แนท คิง โคล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แนท คิง โคล
สารนิเทศภูมิหลัง
เกิด17 มีนาคม ค.ศ. 1919
แนทาเนียล อดัมส์ โคล
เสียชีวิต15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1965
คู่สมรสนาดีน โรบินสัน (1920-1948)
มาเรีย ฮอลคินส์ เอลลิงตัน (1948-1965)
อาชีพนักร้อง นักดนตรี
ปีที่แสดง1936 - 1965
สังกัดแคปิตอลเรคคอร์ดส

แนทาเนียล อดัมส์ โคล (อังกฤษ: Nathaniel Adams Coles; 17 มีนาคม ค.ศ. 1919 - 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1965) หรือที่รู้จักกันในวงการดนตรีว่า แนท คิง โคล (อังกฤษ: Nat King Cole) นักเปียโน, นักแต่งเพลงและนักร้องเพลงแจ๊ซชาวอเมริกันโคลเริ่มต้นความสำเร็จจากเป็นนักเปียโนแจ๊ซแนวหน้า จากนั้นก็หันมาทุ่มเทให้กับการร้องเพลง จนกระทั่งกลายเป็นหนึ่งในนักร้องที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักแพร่หลายคนหนึ่ง

วัยเด็ก[แก้]

โคลเกิดที่เมืองมอนโกเมอรี่ รัฐอลาบามา วันเกิดของเขาตรงกับวันเซนต์แพทริก ค.ศ. 1919 บิดาของเขาเป็นนักเทศน์ ช่วงที่เขายังเป็นเด็กอยู่ครอบครัวของเขาย้ายไปที่เมืองชิคาโก รัฐอิลินอยส์ ที่นั่นเองบิดาของเขาได้เลื่อนชั้น มารดาของแนทชื่อเพอรินาได้เป็นผู้ดูแลโบสถ์ เธอเป็นผู้สอนให้เขาเล่นออร์แกนจนกระทั่งอายุได้ 12 ปี

แนทแสดงการแล่นดนตรีครั้งแรกเมื่ออายุได้เพียง 4 ขวบโดยเล่นเพลง Yes, We have no bananas ไม่เพียงแต่เขาเรียนรู้เพลงแจ๊ซและกอสเปลเท่านั้น แนทยังเรียนเล่นเพลงคลาสสิกแบบยุโรปด้วย เขากล่าวว่าเขาเคยเล่นเพลงของ "ตั้งแต่บาคถึงรัคมานินอฟ"

ครอบครัวโคลอาศัยอยู่ในเขตบรอนซ์วิลในเมืองชิคาโก แนทมักแอบออกจากบ้านไปเข้าคลับฟังเพลงจากศิลปินเช่น หลุยส์ อาร์มสตรอง, เอิร์ล "ฟาธา" ไฮน์ และ จิมมี่ นูน เขาเข้าร่วมโครงการดนตรีที่มีชื่อเสียงที่โรงเรียนดูซาเบิล

โคลเริ่มยึดการแสดงดนตรีเป็นอาชีพช่วงกลางยุค 1930 โดยมีแรงบันดาลใจจากการเล่นของเอิร์ล ไฮน์ เขายังเป็นวัยรุ่นอยู่ และช่วงนี้เองที่เขาได้คิดชื่อ แนท โคล ขึ้นมาก พี่ชายคนโตของแนทชื่อ เอดดี้ โคล เป็นคนเล่นเบส ต่อมาได้เข้าร่วมวงกับน้องชาย ไม่นานพวกเขาก็ได้อัดแผ่นเสียงครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1936 ภายใต้ชื่อของเอดดี้ พวกเขาเล่นดนตรีที่คลับสม่ำเสมอ

แนทได้ฉายาว่า คิง ให้กับชื่อของเขาจากการที่ไปเล่นดนตรีที่คลับเพลงแจ๊ซแห่งหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นชื่อเล่นที่นำมาจากกลอนเด็กเล่นชื่อ โอลด์ คิง โคล

นอกจากนี้แล้ว โคลยังเป็นนักเปียโนในการทัวร์ระดับชาติช่วงยุคฟื้นฟูตำนานดนตรีแบบแร็กไทม์และละครบรอดเวย์ แต่แล้วทัวร์นี้ล้มเหลวที่เมืองลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่นี่เองเขาตัดสินใจตั้งรกราก

