ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบินทร็อพ"
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 8: | บรรทัด 8: | ||
{{รายการอ้างอิง}} |
{{รายการอ้างอิง}} |
||
[[หมวดหมู่: |
[[หมวดหมู่:การเมืองในสงครามโลกครั้งที่สอง]] |
||
{{โครงการเมือง}} |
{{โครงการเมือง}} |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 19:26, 9 สิงหาคม 2552
สนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอป (อังกฤษ: Molotov-Ribbentrop Pact) เป็นสนธิสัญญาที่ได้ชื่อตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของโซเวียต วียาเชสลาฟ โมโลตอฟ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของนาซีเยอรมนี โจอาคิม ฟอน ริบเบนทรอป โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนีกับสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต และได้รับการลงนามในกรุงมอสโก เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 สิงหาคม 1939 (แต่ในสนธิสัญญาระบุเป็นวันที่ 23 สิงหาคม) [1] ข้อตกลงดังล่าวเป็นการประกาศวางตัวเป็นกลางหากคู่เจรจาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกโจมตีโดยประเทศที่สาม ประเทศผู้ลงนามทั้งสองฝ่ายให้สัญญาที่จะไม่เข้าร่วมกลุ่มกับอำนาจอื่นซึ่ง "พุ่งเป้าหมายไปยังคู่เจรจาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยตรงหรือโดยอ้อม" สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในหลายชื่อด้วยกัน ซึ่งรวมไปถึง สนธิสัญญานาซี-โซเวียต สนธิสัญญาฮิตเลอร์-สตาลิน สนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนี-โซเวียต หรือบางครั้งก็เรียกว่า พันธมิตรนาซี-โซเวียต[2] สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลจนถึงวันที่ 22 มิถุนายน 1941 เมื่อเยอรมนีเริ่มต้นปฏิบัติการบาร์บารอสซา และรุกรานสหภาพโซเวียต
นอกเหนือจากการกำหนดเงื่อนไขในการไม่รุกรานระหว่างกันแล้ว สนธิสัญญาดังกล่าวยังรวมไปถึงข้อตกลงลับ ซึ่งแบ่งยุโรปตะวันออกให้อยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของเยอรมนีและโซเวียต เพื่อให้มีการจัดระเบียบทางดินแดนและทางการเมืองในพื้นที่ดังกล่าวใหม่ หลังจากนั้น เยอรมนีและสหภาพโซเวียตได้ร่วมกันรุกรานโปแลนด์ ตามด้วยการผนวกเอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนียและดินแดนทางตอนเหนือของโรมาเนียเข้าไปอยู่ในเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียต รวมไปถึงการผนวกดินแดนทางตะวันออกของฟินแลนด์ หลังจากความพยายามรุกรานของสหภาพโซเวียตในสงครามฤดูหนาว ภาคผนวกลับดังกล่าวถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพ และเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดสงครามแห่งการรุกราน
อ้างอิง
- ↑ Blank Pages by G.C.Malcher ISBN 1 897984 00 6 Page 7
- ↑ Benjamin B. Fischer, "The Katyn Controversy: Stalin's Killing Field", Studies in Intelligences, Winter 1999–2000, last accessed on 10 December 2005