ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อัศวินเทมพลาร์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Voraprachw (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 5: บรรทัด 5:
[[ภาพ:Templarsign.jpg|thumb|Knights Templar]]
[[ภาพ:Templarsign.jpg|thumb|Knights Templar]]


'''Knights Templar''' อัศวินแห่งความลี้ลับ เป็นกลุ่ม[[อัศวิน]]คริสเตียนใน[[สงครามครูเสด]]ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มระบบธนาคาร และมีจุดจบอันแสนเศร้าสลด แม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมีข่าวลือ และตำนานเกี่ยวกับอัศวินกลุ่มนี้เล่าลือกันในวงกว้าง
'''อัศวินเทมพลาร์''' อัศวินแห่งความลี้ลับ เป็นกลุ่ม[[อัศวิน]]คริสเตียนใน[[สงครามครูเสด]]ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มระบบธนาคาร และมีจุดจบอันแสนเศร้าสลด แม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมีข่าวลือ และตำนานเกี่ยวกับอัศวินกลุ่มนี้เล่าลือกันในวงกว้าง


== ประวัติ ==
== ประวัติ ==


Knights Templar ก่อตั้งขึ้นหลังจากสงครามครูเสดครั้งแรกไม่นาน ปี 1119 Hughes de Payens ชนชั้นสูงจากฝรั่งเศส พร้อมกับอัศวินผู้ติดตามอีก 8 คน ก่อตั้งกลุ่มที่มีจุดมุ่งหมายในการปกป้องผู้แสวงบุญในดินแดนศักดิ์สิทธิ กษัตริย์ Baldwin II แห่งเยรูซาเลม ได้อนุญาตให้ทั้ง 9 คนไปอาศัยอยู่ที่บริเวณทิศใต้ของ Temple Mount ซึ่งทั้งชาวคริสต์และอิสลามถือกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ
อัศวินเทมพลาร์ ก่อตั้งขึ้นหลังจากสงครามครูเสดครั้งแรกไม่นาน ปี 1119 Hughes de Payens ชนชั้นสูงจากฝรั่งเศส พร้อมกับอัศวินผู้ติดตามอีก 8 คน ก่อตั้งกลุ่มที่มีจุดมุ่งหมายในการปกป้องผู้แสวงบุญในดินแดนศักดิ์สิทธิ กษัตริย์ Baldwin II แห่งเยรูซาเลม ได้อนุญาตให้ทั้ง 9 คนไปอาศัยอยู่ที่บริเวณทิศใต้ของ Temple Mount ซึ่งทั้งชาวคริสต์และอิสลามถือกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ


ชาวคริสต์เชื่อกันว่าโบสถ์นี้ตั้งอยู่บนซากปรักพังของ Temple of Solomon ในคัมภีร์ไบเบิล และสำหรับชาวมุสลิม กาหลิบ Abd al-Malik เคยสร้าง วิหาร Dome of the Rock ซึ่งภายในบรรจุก้อนหินที่ศาสดามูฮัมหมัดได้รับจากสวรรค์ ณ ที่ตรงนี้
ชาวคริสต์เชื่อกันว่าโบสถ์นี้ตั้งอยู่บนซากปรักพังของ Temple of Solomon ในคัมภีร์ไบเบิล และสำหรับชาวมุสลิม กาหลิบ Abd al-Malik เคยสร้าง วิหาร Dome of the Rock ซึ่งภายในบรรจุก้อนหินที่ศาสดามูฮัมหมัดได้รับจากสวรรค์ ณ ที่ตรงนี้


ซึ่งการที่Knights Templar มาอาศัยอยู่ในสถานที่สำคัญทางศาสนาอย่างยิ่งยวดเช่นนี้ ทำให้ในภายหลัง กลายเป็นบ่อเกิดของตำนานต่างๆนานา ของKnights Templar ที่เล่าลือกันว่า พวกเขา "พบ"อะไรบางอย่างใต้ซากวิหาร
ซึ่งการที่อัศวินเทมพลาร์มาอาศัยอยู่ในสถานที่สำคัญทางศาสนาอย่างยิ่งยวดเช่นนี้ ทำให้ในภายหลัง กลายเป็นบ่อเกิดของตำนานต่างๆนานา ของKnights Templar ที่เล่าลือกันว่า พวกเขา "พบ"อะไรบางอย่างใต้ซากวิหาร


พวก Knights Templar ใช้ชีวิตอย่างสมถะ ประทังชีวิตด้วยของบริจาค จึงได้รับการขนานนามว่า อัศวินผู้ยากไร้ Poor Knights และหลังจากที่ Knights Templar ไปอาศัยอยู่ในสถานที่ ที่เชื่อกันว่าเคยเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Temple of Solomon จึงได้รับการขนานนามอีกว่า อัศวินแห่งโบสถ์โซโลมอน
พวกอัศวินเทมพลาร์ใช้ชีวิตอย่างสมถะ ประทังชีวิตด้วยของบริจาค จึงได้รับการขนานนามว่า อัศวินผู้ยากไร้ และหลังจากที่อัศวินเทมพลาร์ไปอาศัยอยู่ในสถานที่ ที่เชื่อกันว่าเคยเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Temple of Solomon จึงได้รับการขนานนามอีกว่า อัศวินแห่งโบสถ์โซโลมอน