ลอสแอนเจลิส และ คิล โคล ทริโอ[แก้]

แนทและเพื่อนนักดนตรีอีกสามคนได้ตั้งวง "คิงโคลสวิงเกอส์" ขึ้นที่เมืองลองบีช และเช่นตามบาร์ท้องถิ่น นอกจากนี้แล้วพวกเขายังได้เงิน 90เหรียญต่อสัปดาห์จากการแสดงให้บาร์ลองบีชไพค์ แนทแต่งงานกับนักเต้นชื่อ เมแกน โรบินสันซึ่งเธอเองก็เคยทัวร์การแสดงระดับชาติกับเขามาก่อน จากนั้นทั้งคู่ก็ย้ายไปที่ลอสแอนเจลิส ที่นั่นเองเขาได้ตั้งวง "แนท คิง โคล ทริโอ" ขึ้น โดยมีแนทเล่นเปียโน ออสการ์ มัวร์เล่นกีต้าร์ และวีสลีย์ ปรินซ์เล่นดับเบิ้ลเบส วงทริโอนี้เล่นที่ลอสแอนเจลิสตลอดยุค1930 และยังเข้าเล่นออกอากาศตามสถานีวิทยุอีกหลายแห่ง หน้าที่ของแนทคือเป็นผู้เล่นเปียโนและคนนำวง

มีความเชื่อผิดว่าอาชีพนักร้องของแนทจะไม่เริ่มขึ้นถ้าไม่มีเจ้าของบาร์ขี้เมาคนหนึ่งขอให้แนทร้องเพลง Sweet Lorraine ที่จริงแล้ว แนท โคลได้พูดออกอากาศไว้ว่า เรื่องราวที่เล่าแต่งกันมานั้นฟังดูดี ก็เลยปล่อยให้เลยตามเลย ความจริงคือแนทนั้นร้องเพลงอยู่เนืองๆระหว่างเล่นดนตรี เขาสังเกตว่าผู้ฟังเริ่มขอให้มีการร้องเพลงมากขึ้น เขาเลยสนองข้อคำขอจากผู้ฟัง มีบ้างที่คนฟังขอเพลงที่เขาไม่รู้จัก ดังนั้นเขาจึงร้องเพลง Sweet Lorraine ให้ฟังแทน

ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง วีสลีย์ ปรินซ์ทิ้งวงไปและแนทได้หาคนมาแทนที่ เขาคนนั้นคือ จอห์นนี่ มิลเลอร์ ซึ่งต่อมาในยุค1950 ตำแหน่งนี้ก็ถูกแทนโดย ชาร์ลี แฮร์ริส

ต่อมาวงได้เซ็นสัญญากับแคปิตอลเรคคอร์ดส ปีค.ศ. 1943 โคล นั้นอยู่กับบริษัทเพลงนี้ไปตลอดชีวิตการทำงานของเขา รายได้จากการขายแผ่นเสียงของแนทนั้นทำกำไรให้กับค่ายเพลงมากในยุคนี้ และยังเป็นแหล่งเงินทุนหลักในการสร้างตึกใหม่ให้กับบริษัท ตึกที่ว่านี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1956 มันเป็นตึกทำการทรงกลมตึกแรกของโลกและรู้จักกันในนาม The house that Nat built หรือ บ้านที่แนทเป็นคนสร้าง

โคลจัดว่าเป็นนักเปียโนแจ๊ซแนวหน้า การจัดวงทริโอที่ประกอบไปด้วยเปียโน กีต้าร์และเบสในยุคของบิ๊กแบนด์ของเขานั้นจัดว่าเป็นการปฏิวัติวงการเพลงแจ๊ซ ซึ่งต่อมาภายหลังก็เป็นการจัดวงแจ๊ซทริโอที่นิยมสืบต่อมา

อาชีพนักร้องยุคเริ่มต้น[แก้]

เสียงร้องของโคลที่ได้รับความนิยมมากนั้นอยู่ในแผ่นเสียงในปีค.ศ. 1943 ในเพลง Straighten Up and Fly Right ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากนิทานพื้นบ้านของชาวแอฟริกัน อเมริกัน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นนิทานที่บิดาของโคลเคยหยิบยกมาเป็นบทเทศน์สั่งสอนคนที่โบสถ์ จอห์นนี่ เมอร์เซอร์ เป็นคนเชิญเขามาอัดเพลงนี้ให้แก่ค่ายเพลงแคปิตอลเรคคอร์ดส แผ่นเสียงขายได้มากกว่า 500,000 แผ่น

