ข้ามไปเนื้อหา

ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก The Pursuit of Happyness)
ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้
โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง The Pursuit of Happyness
กำกับGabriele Muccino
เขียนบทSteven Conrad
อำนวยการสร้างวิลล์ สมิธ
Steve Tisch
Teddy Zee
Todd Black
Jason Blumenthal
นักแสดงนำวิลล์ สมิธ
จาเดน สมิธ
แทนดี้ นิวตัน (Thandie Newton)
ไบรอัน โฮว์ (Brian Howe)
เจมส์ คาเรน (James Karen)
แดน คาสเทลลาเนตา (Dan Castellaneta)
เคิร์ท ฟุลเลอร์ (Kurt Fuller)
สก็อต เคลซ (Scott Klace)
กำกับภาพPhedon Papamichael
ตัดต่อHughes Winborne
ดนตรีประกอบAndrea Guerra
วันฉาย15 ธันวาคม ค.ศ. 2006
ความยาว117 นาที
ประเทศสหรัฐอเมริกา
ภาษาภาษาอังกฤษ
ข้อมูลจาก All Movie Guide
ข้อมูลจาก IMDb
ข้อมูลจากสยามโซน

ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้ ในชื่อภาษาอังกฤษว่า The Pursuit of Happyness เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ออกฉายเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2006 นำแสดงโดย วิลล์ สมิธ เป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับชีวประวัติของคริส การ์ดเนอร์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกันผิวสี ในช่วงที่เขากำลังอยู่ในช่วงลำบากของชีวิต ช่วงที่เขาเป็นพ่อหม้ายที่มีภาระต้องเลี้ยงดูลูกชาย คริสโตเฟอร์ จูเนียร์ อีกคนทั้งๆที่เป็นคนพเนจรไม่มีบ้าน แต่ก็สามารถสร้างตัวเองขึ้นมาได้จากการเป็นนายหน้าค้าหุ้น จนกลายเป็นเจ้าของธุรกิจพันล้านในปัจจุบัน

เรื่องย่อ

[แก้]

ย้อนกลับไปปี ค.ศ. 1981 นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ลินดา และ คริส การ์ดเนอร์ อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์หลังเล็กๆหลังหนึ่งกับลูกชาย คริสโตเฟอร์ คริสได้ลงทุนเอาเงินเก็บของครอบครัวเกือบทั้งหมดไปใช้ในกิจการแฟรนไชส์ขายเครื่องสแกนความหนาแน่นของกระดูก อันเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สามารถสแกนได้ดีกว่าเครื่องเอกซ์เรย์เพียงเล็กน้อยแต่คุณหมอส่วนใหญ่ที่คริสไปเสนอขายให้นั้นกลับบอกว่าเครื่องนี้มีราคาแพงเกินไป ทำให้ขายไม่ค่อยได้ ลินดา ภรรยาของคริสต้องทำงานหนักหาเลี้ยงครอบครัวที่แผนกซักรีดในโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง ทั้งคู่มีปากเสียงกันบ่อยครั้งเนื่องจากฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวไม่ค่อยจะดีนัก ทั้งค่าเช่าที่ค้างจ่ายมานาน ทั้งภาษีหรือบิลต่างๆก็ค้างชำระมาหลายงวด คริสมักจะจอดรถไว้ในที่ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จอดเพื่อที่จะให้ไปทันเวลานัดหมายกับคุณหมอ หลังจากที่ไม่ไปชำระค่าที่จอดรถหลายงวดนั้น ในที่สุดรถของเขาก็ถูกยึดไป ในที่สุด ลินดาก็ได้ลาออกจากงานและก็ตัดสินใจทิ้งครอบครัวไปในที่สุดเพื่อเดินทางไปยังเมืองนิวยอร์กเผื่อจะมีงานที่ดีกว่า ทิ้งให้สองพ่อลูกต้องอยู่กับตามลำพังตามที่คริส ผู้เป็นพ่อได้ขอเอาไว้ว่าอย่าพรากลูกไปจากเขา

คริสตัดสินใจเข้าฝึกอบรมที่บริษัทนายหน้าค้าหุ้น ดีน วิทเทอร์ เรย์โนลด์ส ทั้งๆที่ไม่ได้รับเงินเดือนในช่วงของการฝึกงานเลย และจะมีผู้ฝึกอบรมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้รับการว่าจ้างให้เข้าทำงาน เนื่องด้วยงานนี้ไม่มีค่าตอบแทนแถมเขายังขายเครื่องสแกนเนอร์ไม่ออก จึงทำให้เขาและลูกชายพบกับความยากลำบาก จนในที่สุดก็กลายเป็นคนไร้บ้าน ในยามกลางคืน เขาและลูกชายต้องใช้ชีวิตไปกับการนั่งรถบัสและนอนในห้องน้ำสาธารณะของสถานีรถไฟใต้ดินพร้อมของติดตัวไม่กี่ชิ้น จากนั้นก็ได้ไปอาศัยอยู่แบบชั่วคราวที่โบสถ์ไกลด์ เมโมเรียล ชนิดที่วันไหนไปเข้าแถวทันก็จะได้อยู่ วันไหนไปไม่ทันก็อด ต้องทนกับความหนาวเหน็บของช่วงเวลากลางคืนอันโหดร้าย ทำให้เขาต้องรีบออกจากการฝึกอบรมโดยเร็ว เพื่อไปรับลูก แล้วไปต่อแถวเข้าพักให้ทัน หลังจากที่ต่อสู้กับชีวิตมาได้ซักระยะหนึ่ง เขาก็จบหลักสูตรการอบรม ได้สอบจบหลักสูตร และในที่สุด เขาก็ได้เป็นผู้ฝึกอบรมเพียงคนเดียวที่บริษัทตัดสินใจจ้างเข้าทำงาน ทำให้ชีวิตของเขาหลังจากนี้ไปเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จนเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่เขาเรียกว่า ความสุข

นักแสดงนำ

[แก้]
  • วิลล์ สมิธ แสดงเป็น คริส การ์ดเนอร์
  • เจเดน สมิธ แสดงเป็น คริสโตเฟอร์ การ์ดเนอร์
  • แธนดี นิวตัน แสดงเป็น ลินดา การ์ดเนอร์
  • ไบรอัน โฮวอี แสดงเป็น เจย์ ทวิสเซิล
  • เจมส์ คาเรน แสดงเป็น มาร์ติน ฟรอห์ม
  • แดน แคสเตลลาเนตา แสดงเป็น อลัน แฟรคเคช
  • เคิร์ท ฟุลเลอร์ แสดงเป็น วอลเตอร์ ริบบอน
  • สก็อตต์ เคลซ แสดงเป็นทิม บร็อฟฟี่

Box Office

[แก้]

หนังเปิดตัวที่อเมริกาเหนือในช่วงวันหยุด รายได้ $27 million หรือประมาณ 950 ล้านบาท และถูกฉายเป็นภาพยนตร์ส่งเสริมอีกมากมาย เช่น Eragon และ Charlotte 's Web ทำรายได้ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ได้ $162,586,036 หรือประมาณ 5600 ล้านบาท รวมรายได้ทั่วโลกได้ $304,286,031 หรือประมาณ 10060 ล้านบาท

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]