ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เครื่องวัดแดด"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{ลิงก์ไปภาษาอื่น}} |
|||
[[ |
[[ไฟล์:Sekstant.jpg|thumb|ภาพการถือและใช้เครื่องวัดแดด]] |
||
'''เครื่องวัดแดด''' หรือ '''เซ็กแตนท์''' ([[ภาษาอังกฤษ]]:sextant) คือ เครื่องมือที่ใช้สำหรับการวัดมุมสัมพันธ์ระหว่างวัตถุสองสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาใน[[การเดินเรือดาราศาสตร์]] วัตถุประสงค์หลักคือการใช้วัดมุมระหว่างวัตถุบนท้องฟ้า([[ดวงอาทิตย์]] [[ดวงจันทร์]] หรือ ดวง[[ดาว]]ต่างๆ)กับ[[เส้นขอบฟ้า]] แล้วนำค่าความสูงที่ได้มาคำนวณหา[[ละติจูด]] เพื่อบอกตำแหน่งของเรือในเวลาที่ทำการสังเกต |
'''เครื่องวัดแดด''' หรือ '''เซ็กแตนท์''' ([[ภาษาอังกฤษ]]:sextant) คือ เครื่องมือที่ใช้สำหรับการวัดมุมสัมพันธ์ระหว่างวัตถุสองสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาใน[[การเดินเรือดาราศาสตร์]] วัตถุประสงค์หลักคือการใช้วัดมุมระหว่างวัตถุบนท้องฟ้า([[ดวงอาทิตย์]] [[ดวงจันทร์]] หรือ ดวง[[ดาว]]ต่างๆ)กับ[[เส้นขอบฟ้า]] แล้วนำค่าความสูงที่ได้มาคำนวณหา[[ละติจูด]] เพื่อบอกตำแหน่งของเรือในเวลาที่ทำการสังเกต |
||
บรรทัด 6: | บรรทัด 7: | ||
==ลักษณะ== |
==ลักษณะ== |
||
[[ |
[[ไฟล์:Marine sextant.svg|thumb|Marine Sextant|300px|right]] |
||
เครื่องวัดแดด มีส่วนประกอบที่เป็นส่วนโค้งที่เรียกว่า Arc ซึ่ง มีขนาดประมาณ 1/6 ของวงกลม (60องศา) ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อเรียกในภาษา[[อังกฤษ]] sextant มีที่มาจาก[[ภาษาละติน]] sextāns มีความหมายว่า หนึ่งส่วนหก ส่วนประกอบที่สำคัญของเครื่องวัดแดดมีดังนี้ |
เครื่องวัดแดด มีส่วนประกอบที่เป็นส่วนโค้งที่เรียกว่า Arc ซึ่ง มีขนาดประมาณ 1/6 ของวงกลม (60องศา) ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อเรียกในภาษา[[อังกฤษ]] sextant มีที่มาจาก[[ภาษาละติน]] sextāns มีความหมายว่า หนึ่งส่วนหก ส่วนประกอบที่สำคัญของเครื่องวัดแดดมีดังนี้ |
||
บรรทัด 29: | บรรทัด 30: | ||
==หลักการทำงาน== |
==หลักการทำงาน== |
||
[[ |
[[ไฟล์:Using sextant swing.gif|thumb|ภาพแสดงหลักการทำงานของเครื่องวัดแดด|300px|right]] |
||
หลักการทำงานพื้นฐานของเครื่องวัดแดดคือ[[การสะท้อน (ฟิสิกส์)|การสะท้อน]]แสงซึ่งในที่นี้คือภาพของวัตถุ ให้ไป |
หลักการทำงานพื้นฐานของเครื่องวัดแดดคือ[[การสะท้อน (ฟิสิกส์)|การสะท้อน]]แสงซึ่งในที่นี้คือภาพของวัตถุ ให้ไปปรากฏบนฉาก(Horizontal Glass)เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบหาค่ามุมสัมพันธ์ |
||
โดยเมื่อใช้สายตามองภาพผ่าน Telescope ภาพของเส้นขอบฟ้าจะมองเห็นผ่าน Horizontal Glass การปรับเลื่อน Index Arm (ซึ่งมี Index Mirror ที่ทำหน้าที่สะท้อนภาพวัตถุให้ไป |
โดยเมื่อใช้สายตามองภาพผ่าน Telescope ภาพของเส้นขอบฟ้าจะมองเห็นผ่าน Horizontal Glass การปรับเลื่อน Index Arm (ซึ่งมี Index Mirror ที่ทำหน้าที่สะท้อนภาพวัตถุให้ไปปรากฏบน Horizontal Mirror) จะแสดงค่าความสูงหรือค่ามุมสัมพันธ์ระหว่างวัตถุและเส้นขอบฟ้า<ref>{{cite journal|last=Seddon|first=J. Carl|title=Line of Position from a Horizontal Angle|journal=Journal of Navigation|date=June 1968|volume=21|issue=03|pages=367–369|doi=10.1017/S0373463300024838|url=http://journals.cambridge.org/article_S0373463300024838|issn=1469-7785}}</ref> |
||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:15, 22 มิถุนายน 2558
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
เครื่องวัดแดด หรือ เซ็กแตนท์ (ภาษาอังกฤษ:sextant) คือ เครื่องมือที่ใช้สำหรับการวัดมุมสัมพันธ์ระหว่างวัตถุสองสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาในการเดินเรือดาราศาสตร์ วัตถุประสงค์หลักคือการใช้วัดมุมระหว่างวัตถุบนท้องฟ้า(ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือ ดวงดาวต่างๆ)กับเส้นขอบฟ้า แล้วนำค่าความสูงที่ได้มาคำนวณหาละติจูด เพื่อบอกตำแหน่งของเรือในเวลาที่ทำการสังเกต
