แอสตันมาร์ติน แวนควิซ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แอสตันมาร์ติน แวนควิซ
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตแอสตันมาร์ติน
เริ่มผลิตเมื่อค.ศ. 2001 – 2007
ค.ศ. 2012 – 2018
แหล่งผลิตเกย์ดอน, สหราชอาณาจักร
ผู้ออกแบบเอียน แคลลุม (Ian Callum; โฉมแรก)[1]
มาเรก ไรช์แมน (Marek Reichman; โฉมที่สอง)
ตัวถังและช่วงล่าง
ประเภทรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูง (Grand tourer)
รูปแบบตัวถัง2 ประตู คูเป
โครงสร้างเครื่องยนต์กลางลำหน้า ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (FMR)
จำนวนประตู2 แบบบานเปิดหงส์ (Swan)
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์V12, 5,935 cc (362.2 cu in)
ระบบเกียร์
  • เกียร์ธรรมดาอิเล็กโทร-ไฮโดรลิก 6 จังหวะ พร้อมกับออโตชิฟต์ ASM/SSM
  • เกียร์อัตโนมัติทัชโทรนิก2 6 จังหวะ (ค.ศ. 2012–2014)/เกียร์อัตโนมัติทัชโทรนิก3 8 จังหวะ (ค.ศ. 2014 -)
มิติ
ความยาว
  • 4,665 mm (183.7 in)
  • 4,720 mm (185.8 in)
ความกว้าง
  • 1,923 mm (75.7 in)
  • 1,905 mm (75.0 in)
ความสูง
  • 1,318 mm (51.9 in)
  • 1,280 mm (50.4 in)
น้ำหนัก
  • 1,835 kg (4,045 lb) – 1,875 kg (4,134 lb)
  • 1,739 kg (3,834 lb)
ระยะเหตุการณ์
รุ่นต่อไปแอสตันมาร์ติน ดีบีเอส วี12 (รุ่นแรก)
แอสตันมาร์ติน ดีบีเอส ซุปเปอร์เลจเกร่า (รุ่นที่2)

แอสตันมาร์ติน แวนควิซ (อังกฤษ: Aston Martin Vanquish) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูง เครื่องยนต์กลางลำหน้า ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (FMR) 2 ประตู 2+2/2+0 ที่นั่ง ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอังกฤษ แอสตันมาร์ติน เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2001 เป็นหนึ่งในรุ่นที่มารับช่วงต่อจากวิเรจ (Virage) โฉมแรกของแวนควิซ ได้รับการออกแบบโดย เอียน แคลลุม (Ian Callum) รถได้เปิดเผยสู่สาธารณชนที่งานเจนีวามอเตอร์โชว์ ปี ค.ศ. 2001 และได้ยุติการผลิตในปี 2005 ส่วนแวนควิซ เอส (Vanquish S) ซึ่งมีกำลังเครื่องยนต์และสมรรถนะที่สูงกว่า ได้เปิดตัวในปี ค.ศ. 2004 จนต่อมาในปี ค.ศ. 2007 แวนควิซ เอส ก็ได้ยุติการผลิตทั้งหมด และถูกแทนที่ด้วยรุ่น ดีบีเอส วี12 ในปี ค.ศ. 2012 แวนควิซ ในโฉมที่ 2 ก็ได้เปิดตัวอีกครั้ง หลังจากยุติการผลิตไปนานถึง 5 ปี จึงทำให้ แวนควิซ ในโฉมที่ 2 ถูกสร้างมาเพื่อแทนที่ ดีบีเอส วี12 ด้วย

แอสตันมาร์ติน แวนควิซ ในโฉมที่ 1 มีชื่อเสียงจากการที่เป็นรถของเจมส์บอนด์ ในภาค ดาย อนัทเธอร์ เดย์[2]

โฉมที่ 1[แก้]

Aston Martin V12 Vanquish[แก้]

แอสตันมาร์ติน วี12 แวนควิซ โฉมที่ 1

แอสตันมาร์ติน วี12 แวนควิซ (Aston Martin V12 Vanquish) ผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001-2005 (เป็นจำนวน 1,492 คัน) ได้รับการออกแบบโดย นักออกแบบรถชาวอังกฤษ เอียน แคลลุม (Ian Callum) รถได้ใช้ชื่อโครงการว่า Project Vantage Concept ด้วยรูปลักษณ์ของรถที่มีขนาดใหญ่กว่า ตัวถังที่ทำมาจากอะลูมิเนียมและคาร์บอน แอสตันมาร์ติน ดีบี7 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V12 ขนาด 5,935 ซีซี (5.9 ลิตร; 362.2 cu in) มีจำหน่ายทั้งแบบ 2+0 ที่นั่ง (2 ที่นั่ง) และแบบ 2+2 ที่นั่ง (4 ที่นั่ง)

