เมฮ์รอน แครีมี นอเซรี
เมฮ์รอน แครีมี นอเซรี | |
---|---|
นอเซรีเมื่อปี 2005 | |
เกิด | 1945[1] มัสเยดสุลัยมาน รัฐจักรวรรดิอิหร่าน |
เสียชีวิต | (อายุ 77) ท่าอากาศยานชาร์ล เดอ โกล ประเทศฝรั่งเศส |
ชื่ออื่น | เซอร์อัลเฟร็ด เมฮ์รอน |
พลเมือง | อิหร่าน (ถึง 1977) ไร้รัฐ (1977–2022) |
เมฮ์รอน แครีมี นอเซรี (เปอร์เซีย: مهران کریمی ناصری, ออกเสียง: [mehˈrɒn kæriˈmi nɒseˈri]; 1945 – 12 พฤศจิกายน 2022) หรือรู้จักในชื่อ เซอร์อัลเฟร็ด เมฮ์รอน (อังกฤษ: Sir Alfred Mehran)[2] เป็นผู้ลี้ภัยชาวอิหร่านที่อาศัยอยู่ภายในอาคารผู้โดยสาร 1 ของสนามบินชาร์ล เดอ โกลนับตั้งแต่ 26 สิงหาคม 1988 ถึงกรกฎาคม 2006 ที่ซึ่งเขาถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เขาเขียนอัตชีวประวัติของคชตนเองตีพิมพ์ในชื่อ The Terminal Man ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2004 เรื่องราวของเขายังเป็นแรงบันดาลใจของภาพยนตร์ปี 1993 เรื่อง Lost in Transit และภาพยนตร์ปี 2004 เรื่อง The Terminal
ชีวิตช่วงต้น
[แก้]นอเซรีเกิดในนิคมขุดเจาะน้ำมันของอังกฤษ-เปอร์เซียแห่งหนึ่งในมัสเยดสุลัยมาน ประเทศอิหร่าน นอเซรีอ้างว่าบิดาของเขาชื่อ Abdelkarim เป็นแพทย์ประจำบริษัทขุดเจาะน้ำมัน[3] ส่วนมารดาเป็นพยาบาลจากสก็อตแลนด์ที่ทำงานกับบิดา แต่ในการให้สัมภาษณ์บางครั้งก็เคยอ้างว่ามารดาเป็นชาวสวีเดน[4][5] เมื่ออายุได้ 28 ปี เขาเดินทางไปยังสหราชอาณาจักรในเดือนกันยายน 1973 เพื่อเข้าศึกษาในคอร์สระยะสามปีด้านยูโกสลาฟศึกษา ที่มหาวิทยาลัยบราดฟอร์ด[6]
ชีวิตในอาคารผู้โดยสาร
[แก้]นอเซรีอ้างว่าเขาถูกขับออกจากอิหร่านในปี 1977 เนื่องจากไปประท้วงขับไล่ชาห์แห่งราชวงศ์ปาห์ลาวี หลังจากนั้นเขาได้ยื่นจดหมายขอลี้ภัยทางการเมืองไปยังหลายประเทศ หลังผ่านขั้นตอนจำนวนมากในการสมัคร เขาได้รับรองการลี้ภัยโดย UNHCR ในเบลเยียม ที่ซึ่งเข้าใจว่ายินยอมให้สามารถอยู่อาศัยในยุโรปประเทศใดก็ได้ อย่างไรก็ตาม การอ้างนี้เป็นที่ถกเถียง และการตรวจสอบต่อมาพบว่านอเซรีไม่เคยถูกขับออกจากอิหร่าน[4]
เขาสามารถเดินทางไปมาระหว่างสหราชอาณาจักรกับฝรั่งเศส กระทั่งในปี 1988 เขาระบุว่าเอกสารระบุตัวตนของเขาทั้งหมดสุญหายหลังกระเป๋าเดินทางของเขาถูกขโมย[7] ข้อมูลจากแหล่งอื่นเสนอว่าจริง ๆ แล้ว นอเซรีได้ส่งไปรษณีย์เอกสารระบุตัวตนทั้งหมดไปยังบรัสเซลส์ขณะนั่งเรือข้ามฟากไปอังกฤษ และเรื่องการถูกขโมยกระเป๋าที่เขาอ้างนี้ไม่เป็นความจริง[8] หลังเดินทางถึงลอนดอน เขาถูกส่งกลับฝรั่งเศสเนื่องจากไม่สามารถสำแดงหนังสือเดินทางแก่ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ลอนดอนได้ เมื่อกลับมาถึงฝรั่งเศส เขาก็ไม่สามารถยืนยันตัวตนหรือยืนยันสถานะผู้ลี้ภัยได้ เขาจึงถูกกักตัวไว้ในเขต zone d'attente ซึ่งมีไว้สำหรับนักเดินทางที่ไม่มีเอกสารระบุตัวตน[5] ต่อมา กรณีของนอเซรีได้รับการดูแลโดยนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนชาวฝรั่งเศส Christian Bourget[9]
