ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สันติอโศก"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 6: บรรทัด 6:
สันติอโศก ก่อตั้งโดย [[สมณะโพธิรักษ์]] (นายรัก รักพงษ์) ซึ่งเคยบวชเป็นพระภิกษุในคณะ[[ธรรมยุติ]] แต่ไม่เห็นด้วยระเบียบ กฎเกณฑ์ของวัด จึงได้บวชใหม่เป็นพระสังกัดคณะ[[มหานิกาย]] ได้นามว่า '''โพธิรักษ์'''
สันติอโศก ก่อตั้งโดย [[สมณะโพธิรักษ์]] (นายรัก รักพงษ์) ซึ่งเคยบวชเป็นพระภิกษุในคณะ[[ธรรมยุติ]] แต่ไม่เห็นด้วยระเบียบ กฎเกณฑ์ของวัด จึงได้บวชใหม่เป็นพระสังกัดคณะ[[มหานิกาย]] ได้นามว่า '''โพธิรักษ์'''


วันที่ [[6 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2516]] สมณะโพธิรักษ์ได้ประกาศตั้ง '''ธรรมสถานแดนอโศก'''{{อ้างอิง}} เป็นสำนักสงฆ์ขึ้นอยู่กับวัดหนองกระทุ่ม ต.ทุ่งลูกนก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม มีกลุ่มคนที่ศรัทธาเข้าร่วมประมาณ 60 คน และได้ประกาศแยกตัวออกจากคณะสงฆ์ไทย ประกาศไม่อยู่ภายใต้กฏระเบียบและการปกครองของ[[มหาเถรสมาคม]]และคณะสงฆ์ โดยอ้างว่ายึดเอา[[พระธรรมวินัย]] เป็นหลักปกครองพวกกลุ่มตนเอง
พ.ศ. 2516 สมณะโพธิรักษ์ได้ประกาศตั้ง '''ธรรมสถานแดนอโศก'''{{อ้างอิง}} เป็นสำนักสงฆ์ขึ้นอยู่กับวัดหนองกระทุ่ม ต.ทุ่งลูกนก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และเรียกกลุ่มของตัวเองว่า คณะสงฆ์ชาวอโศก ซึ่งมีจำนวน 21 รูป วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ได้ประกาศขอแยกตัวออกจากการปกครองของคณะสงฆ์ ไม่อยู่ภายใต้กฏระเบียบและการปกครองของ[[มหาเถรสมาคม]]ทำการปกครองตนเอง โดยอาศัยพระธรรมวินัยเป็นหลัก
สันติอโศกมี 9 เครือข่ายอโศก ได้แก่ ปฐมอโศก, ศีรษะอโศก ,ราชธานีอโศก, ภูผาฟ้าน้ำ, สีมาอโศก , หินผาฟ้าน้ำ และ ทะเลธรรมอโศก มีศูนย์รวมที่พุทธสถานสันติอโศก [[เขตบึงกุ่ม]] กรุงเทพฯ (ก่อตั้งเมื่อ 7 ส.ค. 2519)

สันติอโศกมี 9 เครือข่ายอโศก ได้แก่ ปฐมอโศก, ศีรษะอโศก ,ราชธานีอโศก, ภูผาฟ้าน้ำ และ ทักษิณอโศก มีศูนย์รวมที่สันติอโศกพุทธสถาน [[เขตบึงกุ่ม]] กรุงเทพฯ (ก่อตั้งเมื่อ 7 ส.ค. 2519)


ปัจจุบันเรียกตนเองว่า สมณะ เพื่อแตกต่างจากคำว่า พระ เนื่องด้วยผลคำตัดสินของศาล{{อ้างอิง}}
ปัจจุบันเรียกตนเองว่า สมณะ เพื่อแตกต่างจากคำว่า พระ เนื่องด้วยผลคำตัดสินของศาล{{อ้างอิง}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 19:23, 5 ตุลาคม 2552

สันติอโศก เป็นพุทธสถาน ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 65/1 ซอยนวมินทร์ 46 ถนนนวมินทร์ แขวงบึงกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม.