แอสตันมาร์ติน วี12 แวนควิซ สามารถให้กำลังสูงสุดถึง 456 PS (335 kW; 450 bhp) และแรงบิดสูงสุด 540 N·m (400 lb·ft) ใช้ระบบเกียร์ธรรมดาอิเล็กโทรไฮดรออิก 6 จังหวะ ( Electrohydraulic manual ) ระบบเบรกแบบ เอบีเอส (ABS)

แอสตันมาร์ติน วี12 แวนควิซ ได้รับการจัดอันดับ ให้อยู่อันดับ 3 รถที่ประกอบภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา (Best Film Cars Ever) ตามหลังเพียง มินิ ในภาพยนตร์ เดอะอิตาเลียนจอบ[3] และ แอสตันมาร์ติน ดีบี5 ซึ่งใช้ประกอบภาค จอมมฤตยู 007 และในภาค ธันเดอร์บอลล์ 007 ของภาพยนตร์ชุดเจมส์ บอนด์

Aston Martin Vanquish S[แก้]

แอสตันมาร์ติน แวนควิซ เอส (Aston Martin Vanquish S) เปิดตัวครั้งแรกที่งานปารีสออโตโชว์ปี ค.ศ. 2004 มาพร้อมกับกำลังและสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นกว่า แวนควิซ ตัวปกติ สำหรับตัวซีซียังคงเดิมไว้ที่ 5,935 ซีซี เช่นเดิม แต่กำลังเพิ่มขึ้นจาก 456 เป็น 520 แรงม้า (340 to 390 kW) ทำให้แวนควิซ เอส กลายเป็นรถที่เร็วที่สุดเท่าที่ แอสตันมาร์ติน เคยสร้างมา จนกระทั่งวี12 แวนทิจ เข้ามาครองบัลลังค์แทนในเดือนพฤษภาคมปี ค.ศ. 2013 รถได้ยุติการผลิตลงในวันที่ 19 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2007 ผลิตมาเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,086 คัน

ผู้ที่ชื่นชอบแอสตันมาร์ติน บางคนกล่าวถึง แวนควิซ เอส ที่ยุติการผลิตลงว่า เป็นรถแอสตันมาร์ตินคันสุดท้ายที่มีความเป็นแอสตันมาร์ตินมากที่สุด

โฉมที่ 2[แก้]

แอสตันมาร์ติน แวนควิซ โฉมที่ 2

โฉมที่ 2 แอสตันมาร์ติน แวนควิซ ได้ชื่อโปรเจ็กต์ว่า "เอเอ็ม310" ( AM310 ) ผลิตมาเพื่อแทน แอสตันมาร์ติน ดีบีเอส วี12[4] ซึ่งได้ยุติการผลิตไปในปี ค.ศ. 2012 แวนควิซ โฉมที่ 2 มาพร้อมกับ เครื่องยนต์ขนาด 5,935 ซีซี (5.9 ลิตร; 362.2 cu in) V12 มีกำลัง 573 PS (421 kW; 565 bhp) ที่ 6,750 rpm และแรงบิดสูงสุดที่ 620 N·m (460 lb·ft) ที่ 5,500 rpm รถขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า ระบบเกียร์แบบอัตโนมัติ 6 จังหวะ และจำหน่ายแบบ 2+2 ที่นั่ง (4 ที่นั่ง) เพียงอย่างเดียว[5] ซึ่งต่างกับโฉมก่อนหน้านี้ที่มีให้เลือก 2 แบบ

รุ่นพิเศษ (Special editions)[แก้]

Vanquish Zagato[แก้]

อังกฤษ-ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองผู้ดีใช้งานแสดงรถยนต์ในเมืองมะกะโรนีเป็นที่เปิดตัวรถรุ่นพิเศษ ซึ่งเป็นผลงานจากความร่วมมือกับ ซากาโต (ZAGATO) สำนักออกแบบตัวถังรถยนต์ชื่อดัง และจะจำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 99 คัน

