉลองจะสั้นลงแต่เทศการนี้ก็ยังคงมีความสำคัญในประเทศจีน และยังคงเปรียบเสมือนเทศกาลแห่งความรัก Valentine's Day ในฮ่องกงอีกด้วย.
หยวนเซียว
[แก้]菜饭吃ในเทศกาลโคมไฟ, ทังหยวน '湯圓' คือ ข้าวเหนียวปั้นเป็นลูกกลมๆ ข้างในใส่ไส้ถั่วแดงหวานๆ, งา หรือ ถั่วเนย ลงไป.[2] ชาวจีนมีความเชื่อว่ารูปร่างกลมๆ ของทังหยวนและชามกลมๆ ที่บรรจุทังหยวน เป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวของคนในครอบครัว และการกินทังหยวนจะเป็นการนำความสุข และ โชคดีให้กับครอบครัวในปีใหม่.[3]
ในศตรวรรษที่ 6 และหลังจากนั้น
[แก้]จนกระทั่งถึงยุคของราชวงศ์สุย Sui Dynasty ในศตวรรษที่ 6 กษัตริย์หยางตี้ Yangdi ได้เชิญทูตจากประเทศอื่นๆ มายังประเทศจีน เพื่อมาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ และชมแสงสีอันสวยงามจากการแสดงโคมไฟ.[4]
ในช่วงเริ่มต้นของราชวงศ์ถัง Tang Dynasty ในศตวรรษที่ 7, จะมีการฉลองโคมไฟกันนานถึง 3 วัน กษัตริย์ยกเลิกเคอร์ฟิว และอนุญาตให้ประชาชนสนุกสนานกับเทศกาลโคมไฟทั้งกลางวันและกลางคืน ดังนั้นจึงไม่ยากเลยที่จะหาบทกลอนจีนที่บรรยายถึงบรรยากาศความสุขของเทศกาลนี้.[4]
ในสมัยราชวงศ์ซ่ง Song Dynasty, จะมีการฉลองเทศกาลโคมไฟนาน 5 วัน และกิจกรรมได้เริ่มมีการแพร่กระจายไปยังเมืองใหญ่ๆ ในจีน. แก้วสีสันสวยงาม และแม้กระทั่งหยก jade ก็ได้ถูกนำมาทำเป็นโคมไฟ พร้อมด้วยภาพวาดพื้นบ้านลงบนโคมเหล่านั้น.
อย่างไรก็ตาม การฉลองเทศกาลโคมไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 15. โดยมีระยะเวลาการฉลองยาวนานถึง 10 วัน. กษัตริย์เฉิงจู่ Emperor Chengzu ได้ให้จัดพื้นที่ใจกลางเมืองเป็นศูนย์กลางการจัดแสดงโคมไฟ. แม้แต่ในวันนี้ ก็ยังคงมีสถานที่ในปักกิ่ง Beijing ที่เรียกว่า เติงซื่อโข่ว Dengshikou. ในภาษาจีน Chinese, เติง deng หมายถึง โคมไฟ และ ซื่อ shi หมายถึงตลาด. พื้นที่นี้กลายเป็นตลาดที่จำหน่ายโคมไฟในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนประชาชนก็จะมาที่นั่นเพื่อชมความสวยงามของแสงจากการแสดงโคมไฟ.
ในวันนี้ การแสดงโคมไฟก็ยังคงเป็นการจัดงานที่สำคัญในวันที่ 15 ในเดือนแรกของปฏิทินจันทรคติทั่วทั้งประเทศจีน. ตัวอย่างเช่น เมืองเฉิงตู Chengdu ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวนของจีน China's Sichuan Province, มีการแขวนโคมไฟทุกปีในสวนสาธารณะ. ในช่วงของเทศกาลโคมไฟ สวนสาธารณะนี้จะเต็มไปด้วยทะเลโคมไฟ. รูปแบบโคมไฟแบบต่างๆ เป็นที่ดึงดูดผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก. โคมไฟที่เป็นจุดสนใจที่สุดคือ โคมไฟมังกรขั้วโลก. มันเป็นโคมรูปร่างมังกรทองที่ม้วนตัวขึ้นไปบนเสาสูง 38 เมตร และพ่นไฟออกจากปากของมัน. เมืองหางโจว Hangzhou และ เซี่ยงไฮ้ Shanghai มีการนำไฟฟ้าและนีออนมาทำโคมไฟโดยใช้กระดาษและไม้พื้นเมืองมาเป็นส่วนประกอบคู่กัน. กิจกรรมที่เป็นที่นิยมในเทศกาลนี้คือ การเดาปริศนาที่อยู่ในโคมไฟ (ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลนี้มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง Tang Dynasty).[ต้องการอ้างอิง] ซึ่งโคมไฟจะบรรจุภายในไปด้วยข้อความที่แสดงถึงความโชคดี ความกลมเกลียวในครอบครัว การเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ ความเจริญรุ่งเรือง และความรัก.[ต้องการอ้างอิง] เหมือนกับฟักทองแกะสลักลงในโคมไฟแจ๊คในเทศกาลฮาโลวีนของโลกตะวันตก, ส่วนพ่อแม่ชาวเอเซียบางทีจะสอนเด็กๆ ให้แกะสลักลงตรงกลางที่กลวงของหัวไช้เท้า Oriental radish /mooli/ หัวไช้เท้าในโคมไฟไช้เท้า daikon into a Cai-Tou-Lantern (จีนตัวย่อ: 营菜头灯; จีนตัวเต็ม: 營菜頭燈; พินอิน: yíng cai tóu dēng) ในเทศกาล.
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ "元宵节来历:曾是中国狂欢节 古时曾放假十天" (ภาษาจีนตัวย่อ). 凤凰网. 2012-02-06. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-12-06. สืบค้นเมื่อ 2012-02-06.
- ↑ World Religions at Your Fingertips. Penguin Group.
- ↑ Wei, Liming (2011). Chinese Festivals. Cambridge University Press. pp. 25–28. ISBN 9780521186599. สืบค้นเมื่อ February 15, 2014.
- ↑ 4.0 4.1 Ning, Qiang (2011). Art, Religion, and Politics in Medieval China: The Dunhuang Cave of the Zhai Family. University of Hawaii Press. p. 131.