9 ปีต่อมา เชื่อเสียงของอัศวินผู้สมถะผู้อุทิศตัวเพื่อปกป้องผู้แสวงบุญ และผลงานดีเด่นต่างๆ แพร่เข้าไปในยุโรป มีผู้บริจาคทรัพย์สินเงินทองมากมาย ทั้งที่ดิน และเงินทองไหลบ่าสู่พวก Knights Templar มากมาย ชนชั้นสูงชาวยุโรปหลายคนยังส่งลูกหลานของตัวเองให้เข้าร่วมกลุ่มด้วย Knights Templar จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว
9 ปีต่อมา เชื่อเสียงของอัศวินผู้สมถะผู้อุทิศตัวเพื่อปกป้องผู้แสวงบุญ และผลงานดีเด่นต่างๆ แพร่เข้าไปในยุโรป มีผู้บริจาคทรัพย์สินเงินทองมากมาย ทั้งที่ดิน และเงินทองไหลบ่าสู่พวก Knights Templar มากมาย ชนชั้นสูงชาวยุโรปหลายคนยังส่งลูกหลานของตัวเองให้เข้าร่วมกลุ่มด้วย Knights Templar จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว
และในปี 1139 Knights Templar ได้รับเกียรติยศอันสูงสุด เมื่อพระสันตปาปา อินโนเซนต์ที่ 2 ประกาศให้พวก Knights Templar อยู่เหนือกฎหมายของทุกประเทศ ไม่ต้องเสียภาษี และสามารถเดินทางผ่านดินแดนใดก็ได้โดยมิให้ผู้ใดขัดขวาง
และในปี 1139 อัศวินเทมพลาร์ได้รับเกียรติยศอันสูงสุด เมื่อพระสันตปาปา อินโนเซนต์ที่ 2 ประกาศให้พวกอัศวินเทมพลาร์อยู่เหนือกฎหมายของทุกประเทศ ไม่ต้องเสียภาษี และสามารถเดินทางผ่านดินแดนใดก็ได้โดยมิให้ผู้ใดขัดขวาง


ถึงแม้ Knights Templar จะเป็นกลุ่มที่เน้นหนักไปในด้านการทหาร แต่สมาชิกส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นนักรบ แต่มีหน้าที่คอยบริหารจัดการทรัพย์สินต่างๆ และอำนวยความสะดวกให้กับนักรบ โดยในกลุ่ม Knights Templar แบ่งออกเป็น 4 ส่วน
ถึงแม้อัศวินเทมพลาร์จะเป็นกลุ่มที่เน้นหนักไปในด้านการทหาร แต่สมาชิกส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นนักรบ แต่มีหน้าที่คอยบริหารจัดการทรัพย์สินต่างๆ และอำนวยความสะดวกให้กับนักรบ โดยในกลุ่มอัศวินเทมพลาร์แบ่งออกเป็น 4 ส่วน
- อัศวิน ถูกฝึกฝนในแบบของทหารม้าหนัก แต่งกายด้วยสีขาวและสัญลักษณ์กางเขนสีแดง
- อัศวิน ถูกฝึกฝนในแบบของทหารม้าหนัก แต่งกายด้วยสีขาวและสัญลักษณ์กางเขนสีแดง
- sergeants มาจากชนชั้นที่อยู่ต่ำกว่าอัศวิน ทำหน้าที่ในฐานะทหารม้าเบา พวกนี้จะสวมชุดสีน้ำตาล
- sergeants มาจากชนชั้นที่อยู่ต่ำกว่าอัศวิน ทำหน้าที่ในฐานะทหารม้าเบา พวกนี้จะสวมชุดสีน้ำตาล
บรรทัด 26: บรรทัด 26:
-the chaplains พระที่ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณและทางศาสนาให้กลุ่ม
-the chaplains พระที่ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณและทางศาสนาให้กลุ่ม


พวกKnights Templar เข้าร่วมสมรภูมิสำคัญๆในดินแดนแถบนี้ในฐานะกองทหารชั้นยอด และยังเคยเข้าร่วมกับกองทัพของ Louis VII แห่งฝรั่งเศส และ King Richard I แห่งอังกฤษ ในการรบในดินแดนปาเลสไตน์
พวกอัศวินเทมพลาร์เข้าร่วมสมรภูมิสำคัญๆในดินแดนแถบนี้ในฐานะกองทหารชั้นยอด และยังเคยเข้าร่วมกับกองทัพของ Louis VII แห่งฝรั่งเศส และ King Richard I แห่งอังกฤษ ในการรบในดินแดนปาเลสไตน์


== ระบบธนาคาร ==
== ระบบธนาคาร ==
Knights Templar มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาล และเริ่มให้ผู้แสวงบุญชาวเสปนยืมเงินสำหรับใช้เดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิในปี 1135
อัศวินเทมพลาร์มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาล และเริ่มให้ผู้แสวงบุญชาวเสปนยืมเงินสำหรับใช้เดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิในปี 1135