ในยุค1940 โคลได้เริ่มอัดและร้องเพลงที่เป็นป๊อปมากขึ้นสำหรับผู้ฟัง ส่วนมากแล้วเพลงในยุคนี้จะร้องกับวงเครื่องสาย

โคลกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นที่นิยมหรือป๊อปไอคอน และเป็นที่จดจำในช่วงยุคเพลง The Christmas Song, Nature Boy (1948) , Mona Lisa (1950) , Too Young (1951) และเพลงที่โด่งดังของเขาอีกเพลงคือ Unforgettable (1951) ช่วงนี้นี่เองที่เขาเปลี่ยนไปร้องเพลงที่เป็นสไตล์ป๊อป ทำให้นักวิจารณ์เพลงแจ๊ซและแฟนเพลงแจ๊ซวิจารณ์เขาว่าเขาได้ละทิ้งแจ๊ซขายตัวเองให้เพลงป๊อป แต่ความจริงแล้วเขาไม่เคยทิ้งแจ๊ซไป เห็นได้จากที่เขาได้อัดเพลงที่เป็นแจ๊ซทั้งอัลบั้มในปีค.ศ. 1956ในชื่อ After Midnight

ประวัติศาสตร์ทางโทรทัศน์[แก้]

ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1956 รายการ แนท คิง โคล โชว์ (Nat King Cole Show) ออกอากาศเป็นครั้งแรกผ่านทางช่อง NBC-TV คนส่วนมากมักเข้าใจผิดว่า แนท โคลเป็นคนแอฟริกัน อเมริกันคนแรกที่เป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ แต่ความจริงแล้วผู้ที่เป็นคนแรกคือ ฮาเซล สก็อต นักร้องและนักเปียโนแจ๊ซในปี1950 รายการของแนทนั้นเป็นรายการโทรทัศน์แรกที่มีดารานักร้องชื่อดังอย่างแนทเป็นพิธีกรเสียมากกว่า เริ่มแรกนั้นรายการออกอากาศทุกคืนวันจันทร์เป็นเวลา15นาที ต่อมารายการได้ขยายเวลาออกไปเป็นครึ่งชั่วโมงในเดือนกรกฎาคมปี1957

รายการของโคลนั้นได้เพื่อนนักร้องนักดนตรีหลายคนในวงการช่วยเหลือผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเป็นแขกให้รายการเพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน เริ่มต้นจาก แฟรงกี้ แลน นักร้องผิวขาวคนแรกที่มาเป็นแขกให้รายการ ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนทำลายกำแพงสีผิว เอลล่า ฟิตเจอรัลด์, แฮร์รี่ เบลาฟอนเต้, เมล ทอร์เม้, เปกกี้ ลี และเอิร์ธ่า คิท เป็นต้น

รายการของเขานั้นส่วนมากผลิตโดยขาดทุนสนับสนุนระดับชาติ รายการออกอากาศครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1957 รายการของโคลอยู่รอดมาได้เพียงปีเดียวเท่านั้นทั้งนี้ก็เป็นเพราะโคลเพียงผู้เดียว ไม่ใช่ช่องNBC ซึ่งทางช่องเองที่เป็นคนตัดสินใจถอดรายการออก

ความจริงคือทั้งทางช่องและตัวแนทเองที่ได้ทำรายการทั้งๆที่ประสบปัญหาทางการเงินอย่างมหันต์ คนต่างเชื่อกันว่ารายการของโคลนั้นต้องปิดไปเพราะเหตุนี้ทั้งๆที่ได้รับความนิยมสูง แต่ความจริงแล้วคือรายการของเขานั้นต้องแพ้ให้กับรายการคู่แข่งทางช่อง ABC รายการเพลงเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงโดยมีปัจจัยอย่างคนดูที่ไม่แน่นอน ตัวอย่างรายการที่เกิดขึ้นและดำเนินไปได้เพียงฤดูเดียวได้แก่ของ แฟรงค์ ซินาตร้าในปี1957 จูดี้ การ์แลนด์ในปี 1963 และ จูลี่ แอนดรูส์ในปี 1972 เป็นต้น