มีความพยายามออกเอกสารใหม่ให้กับเขาจากเบลเยียม แต่เจ้าหน้าที่จะออกเอกสารให้ได้ก็ต่อเมื่อนอเซรีเดินทางมารับด้วยตนเอง กระทั่งในปี 1995 ทางการเบลเยียมได้อนุมัติให้เขาเดินทางมายังเบลเยียม แต่ภายใต้ข้อตกลงว่าเขาจะต้องอาศัยในเบลเยียมภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ นอเซรีปฏิเสธข้อเสนอนี้โดยอ้างว่าอยากเดินทางเข้าสหราชอาณาจักรตามที่ตั้งใจไว้เดิม[7] ทั้งฝรั่งเศสและเบลเยียมได้ยื่นข้อเสนอให้นอเซรีพำนักในประเทศของตน แต่นอเซรีปฏิเสธที่จะลงชื่อในเอกสารเพราะในเอกสารระบุสัญชาติของเขาเป็นอิหร่าน แต่เขาต้องการให้ระบุว่าเป็นอังกฤษ รวมถึงยังไม่ใช้ชื่อ "Sir Alfred Mehran" ตามที่เขาต้องการ[2] การไม่ลงนามในเอกสารนี้ทำให้นักกฎหมายที่ดูแลกรณีของเขา Bourget โมโหเป็นอย่างมาก[8] ในการติดต่อกับครอบครัวของนอเซรี ครอบครัวเขายังระบุว่าเชื่อว่าเขากำลังใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองต้องการอยู่[4]
ในปี 2003 สตีเวน สปีลเบิร์ก โดยบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ดรีมเวิกส์ของเขา ได้จ่ายเงินแก่นอเซรีเพื่อรับสิทธิ์ในการสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับเขา มีข่าวลือว่าเงินที่จ่ายนั้นสูงถึง US$275,000 ภาพยนตร์ดังกล่าวถูกผลิตและฉายในชื่อ The Terminal กระนั้นก็ไม่ได้นำเนื้อเรื่องจากชีวิตของนอเซรีมาใช้จริงแต่อย่างใด[5] ไม่มีส่วนใดเลยของภาพยนตร์ ทั้งในเอกสาร โฆษณา เครดิตท้ายภาพยนตร์ ที่ระบุถึงชื่อของนอเซรี กระนั้นก็ตาม ในบทความปี 2003 ของ The New York Times ชี้ให้เห็นว่าสปีลเบิร์กแค่ซื้อสิทธิ์ในเรื่องราวชีวิตเขามาเป็น "พื้นฐาน" สำหรับภาพยนตร์เท่านั้น[5]
หลังอาศัยในอาคารผู้โดยสารมา 18 ปี ในปี 2006 เขาถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ที่นั่งประจำของเขาในอาคารผู้โดยสารยังถูกรื้อถอนออกหลังเขาถูกย้ายออกไป ในปลายเดือนมกราคม 2007 เขาออกจากโรงพยาบาลและได้รับการดูแลโดยกาชาดฝรั่งเศส สำนักงานสนามบิน เขาถูกส่งตัวไปอาศัยในโรงแรมใกล้กับสนามบินเป็นเวลาสองสามสัปดาห์ ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2007 เขาถูกส่งตัวไปยังศูนย์ขององค์กรการกุศล Emmaus ในเขต 20 ของปารีส และในปี 2008 มีรายงานว่าเขาอยู่อาศัยในศูนย์พักพิงแห่งหนึ่งในปารีส[7] กระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 2022 สำนักข่าว Associated Press รายงานว่าไม่นานมานี้เขาได้เดินทางกลับมาอาศัยในสนามบินดังเดิมก่อนจะเสียชีวิต[10]
เวลาส่วนใหญ่ในสนามบินของเขาหมดไปกับการอ่านหนังสือ เขียนบันทึกประจำวัน และเรียนเศรษฐศาสตร์ เขายังมีสัมภาระทั้งหมดติดตัวอยู่ด้วยตลอดเวลาที่อยู่ในสนามบิน[11] เขายังได้รับตั๋วอาหารกับข้าวของเครื่องใช้เป็นครั้งคราจากพนักงานบนเครื่องบินที่ผ่านไปมา[12]
เสียชีวิต
[แก้]นอเซรีเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลวในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2022 สิริอายุ 76 ปี ที่ท่าอากาศยานชาร์ล เดอ โกล[13][14][15] โฆษกของท่าอากาศยานระบุว่านับตั้งแต่นอเซรีออกจากสนามบินไปในปี 2007 เพื่อรับการรักษาในโรงพยาบาล หลังจากนั้นมา นอเซรีกลายมาเป็นคนไร้บ้านก่อนที่จะกลับมาอาศัยในสนามบินนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2022[16]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Mehran Karimi Nasseri, le SDF de Roissy qui a inspiré Spielberg est mort à l'aéroport". BFM TV (ภาษาฝรั่งเศส). 12 November 2022. สืบค้นเมื่อ 12 November 2022.
- ↑ 2.0 2.1 "Stranded at the Airport". Snopes. 2 July 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 March 2022. สืบค้นเมื่อ 2 September 2009.
