จินี (เด็กป่าเถื่อน)
จินี | |
---|---|
เกิด | ราว พ.ศ. 2500 อาคาเดีย รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ |
มีชื่อเสียงจาก | เหยื่อทารุณกรรมเด็กและหัวข้อวิจัยเกี่ยวกับการได้มาซึ่งภาษา |
จินี (อังกฤษ: Genie, เกิดเมื่อราว พ.ศ. 2500) เป็นนามแฝงที่ใช้เรียกเด็กป่าเถื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่งซึ่งถูกทารุณกรรม ทอดทิ้ง และถูกโดดเดี่ยวจากสังคม สถานการณ์ของเธอถูกบันทึกอย่างเด่นชัดโดยเฉพาะในเรื่องของภาษาศาสตร์และจิตวิทยาเด็กที่ผิดปกติ[1][2][3] เมื่อครั้งที่เธอยังเป็นเด็กเล็ก เธอถูกพ่อของเธอมองว่าเธอปัญญาอ่อน ด้วยความเชื่อนี้ พ่อของเธอจึงต้องการแยกเธอให้โดดเดี่ยวจากสังคม จึงเป็นเหตุให้พ่อของเธอขังเธอไว้คนเดียวในห้องตั้งแต่อายุ 20 เดือน โดยพ่อของเธอได้ผูกตัวเธอ รวมถึงแขนและขาของเธอติดกับโถส้วมหรือเปล และได้สั่งห้ามไม่ให้คนในครอบครัวพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับเธอ รวมทั้งได้ให้เธออดอาหารอย่างรุนแรง[4]
หลายปีต่อมาหลังจากที่ชีวิตของจินีได้พบกับแสงสว่าง เหล่านักจิตวิทยา นักภาษาศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ได้นำกรณีของเธอมาศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ในหลายด้านอย่างละเอียด เมื่อมีการพิจารณาว่าเธอยังไม่ได้เรียนรู้ภาษาใด ๆ เลย นักภาษาศาสตร์จึงเห็นว่าการศึกษากรณีของเธอเป็นโอกาสที่จะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกระบวนการควบคุมทักษะการเรียนรู้ภาษาและทดสอบทฤษฎีและสมมติฐานที่ใช้ระบุสมมติฐานช่วงอายุวิกฤตซึ่งเป็นช่วงอายุที่มนุษย์เรียนรู้ที่จะเข้าใจและใช้ภาษา ตลอดเวลาที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับกรณีของเธอ เธอได้มีพัฒนาการโดยรวมทั้งทางร่างกายและทางจิตใจที่ดียิ่งขึ้น เธอมีพัฒนาการทางการสื่อสารโดยใช้อวัจนภาษาที่ดีมาก แต่เมื่อการศึกษากรณีของเธอสิ้นสุดลง เธอก็ยังคงแสดงพฤติกรรม ลักษณะนิสัย และบุคลิกภาพส่วนมากเช่นเดียวกับคนที่โดดเดี่ยวทางสังคม แต่เธอก็ยังคงเรียนรู้ที่จะเข้าใจและใช้ภาษาระหว่างที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดสอบเธอ แต่ในที่สุด เธอก็ไม่สามารถเรียนรู้ภาษาที่หนึ่งได้อย่างสมบูรณ์[5]
ทางการได้จัดให้จินีเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเด็กลอสแอนเจลิส โดยทีมแพทย์และนักจิตวิทยาได้เฝ้าดูแลเธอเป็นเวลาหลายเดือน และการวางแผนการครองชีพที่ตามมาของเธอก็ได้กลายเป็นเรื่องถกเถียงที่ยืดเยื้อ เมื่อปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2514 เธอได้ออกจากโรงพยาบาลมาอยู่อาศัยกับครูที่โรงพยาบาลของเธอ แต่อีกครึ่งเดือนต่อมา ทางการได้นำเธอไปอยู่กับครอบครัวของนักวิทยาศาสตร์ที่มุ่งหน้าไปยังทีมวิจัย ซึ่งเธออาศัยอยู่มาเกือบสี่ปี หลังจากนั้น กลางปี พ.ศ. 2518 เมื่อเธออายุครบ 18 ปี เธอก็ได้กลับไปอยู่กับแม่ของเธอ ซึ่งสองสามเดือนต่อมาแม่ของเธอก็ตัดสินใจว่าไม่สามารถดูแลเธอได้ดีพอ ทางการจึงย้ายเธอไปอยู่ที่สถาบันสำหรับผู้ใหญ่ที่พิการซึ่งไม่มีใครที่เธอรู้จัก ส่งผลให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตของเธอเสื่อมโทรมลงเป็นอย่างมาก[4][6] และทักษะภาษาและทักษะทางพฤติกรรมของเธอที่เคยเรียนรู้ก็ถดถอยอย่างรวดเร็ว[4]
รายการอ้างอิง
[แก้]- ↑ Reynolds & Fletcher-Janzen 2004, p. 428.
- ↑ Waltz, Mitzi (2013). Autism: A Social and Medical History. Basingstoke, Hampshire, United Kingdom: Palgrave Macmillan. ISBN 978-0-230-52750-8. OCLC 821693777.
- ↑ Pinker 2007, pp. 296–297.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 "Secret of the Wild Child". NOVA. ฤดูกาล 22. ตอน 2. PBS. March 4, 1997. OCLC 57894649. PBS (United States), BBC (United Kingdom). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 9, 2012. สืบค้นเมื่อ February 12, 2009.
- ↑ Curtiss 1977.
- ↑ Rymer 1994, pp. 151–155.