Zagato สุดยอดสำนักต่อตัวถัง (Coachbuilding) และยังเป็นสำนักการออกแบบอันโด่งดังจากประเทศอิตาลี เคยร่วมสร้างตำนานอันยิ่งใหญ่กับ Aston Martin ด้วยการร่วมพัฒนา Aston Martin DB4 GT Zagato เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1960 โดยนำ Aston Martin DB4 มาเพิ่มมนต์เสน่ห์แห่งเส้นสายอิตาลีเข้าไปจนกลายเป็นรถยนต์แห่งความทรงจำจนถึงทุกวันนี้

นับตั้งแต่นั้น Zagato ก็ได้ร่วมงานกับ Aston Martin เพื่อสร้างรถสปอร์ตเวอร์ชันพิเศษออกมาเรียกเงินจากกระเป๋าเศรษฐีทั่วโลกตลอดมา

ใครที่เป็นแฟน Aston Martin น่าจะพอทราบว่ารถยนต์ค่ายนี้มี Zagato เป็นพันธมิตรมาเป็นเวลานานตั้งแต่ยุค 1960 แล้วโดยที่มี DB4 GT Zagato เป็นตัวสร้างชื่อและในตอนนี้ทั้ง 2 บริษัทได้กลับมาร่วมมือกันอีกครั้งเพื่อสร้างรถยนต์ต้นแบบรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า Vanquish Zagato อันมีพื้นฐานมาจาก Vanquish รุ่นธรรมดาหากได้รับการเสริมแต่งเพิ่มเติมในอีกหลายๆด้าน

และล่าสุด Aston Martin ก็ปล่อย Aston Martin Vanquish Zagato Volante หรือ Vanquish Zagato เวอร์ชันเปิดประทุนในงาน Pebble Beach Concours d’Elegance

โปรเจคท์ล่าสุดที่ทั้ง Aston Martin และ Zagato จับมือร่วมกันพัฒนา นั่นคือ การนำ Aston Martin Vanquish S มาพัฒนาเพื่อสานต่อตำนานบทใหม่ ได้แก่ Aston Martin Vanquish Zagato ตัวถัง Coupe ที่เปิดตัวครั้งแรก ผ่านสื่ออินเตอร์เน็ตเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2016 และ Aston Martin Vanquish Zagato Volante ตัวถังเปิดประทุน Convertible แบบ 2+2 ที่นั่ง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2016

Aston Martin และ Zagato ยังไม่หยุดความพิเศษไว้เพียงเท่านี้ เพราะทั้งคู่เพิ่งเผยโฉม Aston Martin Vanquish Zagato Speedster เวอร์ชันเปิดประทุน 2 ที่นั่งที่มีดีไซน์สปอร์ตเฉพาะตัวแตกต่างไปจาก Vanquish Zagato Volente และ Aston Martin Vanquish Zagato Shooting Brake สปอร์ตแวกอน 3 ประตูทางเลือกใหม่ที่ไม่ตามใคร เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา

ดีไซน์ Aston Martin Vanquish Zagato Speedster ที่แตกต่างจาก Vanquish Zagato Volante

  • เป็นรถสปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่ง
  • การออกแบบแนวหลังคา Speed Humps ที่ยกสูงขึ้นไปอีกระดับจนแลดูคล้ายหลังคาแบบ Targa
  • แนวหลังคา Speed Humps ถูกออกแบบในสไตล์ Double Bubble

จุดเด่นดีไซน์ของ Aston Martin Vanquish Zagato Shooting Brake

  • เป็นรถสปอร์ตแวกอน 2 ที่นั่ง
  • แนวหลังคากระจก Double Bubble

รถยนต์ตระกูล Aston Martin Vanquish Zagato จะยกชุดมาจาก Aston Martin Vanquish S ด้วยเครื่องยนต์อัลลอย V12 Quad Overhead 48 วาล์ว ระบบแปรผัน Dual variable camshaft timing ขนาด 5.9 ลิตร 5,935 ซีซี ไร้ระบบอัดอากาศใด ๆ อัตราส่วนกำลังอัด 11:1 กำลังสูงสุด 580 แรงม้า (BHP) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 630 นิวตันเมตรที่ 5,500 รอบ/นาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ Touchtronic III แบบ 8 จังหวะ ขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง

Aston Martin วางแผนการผลิต Vanquish Zagato ทุกตัวถัง จำกัดไว้แค่เพียง 325 คันเท่านั้น ได้แก่