การถูกเพิกถอนรายการและการเหยียดสีผิว[แก้]

รายการทีวีของโคลนั้นถูกเพิกถอนเพราะว่าผู้ให้สนับสนุนหลักไม่อยากที่จะให้เงินสนับสนุนรายการที่ออกอากาศศิลปินผิวสี โคลนั้นต่อสู้กับการเหยียดสีผิวมาต่อชีวิต เขาปฏิเสธที่จะเล่นดนตรีในรายการที่มีการแยกสีผิวอย่างเห็นได้ชัด ในปี1956 เขาถูกโจมตีเพื่อที่จะลักพาตัวบนเวทีระหว่างร้องเพลง Little Girl ในเมืองเบอมิงแฮม รัฐอลาบามา โดยสมาชิกสามคนจาก North Alabama White Citizens' Council โคลได้รับบาดเจ็บที่หลัง เขาไม่ได้เล่นจนจบคอนเสิร์ตและไม่เคยหวนกลับไปแสดงดนตรีทางรัฐทางใต้อีกเลย

ยุค1950และหลังจากนั้น[แก้]

ตลอดยุค 1950 โคลยังคงความนิยมได้อย่างต่อเนื่องเช่น จากเพลง Smile, Pretend, A Blossom Fell และ If I May เป็นต้น เพลงที่เป็นที่นิยมเหล่านี้ได้ผู้เรียบเรียงและควบคุมที่มีชื่อเสียงอย่างเช่น เนลสัน ริดเดิ้ล, กอร์ดอน เจนคินส์ และราลฟ์ คาร์มิคาเอล เป็นต้น ริดเดิ้ลเป็นคนเรียบเรียงอัลบั้มในยุค1950ของโคล เช่นอัลบัมแผ่นLP 10นิ้วในปี1953 ชื่อ Nat King Cole Sings For Two in Love เจนคินส์เป็นคนเรียบเรียงให้เพลง Love Is The Thing ที่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในอัลบั้มปี1957เดือนเมษายน

ปีค.ศ. 1958 โคลไปที่ฮาวาน่า ประเทศคิวบา เพื่ออัดอัลบั้มเพลงของเขาในภาษาสเปนชื่อ Cole Espanol

รสนิยมการฟังเพลงที่เปลี่ยนไปในยุคปี1950 ทำให้การร้องเพลงของโคลไม่เป็นที่นิยมในหมู่คนฟังวัยเยาว์ แม้ว่าเพลง Send For Me จะเอาชัยเพลงสไตล์ร็อก แอนด์ โรล ไต่ชาร์ตสูงสุดที่อันดับที่หก

โคลกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในระหว่างยุค1960 ด้วยเพลงที่มีกลิ่นอายเพลงคันทรี่อย่าง Ramblin' Rose, Dear Lonely Hearts, Those Lazy, Hazy, Crazy Days of Summer และ That Sunday, That Summer เป็นต้น

โคลร่วมเล่นภาพยนตร์สั้นและซิทคอมหลายเรื่องเช่น เล่นเป็น W.C. Handy ในหนังเรื่อง St. Louis Blues (1958) และปรากฏตัวใน The Nat King Cole Story, China Gate และ The Blue Gardenia (1953) และเรื่อง Cat Ballou ในปี1965 ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ออกฉายสองสามเดือนหลังเขาตาย

การตาย และความสำเร็จหลังเสียชีวิต[แก้]

โคลเป็นคนสูบบุหรี่จัด เขาสูบบุหรี่เกือบสามซองต่อวัน เขาตายด้วยโรคมะเร็งปอดในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1965 ระหว่างในช่วงที่เขายังประสบความสำเร็จในอาชีพนักร้องอยู่ หนึ่งวันก่อนเขาตาย เขาได้สัมภาษณ์ออกอากาศผ่านทางวิทยุกล่าวว่า "ผมรู้สึกดีขึ้นกว่าก่อน ผมคิดว่าในที่สุดผมก็จัดการมะเร็งนี่อยู่"

หนังสือชื่อ Chicken Soup for the Soul ฉบับปีค.ศ. 1977 เขียนเรื่องของเขาว่า วันที่เขากำลังจะตายนั้น ภรรยาของโคลชื่อ มาเรีย เกือบพลาดมาดูใจเขาเพราะประสบปัญหากับรถยนต์ แต่ว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล่าต่อๆกันมาเท่านั้น