ประวัติ

สันติอโศก ก่อตั้งโดย สมณะโพธิรักษ์ (นายรัก รักพงษ์) ซึ่งเคยบวชเป็นพระภิกษุในคณะธรรมยุติ แต่ไม่เห็นด้วยระเบียบ กฎเกณฑ์ของวัด จึงได้บวชใหม่เป็นพระสังกัดคณะมหานิกาย ได้นามว่า โพธิรักษ์

พ.ศ. 2516 สมณะโพธิรักษ์ได้ประกาศตั้ง ธรรมสถานแดนอโศก[ต้องการอ้างอิง] เป็นสำนักสงฆ์ขึ้นอยู่กับวัดหนองกระทุ่ม ต.ทุ่งลูกนก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และเรียกกลุ่มของตัวเองว่า คณะสงฆ์ชาวอโศก ซึ่งมีจำนวน 21 รูป วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ได้ประกาศขอแยกตัวออกจากการปกครองของคณะสงฆ์ ไม่อยู่ภายใต้กฏระเบียบและการปกครองของมหาเถรสมาคมทำการปกครองตนเอง โดยอาศัยพระธรรมวินัยเป็นหลัก สันติอโศกมี 9 เครือข่ายอโศก ได้แก่ ปฐมอโศก, ศีรษะอโศก ,ราชธานีอโศก, ภูผาฟ้าน้ำ, สีมาอโศก , หินผาฟ้าน้ำ และ ทะเลธรรมอโศก มีศูนย์รวมที่พุทธสถานสันติอโศก เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ (ก่อตั้งเมื่อ 7 ส.ค. 2519)

ปัจจุบันเรียกตนเองว่า สมณะ เพื่อแตกต่างจากคำว่า พระ เนื่องด้วยผลคำตัดสินของศาล[ต้องการอ้างอิง]

หลักปฏิบัติ

สันติอโศกมีคำสอนที่ยึดเอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก การแต่งกายคล้ายพระ โดยโพธิรักษ์กล่าวว่า มนุษย์เราสามารถย้อนกลับไปใช้ชีวิตในช่วงที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้เช่นสอนว่า ในสมัยพุทธกาลไม่มีพระพุทธรูปจึงไม่จำเป็นต้องสร้างพระพุทธรูปก็ได้ให้เคารพแต่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็พอ[ต้องการอ้างอิง]

สมณะโพธิรักษ์ มีพิธีกรรมนอกกฏระเบียบของมหาเถรสมาคม เช่น บวชให้กับคนที่ศรัทธาในลัทธิของตน โดยใช้วิธีการเรียกคนที่ต้องการจะบวชเข้ามา แล้วก็บอกว่า "เธอเป็นสมณะ" ซึ่งปฏิบัติเหมือนกับการที่พระพุทธเจ้าทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา หลังจากที่มีจำนวนนักบวชมากขึ้น จึงมีการออกกฏใหม่ว่า จะตัดสินว่าให้คนๆ นี้บวชหรือไม่ โดยการเสียงส่วยใหญ่ของคณะสมณะ[ต้องการอ้างอิง]

ชาวสันติอโศกรับประทานอาหารมังสวิรัติและห้ามนำเนื้อสัตว์เข้าไปในเขตพุทธสถาน นอกจากนี้ยังไม่สนับสนุนการดื่มนม[ต้องการอ้างอิง] สำหรับสมณะและสิกขมาตุนั้นจะรับประทานอาหารเพียงมื้อเดียว ส่วนบุคคอื่นๆ ในชุมชนอาจรับประทานอาหารเพียงสองมื้อ ส่วนเด็กในโรงเรียนสัมมาสิกขานั้นให้รับประทานอาหารสามมื้อ[ต้องการอ้างอิง]

คดีความ

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2532 ที่ประชุมมหาเถรสมาคม มีมติเอกฉันท์ ขอให้สมเด็จพระสังฆราช ในฐานะประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ทรงลงพระนามในพระบัญชาให้สึกพระโพธิรักษ์จากสมณเพศ แต่พระโพธิรักษ์ไม่ยอมเปล่งวาจาสึก จึงเพียงให้เปลี่ยนชุดเป็นสีขาว และถูกฟ้องพร้อมกับสมณะและสิกขมาตุข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระ ศาลแขวงพระนครเหนือ มีคำพิพากษาเมื่อ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2538 หลังสืบพยานนานถึง 6 ปีเต็ม ให้จำเลยทั้งหมดมีความผิดตามโจทก์ฟ้อง จำคุกโพธิรักษ์ รวม 66 เดือน แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี บุคคลอื่นๆ ก็รอลงอาญาเช่นกัน ทั้งหมดยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ยืนตามชั้นต้น ศาลฎีกาพิพากษา 15 มิถุนายน พ.ศ. 2541 ให้ยืนตามศาลอุทธรณ์ สมณะโพธิรักษ์แพ้คดี มีคำสั่งรอลงอาญา 2 ปีพร้อมคุมประพฤติ

บทบาทในการเมืองไทย

อ้างอิง