- ↑ "The man who lost his past". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 6 September 2004. สืบค้นเมื่อ 13 November 2022.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 Berczeller, Paul (6 September 2004). "The man who lost his past". The Guardian. London. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 May 2019. สืบค้นเมื่อ 1 August 2008.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 Rose, Matthew (21 September 2003). "Waiting For Spielberg". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 February 2009. สืบค้นเมื่อ 12 June 2008.
- ↑ Paterniti, Michael (12 September 2003). "The 15 Year Layover". GQ (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 1 July 2022.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 "Mehran Karimi Nasseri - In Transit". h2g2. BBC. 28 May 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2008. สืบค้นเมื่อ 20 August 2008.
- ↑ 8.0 8.1 Merhan, Alfred (2004). The Terminal Man. Corgi Adult. ISBN 9780552152747. OL 7815505M. 0552152749.
- ↑ McCaffrey, Stephen C.; Main, Thomas O. (2010). Transnational Litigation in Comparative Perspective: Theory and Application (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. ISBN 978-0-19-530904-1.
- ↑ Schaeffer, Jeffrey (12 November 2022). "Iranian who inspired 'The Terminal' dies at Paris airport". AP News (ภาษาอังกฤษ). Associated Press. สืบค้นเมื่อ 12 November 2022.
- ↑ Adams, Cecil (20 August 1999). "Has a guy been stuck in the Paris airport since 1988 for lack of the right papers?". The Straight Dope. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 February 2009. สืบค้นเมื่อ 17 February 2009.
- ↑ Gottdiener, Mark (2001). Life in the Air: Surviving the New Culture of Air Travel (ภาษาอังกฤษ). Rowman & Littlefield. ISBN 978-0-7425-0029-7.
- ↑ "Mehran Karimi Nasseri, le réfugié de Roissy qui a inspiré « le Terminal » de Steven Spielberg, est mort dans l'aéroport". Le Monde.fr. 12 November 2022.
- ↑ È morto Mehran Karimi Nasseri, l’uomo che ispirò il film The Terminal di Spielberg (ในภาษาอิตาลี)
- ↑ "Iranian who made Paris airport home for 18 years dies". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 12 November 2022. สืบค้นเมื่อ 12 November 2022.
- ↑ Vandoorne, Saskya; Ehlinger, Maija (2022-11-13). "Iranian refugee who inspired Spielberg's film "The Terminal" dies inside Paris airport". CNN (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-11-13.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Le naufragé du terminal 1 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (เก็บถาวร 17 ตุลาคม 2007), 26 July 2004, (ในภาษาฝรั่งเศส)
- เมฮ์รอน แครีมี นอเซรี ที่อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบส
- Tombés du ciel (1993) ที่อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบส
- Sir Alfred of Charles de Gaulle Airport (2000) ที่อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบส / 📷 full video ที่ยูทูบ