อัลบั้มสุดท้ายของเขาชื่อ L-O-V-E อัดขึ้นในต้นเดือนธันวาคมปี1964 เพียงแค่สองสามวันก่อนที่เขาจะเข้าโรงพยาบาลรับการรักษาโรคมะเร็งปอด และเป็นอัลบั้มที่ปล่อยออกไปก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป เพลง L-O-V-E นั้นขึ้นเป็นอันดับสี่ของบิลบอร์ดชาร์ตในฤดูใบไม้ผลิปี1965

ต่อมาเพลงที่อัดในปี1957 อย่าง When I Fall In Love ก็ขึ้นเป็นอันดับสี่ใน UKชาร์ตของสหราชอาณาจักร ในปี1987

ในปี1983 คนดูแลจัดเก็บเอกสารของ EMI Electrola Records (ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแคปิต็อล) คนพบเพลงของโคลที่อัดไว้แต่ไม่เคยถูกปล่อยออกมา ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเพลงที่ร้องเป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษาสเปน ชื่อเพลง Tu Eres Tan Amable แคปิต็อลปล่อยเพลงพวกนี้ออกมาในที่สุดในปีหลังๆในรูปของแผ่นLP ชื่อ Unreleased

โคลได้รับเกีรยติให้มีชื่อขึ้นใน Alabama Music Hall of Fame และ Alabama Jazz Hall of Fame เขาได้รับเกียรติให้ได้รับรางวัล Grammy Lifetime Achievement Award ในปี 1990 และในปี 1997 ก็ได้รับเกียรติให้มีชื่อใน Down Beat Jazz Hall of Fame ในปี 2007 ใน Hit Parade Hall of Fame

ในปี1991 Mosaic Recordsได้ปล่อยอัลบั้ม The Complete Capitol Recordings of the Nat King Cole Trio ซึ่งประกอบไปด้วย ซีดีจำนวน18แผ่น มีเพลงถึง349เพลงด้วยกันในชุด และอัลบั้มพิเศษนี้ยังมีในรูปของแผ่นLPคุณภาพดีจำนวน27แผ่นด้วย

น้องชายคนเล็กสุดของแนทชื่อว่า เฟรดดี้ โคล และลูกสาวของแนท นาตาลี โคล ล้วนดำเนินรอยตามเขาโดยการเป็นนักร้องอาชีพ

ฤดูร้อนปี1991 นาตาลีและบิดาของเธอได้รับความนิยมอย่างไม่ได้คาดหมายเอาไว้ จากการที่เธอนำเสียงของเธอและพ่อมารวมเข้าด้วยกันในเพลง Unforgettable โดยเพลงนี้เป็นส่วนหนึ่งในอัลบั้มของเธอที่มอบให้กับบิดา เพลงและอัลบั้มในชื่อเดียวกันคือ Unforgettable นี้ได้รับรางวัล7รางวัลจาก Grammy Award ในปี 1992

ชีวิตส่วนตัว[แก้]

แนทนั้นได้ใช้ปีเกิดที่ต่างกันถึงสี่ปีระบุในเอกสารสำคัญ เช่นปี 1915, 1916, 1917, 1919 แต่ว่าผู้ให้กำเนิดและเครือญาติต่างระบุไว้ว่าเขาเกิดเมื่อปี1920 โคลแต่งงานครั้งแรกกับนาดีน โรบินสัน และชีวิตการแต่งงานครั้งแรกนี้ก็จบลงในวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1948

หกวันให้หลังจากการหย่าร้าง เขาก็แต่งงานกับนักร้องชื่อ มาเรีย ฮอลคินส์ เอลลิงตัน พวกเขาแต่งงานกันที่ฮาเลม มีลูกด้วยกันทั้งหมดห้าคนประกอบด้วย ลูกสาวก็คือนาตาลี โคล เกิดเมื่อปี1950 และบุตรบุญธรรมชื่อคาโรล (ลูกสาวของพี่น้องของมาเรีย เกิดปี1944) และบุตรบุญธรรมอีกคนชื่อ แนท เคลลี่ โคล (เกิดปี1959) และลูกสาวฝาแฝดชื่อ เคซี่และทิโมลิน ที่เกิดปี1961 โคลมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นตลอดการแต่งงานครั้งนี้