ตัวถัง Coupe 99 คัน ถูกผลิตมาแล้วในช่วงปลายปี 2016 ตัวถัง Volante 99 คัน ถูกผลิตหลังจากผลิต Coupe ได้ไม่นานนัก มียอดสั่งจองครบโควตาแล้ว พร้อมส่งมอบให้หมดในปี 2018 ตัวถัง Speedster 29 คัน ถูกจับจองล่วงหน้าหมดแล้ว พร้อมส่งให้ลูกค้าได้ภายในปี 2018 ตัวถัง Shooting Brake 99 คัน จะถูกผลิตในปี 2018 หลังจากหมดซีรีส์ Aston Martin Vanquish Zagato แล้ว คงต้องจับตาเป็นอย่างยิ่งว่าทั้ง Aston Martin กับ Zagato จะร่วมมือกันทำอะไรกันบ้างในอนาคต?

Aston Martin Vanquish Zagato ทั้ง 4 ตัวถังผลิตจำนวนจำกัดรวมกันทั้งสิ้น 325 คัน โดยแบ่งเป็นตัวถัง Coupe, Volante และ Shooting Brake ออกเป็นตัวถังละ 99 คัน ส่วนรุ่นที่หายากที่สุดคือ Speedster เพราะผลิตเพียงแค่ 28 คันเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ทั้งหมดล้วนมีเจ้าของหมดแล้ว แม้ว่าราคาค่าตัวจะสูงในระดับ 500,000 – 1,000,000 ปอนด์ (ราว 21,000,000 – 43,927,000 บาท) ก็ตามที

Vanquish Vision Concept[แก้]

หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 ในงาน Geneva Motor Show จะเห็นได้ว่า Aston Martin เคยนำรถยนต์คอนเซ็ปต์ที่เป็นลักษณะเครื่องวางกลางลำซึ่งเหมือนกับพี่ๆร่วมค่ายอย่าง Valhalla และ Valkyrie โดย Next gen Vanquish จะเข้ามารับไม้ต่อนั้นในฐานะ Entry-level supercar นั่นเอง

สำหรับขุมพลังใหม่จากค่าย AMG ที่จะมาอยู่ใน Aston Martin Vanquish นั้นจะไม่ใช่เครื่องยนต์สันดาปภายในล้วน แต่จะมีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยเพิ่มดีกรีความแรงขึ้นไปอีกตามยุคสมัย ทำให้แรงม้ารวมสูงถึง 831 ตัว ขณะที่เครื่องยนต์เดี่ยวๆนั้นอยู่ที่ 630 แรงม้า ส่วนพี่ใหญ่อย่าง Valhalla นั้นได้เครื่องยนต์ V8 จาก AMG GT Black Series ซึ่งจัดจ้านยิ่งกว่า

แม้ว่าเจ้า Vanquish ใหม่นั้นจะมีเครื่องยนต์ที่ให้สมรรถนะตามตารางที่สูงลิ่วแล้วก็ตาม แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมชั้นอย่าง Ferrari 296 GTB และ McLaren Artura พบว่ายังเป็นรองทั้งสองคันอยู่ เป็นเหตุให้ทีมวิศวกรต้องกลับมาหาทางตีตื้นด้วยการใช้ชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์บางส่วนแทนเพื่อไล่เบา ซึ่งอาจทำได้มากถึง 1,500 กิโลกรัม

Next gen Vanquish นั้นมีแผนเปิดตัวในปี 2025 โดย Lawrence Stroll ประธานบริษัทได้ให้ข้อมูลว่านอกจากเวอร์ชันธรรมดาสามัญ ที่เปิดโอกาสให้คนรักความแรงที่กระเป๋าหนักได้เป็นเจ้าของแล้ว Vanquish ก็ยังจะมีตัวแรงที่จะถูกนำไปปรับแต่ง เพื่อต่อยอดเป็นเวอร์ชันพิเศษในอนาคตอีกด้วย ซึ่งต่างจากวิถีของรถซุปเปอร์คาร์ที่โดยทั่วไปจะผลิตออกมาในลักษณะเวอร์ชันเดียวสำหรับทุกตลาด หรือ one-make global racing series นั่นเอง

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-01-29. สืบค้นเมื่อ 2017-06-11.
  2. http://www.007.info/die-another-day/
  3. "The Italian Job's Mini Cooper S named best film car". Autotrader.co.uk. 11 April 2008. สืบค้นเมื่อ 20 March 2011.
  4. "Project AM310 Concept". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-13. สืบค้นเมื่อ 2013-11-17.
  5. "Aston Martin Vanquish". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-22. สืบค้นเมื่อ 2013-11-17.