ปี 1150 Knights Templar ก็เริ่มใช้ระบบใหม่ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของระบบธนาคาร นั่นคือ เมื่อมีผู้แสวงบุญในยุโรปประสงค์จะเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ พวกเขาจะนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนไปฝากไว้กับฐานของ Knights Templar ในประเทศของตน ซึ่งทางKnights Templar จะออกใบเสร็จซึ่งจดบันทึกรายการทรัพย์สินที่ฝากเอาไว้ให้ผู้แสวงบุญติดตัวไป และเมื่อผู้แสวงบุญกำลังเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ หากต้องการใช้เงินเมื่อไหร่ ก็นำใบเสร็จนี้ไปยื่นต่อ Knights Templar ที่เจอระหว่างทาง และเอาทรัพย์สินของตนออกมาใช้ได้ ด้วยวิธีนี้ผู้
ปี 1150 Knights Templar ก็เริ่มใช้ระบบใหม่ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของระบบธนาคาร นั่นคือ เมื่อมีผู้แสวงบุญในยุโรปประสงค์จะเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ พวกเขาจะนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนไปฝากไว้กับฐานของอัศวินเทมพลาร์ในประเทศของตน ซึ่งทางอัศวินเทมพลาร์จะออกใบเสร็จซึ่งจดบันทึกรายการทรัพย์สินที่ฝากเอาไว้ให้ผู้แสวงบุญติดตัวไป และเมื่อผู้แสวงบุญกำลังเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ หากต้องการใช้เงินเมื่อไหร่ ก็นำใบเสร็จนี้ไปยื่นต่ออัศวินเทมพลาร์ที่เจอระหว่างทาง และเอาทรัพย์สินของตนออกมาใช้ได้ ด้วยวิธีนี้ผู้
แสวงบุญจะปลอดภัยจากการถูกปล้นชิงกลางทาง เพราะไม่ได้นำของมีค่าติดตัวไปด้วย (แถมยังทำให้Knights Templarมีทรัพย์สินเพิ่มอีกอื้อซ่า)
แสวงบุญจะปลอดภัยจากการถูกปล้นชิงกลางทาง เพราะไม่ได้นำของมีค่าติดตัวไปด้วย (แถมยังทำให้อัศวินเทมพลาร์มีทรัพย์สินเพิ่มอีกอื้อซ่า)


นอกจากมีระบบฝากเงินแล้ว ด้วยความร่ำรวยของ Knights Templar จึงมีหลายต่อหลายคนในยุโรปเข้ามาขอยืมเงิน ไม่ว่าจะเป็นขุนนางมายืมเงินเพื่อไต่เต้าตำแหน่ง แม่ทัพยืมเงินไปสร้างกองทัพ พ่อค้ายืมเงินไปทำธุรกิจ แม้แต่พระก็ยังมายืมเงินจากKnights Templar เนื่องจากการคิดดอกเบี้ยเป็นเรื่องต้องห้ามของศาสนจักร พวกKnights Templar จึงไม่ได้คิดดอกเบี้ย แต่คิด"ค่าเช่า"แทน
นอกจากมีระบบฝากเงินแล้ว ด้วยความร่ำรวยของอัศวินเทมพลาร์จึงมีหลายต่อหลายคนในยุโรปเข้ามาขอยืมเงิน ไม่ว่าจะเป็นขุนนางมายืมเงินเพื่อไต่เต้าตำแหน่ง แม่ทัพยืมเงินไปสร้างกองทัพ พ่อค้ายืมเงินไปทำธุรกิจ แม้แต่พระก็ยังมายืมเงินจากอัศวินเทมพลาร์เนื่องจากการคิดดอกเบี้ยเป็นเรื่องต้องห้ามของศาสนจักร พวกอัศวินเทมพลาร์จึงไม่ได้คิดดอกเบี้ย แต่คิด"ค่าเช่า"แทน


Knights Templar กลายเป็นกลุ่มที่ร่ำรวยและมีอำนาจอย่างมาก ครอบครองที่ดินทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง สร้างปราสาทและโบสถ์มากมาย มีฟาร์มหลายแห่ง ค้าขายสินค้าทั้งส่งออกและนำเข้า มีกองทัพเรือของตัวเอง และครอบครองเกาะไซปรัสทั้งหมด
อัศวินเทมพลาร์กลายเป็นกลุ่มที่ร่ำรวยและมีอำนาจอย่างมาก ครอบครองที่ดินทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง สร้างปราสาทและโบสถ์มากมาย มีฟาร์มหลายแห่ง ค้าขายสินค้าทั้งส่งออกและนำเข้า มีกองทัพเรือของตัวเอง และครอบครองเกาะไซปรัสทั้งหมด


== ล่มสลาย ==
== ล่มสลาย ==


เมื่อกรุงเยรูซาเลมพ่ายต่อสุลต่าน ซาลาดิน การสนับสนุนจากยุโรปก็ตกต่ำลง ในช่วงท้ายปี 1300 กษัตริย์ ฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ได้ยืมเงินจำนวนมากจาก Knights Templar เพื่อใช้ในการทำสงครามกับอังกฤษ แต่ไม่มีเงินพอที่จะใช้คืนได้ เลยหาเหตุเบี้ยวนี้ สั่งสอบสวนผู้นำของ Templar Grand Master Jacques de Molay ในฐานะเป็นพวกนอกรีต ซึ่งเจ้าตัวให้การปฏิเสธ
เมื่อกรุงเยรูซาเลมพ่ายต่อสุลต่าน ซาลาดิน การสนับสนุนจากยุโรปก็ตกต่ำลง ในช่วงท้ายปี 1300 กษัตริย์ ฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ได้ยืมเงินจำนวนมากจากอัศวินเทมพลาร์เพื่อใช้ในการทำสงครามกับอังกฤษ แต่ไม่มีเงินพอที่จะใช้คืนได้ เลยหาเหตุเบี้ยวนี้ สั่งสอบสวนผู้นำของ Templar Grand Master Jacques de Molay ในฐานะเป็นพวกนอกรีต ซึ่งเจ้าตัวให้การปฏิเสธ