ระหว่างที่เขาเป็นโรคมะเร็งปอดนั้น เขาเพิกเฉยต่อภรรยาเขาและหันไปคบกับนักแสดงชื่อ กัลเนลล่า ฮุตตัน แทน แต่อย่างไรก็ตามเขาก็อยู่กับภรรยาในช่วงที่เป็นมะเร็งและภรรยาเขาก็อยู่ข้างเขาจนกระทั่งเขาตาย

โคลเป็นนักสูบบุหรี่ตัวยง โดยเฉพาะบุหรี่ยี่ห้อ KOOL รสเมนทอลที่เขาสูบถึงสามซองต่อวัน เพราะเขาเชื่อว่าสูบบุหรี่แล้วทำให้เสียงของเขาต่ำลง (จริงแล้วเขาสูบบุหรี่สองสามมวนก่อนอัดแผ่นเสียงทุกครั้ง) แนทจากไปเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปี1965 ที่โรงพยาบาลเซนต์จอห์น ในเมืองซานตาโมนิก้า รัฐแคลิฟอเนีย พิธีศพของเขาจัดขึ้นที่โบสถ์ที่ลอสเองเจลิส อัฐิของเขาถูกฝังเก็บไว้ที่ Forest Lawn Memorial Park ในเกล็นเดล รัฐลอสเองเจลิส

ผลงาน[แก้]

  • 1944 The King Cole Trio - Capitol Records (10 inch LP)
  • 1946 The King Cole Trio Volume 2 (10 inch LP)
  • 1948 The King Cole Trio Volume 3 (10 inch LP)
  • 1950 Nat King Cole At The Piano (10 inch LP)
  • 1952 Penthouse Serenade (10 inch LP)
  • 1952 Top Pops (10 inch LP version)
  • 1952 Harvest Of Hits (10 inch LP)
  • 1953 Sings For Two In Love (10 inch LP)
  • 1954 Unforgettable (10 inch originally, 12 inch following year)
  • 1955 Penthouse Serenade (12 inch LP version)
  • 1955 Nat King Cole Sings For Two In Love (12 inch LP version)
  • 1955 10th Anniversary Album (12 inch LP version)
  • 1955 Top Pops (12 inch LP version)
  • 1955 The Piano Style of Nat King Cole
  • 1956 Ballads of the Day
  • 1957 This Is Nat King Cole
  • 1957 After Midnight
  • 1957 Just One Of Those Things
  • 1957 Love Is the Thing
  • 1958 Cole Español
  • 1958 St. Louis Blues
  • 1958 The Very Thought Of You
  • 1958 To Whom It May Concern
  • 1959 Welcome To The Club
  • 1959 A Mis Amigos
  • 1960 Tell Me All About Yourself
  • 1960 Everytime I Feel The Spirit
  • 1960 Wild Is Love
  • 1960 The Magic of Christmas
  • 1961 The Nat King Cole Story
  • 1961 The Touch of Your Lips
  • 1962 Nat King Cole Sings/George Shearing Plays (Bonus LP added to later pressings)
  • 1962 Ramblin' Rose
  • 1962 Dear Lonely Hearts
  • 1962 Chartbusters: Volume 2 (Capitol Compilation LP, features "Ramblin Rose")
  • 1962 More Cole Español
  • 1962 Swingin' Side Of Nat King Cole (Reissue Of "Welcome To the Club")
  • 1963 Nat King Cole Sings the Blues (Reissue Of St. Louis Blues)
  • 1963 Those Lazy-Hazy-Crazy Days of Summer
  • 1963 Chartbusters: Volume 3 (Capitol Compilation LP, features "That Sunday, That Summer" & "Mr. Wishing Well")
  • 1963 Top Pops (Reissue of 1955 album)
  • 1963 Where Did Everyone Go?
  • 1963 The Christmas Song (Reissue Of Magic Of Christmas plus title song, minus "God Rest Ye Merry Gentlemen")
  • 1964 Chartbusters: Volume 4 (Capitol Compilation LP, features "My True Carrie, Love")
  • 1964 Nat King Cole Sings My Fair Lady
  • 1964 Let's Face The Music!
  • 1964 I Don't Want To Be Hurt Anymore
  • 1965 L-O-V-E (Released weeks before Cole Died)

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]