การลอบสังหารอิเนจิโร อาซานูมะ
การลอบสังหารอิเนจิโร อาซานูมะ | |
---|---|
เป็นส่วนหนึ่งของ ความรุนแรงจากฝ่ายขวาในญี่ปุ่นทศวรรษ 1960 | |
ภาพถ่ายรางวัลพูลิตเซอร์ของยาชูชิ นางาโอะ ที่จับภาพขณะนามางูจิกำลังจะแทงอาซานูมะเป็นครั้งที่สอง | |
สถานที่ | หอประชุมสาธารณะฮิบิยะ เขตชิโยดะ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น |
วันที่ | 12 ตุลาคม 1960 15:05 (UTC+09:00) |
เป้าหมาย | อิเนจิโร อาซานูมะ |
ประเภท | การลอบสังหารโดยของมีคมแทง |
อาวุธ | วากิซาชิ[1] |
ผู้เสียหาย | อิเนจิโร อาซานูมะ |
ผู้ก่อเหตุ | โอโตยะ ยามางูจิ |
ในวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1960 อิเนจิโร อาซานูมะ (ญี่ปุ่น: 浅沼 稲次郎; โรมาจิ: Asanuma Inejirō) ประธานพรรคสังคมนิยมญี่ปุ่นถูกลอบสังหารที่หอประชุมสาธารณะฮิบิยะในเขตชิโยดะ โตเกียว ขณะการโต้วาทีถ่ายทอดออกอากาศ ชายคลั่งชาติวัย 17 ปี โอโตยะ ยามางูจิ วิ่งขึ้นบนเวทีโต้วาทีและใช้ดาบสั้นวากิซาชิแทงอาซานูมะจนถึงแก่ชีวิต[1]
การสังหารหมู่ครั้งนี้ส่งผลให้พรรคสังคมนิยมญี่ปุ่นอ่อนแลลงอยากหนัก, ทำให้เกิดอาชญากรรมเลียนแบบตามมามากมาย และหลังยามางูจิกฆ่าตัวตายในเรือนจำได้กลายเป็นผู้พลีกายของกลุ่มขวาจัดญี่ปุ่นในเวลาต่อมา
ภูมิหลัง
[แก้]อาซานูมะเป็นบุคคลที่มีคารมคมคายในวงการฝ่ายซ้ายของญี่ปุ่น ในปี 1959 เขาสร้างความโกรธแค้นไปทั่วญี่ปุ่นโดยการเดินทางไปยังจีนซึ่งเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ และประกาศว่าสหรัฐอเมริกาเป็น "ศัตรูร่วมของจีนและญี่ปุ่น" ขณะปราศรัยที่ปักกิ่ง
หลังเดินทางกลับญี่ปุ่น อาซานูมะกลายมาเป็นผู้นำและบุคคลสาธารณะคนสำคัญของการประท้วงอัมโปะเพื่อต่อต้านสนธิสัญญาความปลอดภัยญี่ปุ่น-สหรัฐ นำขบวนการประท้วงครั้งใหญ่ไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กลุ่มขวาจัด เช่น บิง อากาโอะ และ พรรคไดนิปปงไอโกกุ (ญี่ปุ่น: 大日本愛国党; โรมาจิ: Dai Nippon Aikoku Tō) เชื่อว่าการประท้วงของฝ่ายซ้ายในครั้งนี้เป็นสัญญาณว่าญี่ปุ่นกำลังเข้าใกล้การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ และเริ่มก่อการเพื่อพยายามป้องกันการปฏิวัติ[2]
ผลสืบเนื่อง
[แก้]การฆ่าตัวตายของผู้ก่อเหตุ
[แก้]หลังการลอบสังหาร ยามางูจิถูกจับกุมและคุมขังขณะรอการตัดสิน ตลอดการถูกคุมขัง เขาคงความสงบและสารภาพทุกอย่างต่อตำรวจ ยามางูจิยังย้ำตลอดว่าเขาลงมือทำด้วยตัวคนเดียว และไม่มีการชี้นำจากใครอื่น ในวันที่ 2 พฤศจิกายน เขาได้ใช้ยาสีฟันเขียนบนผนังของห้องขังว่า "ขอสมเด็จพระจักรพรรดิทรงพระเจริญ" และ "เพียงแค่กระผมมีชีวิตเจ็ดชีวิตที่จะมอบให้แก่ประเทศ (七生報国, shichisei hōkoku; มาจากคำพูดสุดท้ายก่อนเสียชีวิตของคูซูโนกิ มาซาชิเงะ ซามูไรจากศตวรรษที่ 14) และใช้ผ้าปูเตียงมัดกันแขวนคอตนเองเสียชีวิตในห้องขัง[3]
การเสื่อมถอยของพรรคสังคมนิยมญี่ปุ่น
[แก้]พรรคสังคมนิยมญี่ปุ่นประกอบด้วยสมาชิกที่ไม่ค่อยลงรอยกัน ทั้งนักสังคมนิยมซ้ายจัด, นักสังคมนิยมฝ่ายกลาง และนักสังคมนิยมฝ่ายขวา แต่ต้องมารวมตัวกันเพื่อต้านความแข็งแกร่งของบรรดาพรรคอนุรักษนิยมที่รสมตัวกันเป็นพรรคประชาธิปไตยเสรีนิยม (Liberal Democratic Party) ในปี 1955 อาซานูมะเป็นบุคคลที่มีคารมคมคาย และสามารถยึดโยงกลุ่มที่มีความต่างนี้เข้าด้วยกันได้โดยใช้บุคลิกภาพของเขา[4] ในสมัยการนำของอานาซูมะ พรรคสังคมนิยมญี่ปุ่นชนะการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นหลายที่นั่งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติในทุก ๆ การเลือกตั้งนับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 1950 และมีท่าทีกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ การเสียชีวิตของอาซานูมะทำให้พรรคสูญเสียผู้นำที่ชำนาญ และได้ซาบูโร เอดะ ขึ้นมานำพรรคแทน[4] เอดะขยับพรรคไปทางฝ่ายกลางขึ้นทันที ซึ่งเป็นการปรับที่เร็วเกินกว่ากลุ่มสังคมนิยมฝ่ายซ้ายจะรับได้[4] และนำไปสู่การต่อสู้ภายในพรรค อันนำไปสู่การส่งสารแก่สาธารณะที่ไม่มีความเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน ในช่วงที่เหลือของทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา จำนวนที่นั่งของบรรดานักสังคมนิยมในสภานิติบัญญัติลดลงเรื่อยมาจนพรรคสูญที่นั่งทั้งหมดในปี 1996[5]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 沢木, 耕太郎 (1982). 『テロルの決算』文藝春秋. 文春文庫. pp. 10, 238. ISBN 978-4167209049.
- ↑ Kapur, Nick (2018). Japan at the Crossroads: Conflict and Compromise after Anpo. Cambridge, Massachusetts: Harvard University Press. pp. 252–53. ISBN 9780674988484.
- ↑ Kapur, Nick (2018). Japan at the Crossroads: Conflict and Compromise after Anpo. Cambridge, Massachusetts: Harvard University Press. p. 254. ISBN 9780674988484.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 Kapur, Nick (2018). Japan at the Crossroads: Conflict and Compromise after Anpo. Cambridge, Massachusetts: Harvard University Press. p. 127. ISBN 9780674988484.
- ↑ Kapur, Nick (2018). Japan at the Crossroads: Conflict and Compromise after Anpo. Cambridge, Massachusetts: Harvard University Press. pp. 125–26. ISBN 9780674988484.