ในวันศุกรที่ 13 ปี 1307 ฟิลิปจับกุมตัวสมาชิก Knights Templar ทั้งหมดในฝรั่งเศส กล่าวหาว่าพวก Knights Templar บูชาปีศาจบาโฟเมต เป็นพวกนอกรีต และสั่งประหาร ซึ่งทำให้ฟิลิปรอดพ้นจากการเป็นหนี้พวก Knights Templar ซ้ำฟิลิปยังยึดทรัพย์สินของพวกKnights Templar ทั้งหมดในฝรั่งเศส
ในวันศุกรที่ 13 ปี 1307 ฟิลิปจับกุมตัวสมาชิกอัศวินเทมพลาร์ทั้งหมดในฝรั่งเศส กล่าวหาว่าพวกอัศวินเทมพลาร์บูชาปีศาจบาโฟเมต เป็นพวกนอกรีต และสั่งประหาร ซึ่งทำให้ฟิลิปรอดพ้นจากการเป็นหนี้พวกอัศวินเทมพลาร์ซ้ำฟิลิปยังยึดทรัพย์สินของพวกอัศวินเทมพลาร์ทั้งหมดในฝรั่งเศส


ด้วยแรงกดดันจากฟิลิป พระสันตปาปาคลีเมนต์จึงสั่งยุบกลุ่ม Knights Templar ที่ดินของKnights Templar ถูกโอนไปให้พวก Hospitallers และพวกผู้นำในยุโรปก็เอาตามอย่างฟิลิป ประกาศให้พวก Knights Templar เป็นพวกนอกรีตและยึดทรัพย์สิน ในปี 1314 ผู้นำของ Knights Templar ทั้ง 3 คน ถูกจับเผาทั้งเป็น
ด้วยแรงกดดันจากฟิลิป พระสันตปาปาคลีเมนต์จึงสั่งยุบกลุ่มอัศวินเทมพลาร์ที่ดินของอัศวินเทมพลาร์ถูกโอนไปให้พวก Hospitallers และพวกผู้นำในยุโรปก็เอาตามอย่างฟิลิป ประกาศให้พวกอัศวินเทมพลาร์เป็นพวกนอกรีตและยึดทรัพย์สิน ในปี 1314 ผู้นำของอัศวินเทมพลาร์ทั้ง 3 คน ถูกจับเผาทั้งเป็น


พวกสมาชิกที่เหลือในยุโรปถูกตามจับไปสอบสวนโดยผู้สอบสวนของพระสันตปาปา (ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่รอด) บางคนหนีไปเข้าร่วมกับกลุ่มอื่นเช่น Order of Christ และ Knights Hospitaller พวก Knights Templar จึงล่มสลายลง
พวกสมาชิกที่เหลือในยุโรปถูกตามจับไปสอบสวนโดยผู้สอบสวนของพระสันตปาปา (ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่รอด) บางคนหนีไปเข้าร่วมกับกลุ่มอื่นเช่น Order of Christ และ Knights Hospitaller พวกอัศวินเทมพลาร์จึงล่มสลายลง


ถึงแม้ Knights Templar จะล่มสลายลง แต่ยังคงทิ้งปริศนาเอาไว้หลายอย่าง เช่น เกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกอีก 100 คนที่ยังหลงเหลือในยุโรป กองเรือของพวก Knights Templar หายไปใหน บันทึกที่จดบันทึกบัญชีการค้าและทรัพย์สินของพวกKnights Templar หายไปใหน หรือมันไม่เคยมีอยู่มาตั้งแต่แรกแล้ว
ถึงแม้อัศวินเทมพลาร์จะล่มสลายลง แต่ยังคงทิ้งปริศนาเอาไว้หลายอย่าง เช่น เกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกอีก 100 คนที่ยังหลงเหลือในยุโรป กองเรือของพวก อัศวินเทมพลาร์หายไปใหน บันทึกที่จดบันทึกบัญชีการค้าและทรัพย์สินของอัศวินเทมพลาร์หายไปใหน หรือมันไม่เคยมีอยู่มาตั้งแต่แรกแล้ว


== ตำนาน ==
== ตำนาน ==
ในปัจจุบันมีตำนานเล่าลือของพวก Knights Templar อยู่ทั่วไป และกลายเป็นปริศนายอดฮิตที่มักมีคนนำไปแต่งนิยายหรือภาพยนตร์เสมอ ตำนานที่พูดถึงมากๆก็มีดังนี้
ในปัจจุบันมีตำนานเล่าลือของพวกอัศวินเทมพลาร์อยู่ทั่วไป และกลายเป็นปริศนายอดฮิตที่มักมีคนนำไปแต่งนิยายหรือภาพยนตร์เสมอ ตำนานที่พูดถึงมากๆก็มีดังนี้