มีการใช้ครั้งแรกในช่วงปีค.ศ. 1730 โดยนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ en:john Hadley (ค.ศ.1682-1744)[1] และ นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน Thomas Godfrey (ค.ศ.1704-1749)[2] และได้มีการค้นพบในภายหลังในงานเขียนที่ไม่ได้ตีพิมพ์ของ นักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักปรัชญา นักเล่นแร่แปรธาตุ และนักเทววิทยาชาวอังกฤษ เซอร์ไอแซก นิวตัน Isaac Newton (ค.ศ.1643-1727)
ลักษณะ
เครื่องวัดแดด มีส่วนประกอบที่เป็นส่วนโค้งที่เรียกว่า Arc ซึ่ง มีขนาดประมาณ 1/6 ของวงกลม (60องศา) ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ sextant มีที่มาจากภาษาละติน sextāns มีความหมายว่า หนึ่งส่วนหก ส่วนประกอบที่สำคัญของเครื่องวัดแดดมีดังนี้
Telescope กล้องมองภาพที่ใช้ในการมองวัตถุและเส้นขอบฟ้า
Horizontal Glass กระจกที่ใช้ในการมองดูเส้นขอบฟ้าผ่านทางกระจกใส ไม่เคลื่อนที่
Index Glass กระจกที่ติดอยู่บน Arm Index มีหน้าที่สะท้อนภาพวัตถุให้ไปปรากฏภาพบน Horizontal Glass
Index Arm แขนดัชนีที่ใช้ในการปรับเลื่อนเพื่อให้ภาพของวัตถุปรากฏบน Horizontal Glass
Micrometer Drum มีลักษณะเป็นเกลียววงกลมใช้ในการหมุนเพื่อปรับค่ามุมสัมพันธ์ที่ได้ให้มีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้น
Arc ส่วนโค้งความยาวประมาณ 60 องศา มีเลขแสงค่าความสูง(มุม)ของวัตถุที่สังเกต
ประโยชน์ในการใช้งาน
เครื่องวัดแดดสามารถใช้วัดมุมสัมพันธ์ระหว่างวัตถุบนท้องฟ้ากับเส้นขอบฟ้า ในการใช้งานเวลากลางวันตัวเครื่องวัดแดดมีตัวกรองแสงเพื่อช่วยในการมองเห็นและความปลอดภัยในการวัดมุมระหว่างดวงอาทิตย์และเส้นขอบฟ้า ในช่วงสนธยาทั้งก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นและหลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว สามารถใช้ในการวัดดาวได้โดยตรง
เนื่องจากเป็นการวัดมุมแบบสัมพันธ์ ถึงแม้จะอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีความเสถียร ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผู้สังเกตอยู่บนเรือที่ไม่อยู่นิ่งในทะเล เครื่องวัดแดดก็ยังสามารถใช้วัดมุมวัตถุได้อย่างแม่นยำ โดยที่ภาพของวัตถุและเส้นขอบฟ้าจะถูกทำให้เคลื่อนตัวบนขอบเขตการมองเห็นของผู้สังเกต อย่างไรก็ดี ความแม่นยำของค่าของมุมสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับความถูกต้องในการอ่านค่าของผู้สังเกตเมื่อภาพวัตถุที่สังเกตสัมผัสเส้นขอบฟ้าและเครื่องวัดแดดได้รับการแก้ไขค่าความผิดพลาดแล้ว
เครื่องวัดแดดไม่จำเป็นต้องอาศัยไฟฟ้าในการทำงาน แตกต่างจากเครื่องมือสมัยใหม่ที่ช่วยในการเดินเรือ เช่น จีพีเอส ด้วยด้วยเหตุนี้เครื่องวัดแดดจึงเป็นอุปกรณ์สำรองที่ช่วยในการเดินเรือได้เป็นอย่างดี
หลักการทำงาน
หลักการทำงานพื้นฐานของเครื่องวัดแดดคือการสะท้อนแสงซึ่งในที่นี้คือภาพของวัตถุ ให้ไปปรากฏบนฉาก(Horizontal Glass)เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบหาค่ามุมสัมพันธ์
โดยเมื่อใช้สายตามองภาพผ่าน Telescope ภาพของเส้นขอบฟ้าจะมองเห็นผ่าน Horizontal Glass การปรับเลื่อน Index Arm (ซึ่งมี Index Mirror ที่ทำหน้าที่สะท้อนภาพวัตถุให้ไปปรากฏบน Horizontal Mirror) จะแสดงค่าความสูงหรือค่ามุมสัมพันธ์ระหว่างวัตถุและเส้นขอบฟ้า[3]
อ้างอิง
- ↑ Institute and Museum of the History of Science, Florence, Italy: Picture of Hadley's octant [1]
- ↑ Franklin, Benjamin (1996). The Autobiography of Benjamin Franklin. Mineola: Dover. ISBN 978-0-486-29073-7.
- ↑ Seddon, J. Carl (June 1968). "Line of Position from a Horizontal Angle". Journal of Navigation. 21 (03): 367–369. doi:10.1017/S0373463300024838. ISSN 1469-7785.