ฐานบัญชาการในตำนาน
ฐานบัญชาการในตำนาน


ตามประวัติ พวก Knights Templar ตั้งฐานบัญชาการแห่งแรกใกล้ๆ Temple Mount ซึ่งถือเป็นสถานทีศักดิ์สิทธิของคริสเตียน ยิว และมุสลิม
ตามประวัติ พวกอัศวินเทมพลาร์ตั้งฐานบัญชาการแห่งแรกใกล้ๆ Temple Mount ซึ่งถือเป็นสถานทีศักดิ์สิทธิของคริสเตียน ยิว และมุสลิม


เชื่อกันว่าTemple Mount ตั้งอยู่บนซากปรักหักพังของโบสถ์โซโลมอนในไบเบิล มีคำล่ำลือมากมายเกี่ยวกับโบสถ์นี้ว่า เป็นสถานที่เก็บวัตถุศักดิ์สิทธิยิ่งยวดเอาไว้ เช่น เป็นสถานที่เก็บ หีบแห่งพันธสัญญา ที่โมเสสใช้ติดต่อกับพระเจ้า บางตำนานก็ว่ามีอุโมงค์ลับใต้วิหารซึ่งเป็นที่เก็บ ชิ้นส่วนของไม้กางเขนที่ใช้ตรึงพระเยซู บางตำนานก็กล่าวว่าในนั้น เก็บเอกสารสำคัญบางอย่างที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเยซู ด้วยเหตุหลายคนจึงเชื่อกันว่า พวก Knights Templar พบเจออะไรบางอย่างในโบสถ์นั้น และสิ่งนั้นทำให้ Knights Templar ก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานใดบ่งบอกว่าตำนานเหล่านี้จะเป็นจริง
เชื่อกันว่าTemple Mount ตั้งอยู่บนซากปรักหักพังของโบสถ์โซโลมอนในไบเบิล มีคำล่ำลือมากมายเกี่ยวกับโบสถ์นี้ว่า เป็นสถานที่เก็บวัตถุศักดิ์สิทธิยิ่งยวดเอาไว้ เช่น เป็นสถานที่เก็บ หีบแห่งพันธสัญญา ที่โมเสสใช้ติดต่อกับพระเจ้า บางตำนานก็ว่ามีอุโมงค์ลับใต้วิหารซึ่งเป็นที่เก็บ ชิ้นส่วนของไม้กางเขนที่ใช้ตรึงพระเยซู บางตำนานก็กล่าวว่าในนั้น เก็บเอกสารสำคัญบางอย่างที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเยซู ด้วยเหตุหลายคนจึงเชื่อกันว่า พวกอัศวินเทมพลาร์พบเจออะไรบางอย่างในโบสถ์นั้น และสิ่งนั้นทำให้ Knights Templar ก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานใดบ่งบอกว่าตำนานเหล่านี้จะเป็นจริง


นักวิชาการบางคน เช่น Hugh J. Schonfield มีข้อสันนิษฐานว่า พวก Knights Templar อาจไปเจอคัมภีร์โบราณ Copper Scroll "ม้วนบันทึกทองแดง" ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้พวก Knights Templar ถูกข้อกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต
นักวิชาการบางคน เช่น Hugh J. Schonfield มีข้อสันนิษฐานว่า พวกอัศวินเทมพลาร์อาจไปเจอคัมภีร์โบราณ Copper Scroll "ม้วนบันทึกทองแดง" ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้พวก Knights Templar ถูกข้อกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต
(คัมภีร์ Copper Scroll คือส่วนหนึ่งของคัมภีร์อื้อฉาวแห่งศาสนาคริสต์ นั่นคือคัมภีร์ Dead Sea Scrolls"ลิลิตเดดซี" ซึ่งมีการค้นพบในถ้ำคูมรัน คาดการ์ณกันว่าเป็นคัมภีร์ไบเบิลยุคแรกสุดจากยุคโรมัน ซึ่งมีเนื่อหาบางส่วนแตกต่างจากไบเบิลในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทางวาติกันปฏิเสธเนื้อหาในคัมภีร์นั้นว่าไม่เป็นความจริง และมีข่สวลือว่าทางวิติกันพยายามเข้ามาแทรกแซงไม่ให้มีการเผยแพร่สู่สาธารณะ)
(คัมภีร์ Copper Scroll คือส่วนหนึ่งของคัมภีร์อื้อฉาวแห่งศาสนาคริสต์ นั่นคือคัมภีร์ Dead Sea Scrolls"ลิลิตเดดซี" ซึ่งมีการค้นพบในถ้ำคูมรัน คาดการ์ณกันว่าเป็นคัมภีร์ไบเบิลยุคแรกสุดจากยุคโรมัน ซึ่งมีเนื่อหาบางส่วนแตกต่างจากไบเบิลในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทางวาติกันปฏิเสธเนื้อหาในคัมภีร์นั้นว่าไม่เป็นความจริง และมีข่สวลือว่าทางวิติกันพยายามเข้ามาแทรกแซงไม่ให้มีการเผยแพร่สู่สาธารณะ)


ตำนาน ศุกร์ที่ 13
ตำนาน ศุกร์ที่ 13


หลายคนเชื่อว่า ความเชื่อที่ว่าวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้าย มีสาเหตุมาจากที่พวก Knights Templar ถูกจับในข้อหาเป็นพวกนอกรีตในวันศุกร์ที่ 13 นี่เอง
หลายคนเชื่อว่า ความเชื่อที่ว่าวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้าย มีสาเหตุมาจากที่พวกอัศวินเทมพลาร์ถูกจับในข้อหาเป็นพวกนอกรีตในวันศุกร์ที่ 13 นี่เอง


== ผู้อ้างว่าเป็นผู้สืบทอด ==
== ผู้อ้างว่าเป็นผู้สืบทอด ==


มีสมาคมหลายสมาคมในยุโรป อ้างว่าเคยติดต่อและเกี่ยวข้องกับ Knights Templar เช่น สมาคม Freemasonry ซึ่งรับธรรมเนียมปฏิบัติและพิธีกรรมมากจากพวกKnights Templar ซึ่งเน้นหนักไปในด้านการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
มีสมาคมหลายสมาคมในยุโรป อ้างว่าเคยติดต่อและเกี่ยวข้องกับอัศวินเทมพลาร์เช่น สมาคม Freemasonry ซึ่งรับธรรมเนียมปฏิบัติและพิธีกรรมมากจากพวกKnights Templar ซึ่งเน้นหนักไปในด้านการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์


และยังมีสมาคมอีกหลายกลุ่ม อ้างว่าตนเองสืบทอดมาจากพวก Knights Templar เช่น Order of the Solar Temple ซึ่งไม่มีหลักฐานใดๆยืนยันข้ออ้างนี้
และยังมีสมาคมอีกหลายกลุ่ม อ้างว่าตนเองสืบทอดมาจากพวกอัศวินเทมพลาร์เช่น Order of the Solar Temple ซึ่งไม่มีหลักฐานใดๆยืนยันข้ออ้างนี้


{{Link FA|fr}}
{{Link FA|fr}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 19:45, 12 ตุลาคม 2551

Knights Templar

อัศวินเทมพลาร์ อัศวินแห่งความลี้ลับ เป็นกลุ่มอัศวินคริสเตียนในสงครามครูเสดที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มระบบธนาคาร และมีจุดจบอันแสนเศร้าสลด แม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมีข่าวลือ และตำนานเกี่ยวกับอัศวินกลุ่มนี้เล่าลือกันในวงกว้าง

ประวัติ

อัศวินเทมพลาร์ ก่อตั้งขึ้นหลังจากสงครามครูเสดครั้งแรกไม่นาน ปี 1119 Hughes de Payens ชนชั้นสูงจากฝรั่งเศส พร้อมกับอัศวินผู้ติดตามอีก 8 คน ก่อตั้งกลุ่มที่มีจุดมุ่งหมายในการปกป้องผู้แสวงบุญในดินแดนศักดิ์สิทธิ กษัตริย์ Baldwin II แห่งเยรูซาเลม ได้อนุญาตให้ทั้ง 9 คนไปอาศัยอยู่ที่บริเวณทิศใต้ของ Temple Mount ซึ่งทั้งชาวคริสต์และอิสลามถือกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ

ชาวคริสต์เชื่อกันว่าโบสถ์นี้ตั้งอยู่บนซากปรักพังของ Temple of Solomon ในคัมภีร์ไบเบิล และสำหรับชาวมุสลิม กาหลิบ Abd al-Malik เคยสร้าง วิหาร Dome of the Rock ซึ่งภายในบรรจุก้อนหินที่ศาสดามูฮัมหมัดได้รับจากสวรรค์ ณ ที่ตรงนี้

ซึ่งการที่อัศวินเทมพลาร์มาอาศัยอยู่ในสถานที่สำคัญทางศาสนาอย่างยิ่งยวดเช่นนี้ ทำให้ในภายหลัง กลายเป็นบ่อเกิดของตำนานต่างๆนานา ของKnights Templar ที่เล่าลือกันว่า พวกเขา "พบ"อะไรบางอย่างใต้ซากวิหาร

พวกอัศวินเทมพลาร์ใช้ชีวิตอย่างสมถะ ประทังชีวิตด้วยของบริจาค จึงได้รับการขนานนามว่า อัศวินผู้ยากไร้ และหลังจากที่อัศวินเทมพลาร์ไปอาศัยอยู่ในสถานที่ ที่เชื่อกันว่าเคยเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Temple of Solomon จึงได้รับการขนานนามอีกว่า อัศวินแห่งโบสถ์โซโลมอน

9 ปีต่อมา เชื่อเสียงของอัศวินผู้สมถะผู้อุทิศตัวเพื่อปกป้องผู้แสวงบุญ และผลงานดีเด่นต่างๆ แพร่เข้าไปในยุโรป มีผู้บริจาคทรัพย์สินเงินทองมากมาย ทั้งที่ดิน และเงินทองไหลบ่าสู่พวก Knights Templar มากมาย ชนชั้นสูงชาวยุโรปหลายคนยังส่งลูกหลานของตัวเองให้เข้าร่วมกลุ่มด้วย Knights Templar จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว และในปี 1139 อัศวินเทมพลาร์ได้รับเกียรติยศอันสูงสุด เมื่อพระสันตปาปา อินโนเซนต์ที่ 2 ประกาศให้พวกอัศวินเทมพลาร์อยู่เหนือกฎหมายของทุกประเทศ ไม่ต้องเสียภาษี และสามารถเดินทางผ่านดินแดนใดก็ได้โดยมิให้ผู้ใดขัดขวาง

ถึงแม้อัศวินเทมพลาร์จะเป็นกลุ่มที่เน้นหนักไปในด้านการทหาร แต่สมาชิกส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นนักรบ แต่มีหน้าที่คอยบริหารจัดการทรัพย์สินต่างๆ และอำนวยความสะดวกให้กับนักรบ โดยในกลุ่มอัศวินเทมพลาร์แบ่งออกเป็น 4 ส่วน - อัศวิน ถูกฝึกฝนในแบบของทหารม้าหนัก แต่งกายด้วยสีขาวและสัญลักษณ์กางเขนสีแดง - sergeants มาจากชนชั้นที่อยู่ต่ำกว่าอัศวิน ทำหน้าที่ในฐานะทหารม้าเบา พวกนี้จะสวมชุดสีน้ำตาล - the serving brothers ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สินของกลุ่ม และทำหน้าที่ติดต่อค้าขาย -the chaplains พระที่ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณและทางศาสนาให้กลุ่ม

พวกอัศวินเทมพลาร์เข้าร่วมสมรภูมิสำคัญๆในดินแดนแถบนี้ในฐานะกองทหารชั้นยอด และยังเคยเข้าร่วมกับกองทัพของ Louis VII แห่งฝรั่งเศส และ King Richard I แห่งอังกฤษ ในการรบในดินแดนปาเลสไตน์

ระบบธนาคาร

อัศวินเทมพลาร์มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาล และเริ่มให้ผู้แสวงบุญชาวเสปนยืมเงินสำหรับใช้เดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิในปี 1135

ปี 1150 Knights Templar ก็เริ่มใช้ระบบใหม่ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของระบบธนาคาร นั่นคือ เมื่อมีผู้แสวงบุญในยุโรปประสงค์จะเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ พวกเขาจะนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนไปฝากไว้กับฐานของอัศวินเทมพลาร์ในประเทศของตน ซึ่งทางอัศวินเทมพลาร์จะออกใบเสร็จซึ่งจดบันทึกรายการทรัพย์สินที่ฝากเอาไว้ให้ผู้แสวงบุญติดตัวไป และเมื่อผู้แสวงบุญกำลังเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ หากต้องการใช้เงินเมื่อไหร่ ก็นำใบเสร็จนี้ไปยื่นต่ออัศวินเทมพลาร์ที่เจอระหว่างทาง และเอาทรัพย์สินของตนออกมาใช้ได้ ด้วยวิธีนี้ผู้ แสวงบุญจะปลอดภัยจากการถูกปล้นชิงกลางทาง เพราะไม่ได้นำของมีค่าติดตัวไปด้วย (แถมยังทำให้อัศวินเทมพลาร์มีทรัพย์สินเพิ่มอีกอื้อซ่า)

นอกจากมีระบบฝากเงินแล้ว ด้วยความร่ำรวยของอัศวินเทมพลาร์จึงมีหลายต่อหลายคนในยุโรปเข้ามาขอยืมเงิน ไม่ว่าจะเป็นขุนนางมายืมเงินเพื่อไต่เต้าตำแหน่ง แม่ทัพยืมเงินไปสร้างกองทัพ พ่อค้ายืมเงินไปทำธุรกิจ แม้แต่พระก็ยังมายืมเงินจากอัศวินเทมพลาร์เนื่องจากการคิดดอกเบี้ยเป็นเรื่องต้องห้ามของศาสนจักร พวกอัศวินเทมพลาร์จึงไม่ได้คิดดอกเบี้ย แต่คิด"ค่าเช่า"แทน

อัศวินเทมพลาร์กลายเป็นกลุ่มที่ร่ำรวยและมีอำนาจอย่างมาก ครอบครองที่ดินทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง สร้างปราสาทและโบสถ์มากมาย มีฟาร์มหลายแห่ง ค้าขายสินค้าทั้งส่งออกและนำเข้า มีกองทัพเรือของตัวเอง และครอบครองเกาะไซปรัสทั้งหมด

ล่มสลาย

เมื่อกรุงเยรูซาเลมพ่ายต่อสุลต่าน ซาลาดิน การสนับสนุนจากยุโรปก็ตกต่ำลง ในช่วงท้ายปี 1300 กษัตริย์ ฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ได้ยืมเงินจำนวนมากจากอัศวินเทมพลาร์เพื่อใช้ในการทำสงครามกับอังกฤษ แต่ไม่มีเงินพอที่จะใช้คืนได้ เลยหาเหตุเบี้ยวนี้ สั่งสอบสวนผู้นำของ Templar Grand Master Jacques de Molay ในฐานะเป็นพวกนอกรีต ซึ่งเจ้าตัวให้การปฏิเสธ

ในวันศุกรที่ 13 ปี 1307 ฟิลิปจับกุมตัวสมาชิกอัศวินเทมพลาร์ทั้งหมดในฝรั่งเศส กล่าวหาว่าพวกอัศวินเทมพลาร์บูชาปีศาจบาโฟเมต เป็นพวกนอกรีต และสั่งประหาร ซึ่งทำให้ฟิลิปรอดพ้นจากการเป็นหนี้พวกอัศวินเทมพลาร์ซ้ำฟิลิปยังยึดทรัพย์สินของพวกอัศวินเทมพลาร์ทั้งหมดในฝรั่งเศส

ด้วยแรงกดดันจากฟิลิป พระสันตปาปาคลีเมนต์จึงสั่งยุบกลุ่มอัศวินเทมพลาร์ที่ดินของอัศวินเทมพลาร์ถูกโอนไปให้พวก Hospitallers และพวกผู้นำในยุโรปก็เอาตามอย่างฟิลิป ประกาศให้พวกอัศวินเทมพลาร์เป็นพวกนอกรีตและยึดทรัพย์สิน ในปี 1314 ผู้นำของอัศวินเทมพลาร์ทั้ง 3 คน ถูกจับเผาทั้งเป็น

พวกสมาชิกที่เหลือในยุโรปถูกตามจับไปสอบสวนโดยผู้สอบสวนของพระสันตปาปา (ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่รอด) บางคนหนีไปเข้าร่วมกับกลุ่มอื่นเช่น Order of Christ และ Knights Hospitaller พวกอัศวินเทมพลาร์จึงล่มสลายลง

ถึงแม้อัศวินเทมพลาร์จะล่มสลายลง แต่ยังคงทิ้งปริศนาเอาไว้หลายอย่าง เช่น เกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกอีก 100 คนที่ยังหลงเหลือในยุโรป กองเรือของพวก อัศวินเทมพลาร์หายไปใหน บันทึกที่จดบันทึกบัญชีการค้าและทรัพย์สินของอัศวินเทมพลาร์หายไปใหน หรือมันไม่เคยมีอยู่มาตั้งแต่แรกแล้ว

ตำนาน

ในปัจจุบันมีตำนานเล่าลือของพวกอัศวินเทมพลาร์อยู่ทั่วไป และกลายเป็นปริศนายอดฮิตที่มักมีคนนำไปแต่งนิยายหรือภาพยนตร์เสมอ ตำนานที่พูดถึงมากๆก็มีดังนี้

ฐานบัญชาการในตำนาน

ตามประวัติ พวกอัศวินเทมพลาร์ตั้งฐานบัญชาการแห่งแรกใกล้ๆ Temple Mount ซึ่งถือเป็นสถานทีศักดิ์สิทธิของคริสเตียน ยิว และมุสลิม

เชื่อกันว่าTemple Mount ตั้งอยู่บนซากปรักหักพังของโบสถ์โซโลมอนในไบเบิล มีคำล่ำลือมากมายเกี่ยวกับโบสถ์นี้ว่า เป็นสถานที่เก็บวัตถุศักดิ์สิทธิยิ่งยวดเอาไว้ เช่น เป็นสถานที่เก็บ หีบแห่งพันธสัญญา ที่โมเสสใช้ติดต่อกับพระเจ้า บางตำนานก็ว่ามีอุโมงค์ลับใต้วิหารซึ่งเป็นที่เก็บ ชิ้นส่วนของไม้กางเขนที่ใช้ตรึงพระเยซู บางตำนานก็กล่าวว่าในนั้น เก็บเอกสารสำคัญบางอย่างที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเยซู ด้วยเหตุหลายคนจึงเชื่อกันว่า พวกอัศวินเทมพลาร์พบเจออะไรบางอย่างในโบสถ์นั้น และสิ่งนั้นทำให้ Knights Templar ก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานใดบ่งบอกว่าตำนานเหล่านี้จะเป็นจริง

นักวิชาการบางคน เช่น Hugh J. Schonfield มีข้อสันนิษฐานว่า พวกอัศวินเทมพลาร์อาจไปเจอคัมภีร์โบราณ Copper Scroll "ม้วนบันทึกทองแดง" ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้พวก Knights Templar ถูกข้อกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต (คัมภีร์ Copper Scroll คือส่วนหนึ่งของคัมภีร์อื้อฉาวแห่งศาสนาคริสต์ นั่นคือคัมภีร์ Dead Sea Scrolls"ลิลิตเดดซี" ซึ่งมีการค้นพบในถ้ำคูมรัน คาดการ์ณกันว่าเป็นคัมภีร์ไบเบิลยุคแรกสุดจากยุคโรมัน ซึ่งมีเนื่อหาบางส่วนแตกต่างจากไบเบิลในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทางวาติกันปฏิเสธเนื้อหาในคัมภีร์นั้นว่าไม่เป็นความจริง และมีข่สวลือว่าทางวิติกันพยายามเข้ามาแทรกแซงไม่ให้มีการเผยแพร่สู่สาธารณะ)

ตำนาน ศุกร์ที่ 13

หลายคนเชื่อว่า ความเชื่อที่ว่าวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้าย มีสาเหตุมาจากที่พวกอัศวินเทมพลาร์ถูกจับในข้อหาเป็นพวกนอกรีตในวันศุกร์ที่ 13 นี่เอง

ผู้อ้างว่าเป็นผู้สืบทอด

มีสมาคมหลายสมาคมในยุโรป อ้างว่าเคยติดต่อและเกี่ยวข้องกับอัศวินเทมพลาร์เช่น สมาคม Freemasonry ซึ่งรับธรรมเนียมปฏิบัติและพิธีกรรมมากจากพวกKnights Templar ซึ่งเน้นหนักไปในด้านการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

และยังมีสมาคมอีกหลายกลุ่ม อ้างว่าตนเองสืบทอดมาจากพวกอัศวินเทมพลาร์เช่น Order of the Solar Temple ซึ่งไม่มีหลักฐานใดๆยืนยันข้ออ้างนี้

แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA

แม่แบบ:Link FA