ข้ามไปเนื้อหา

เซ็นทรัลพาร์ก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เซ็นทรัลพาร์ก
Central Park
ภาพมุมสูงของเซ็นทรัลพาร์กทางตอนใต้ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2014
แผนที่
แผนที่แบบโต้ตอบแสดงตำแหน่งของเซ็นทรัลพาร์ก
ประเภทสวนสาธารณะระดับเมือง
ที่ตั้งแมนแฮตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐ
พิกัด40°46′56″N 73°57′55″W / 40.78222°N 73.96528°W / 40.78222; -73.96528
พื้นที่843 เอเคอร์ (341 เฮกตาร์; 1.317 ตารางไมล์; 3.41 ตารางกิโลเมตร)
ก่อตั้ง1857–1876
เจ้าของกรมอุทยานและนันทนาการนครนิวยอร์ก
ผู้ดำเนินการองค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์ก
จำนวนผู้ใช้บริการประมาณปีละ 42 ล้านคน
เวลาให้บริการ06.00 ถึง 01.00 น.
ขนส่งมวลชนรถไฟใต้ดินและรถประจำทาง ดู "ระบบขนส่งสาธารณะ"
ป้อนข้อมูลไม่ถูกต้อง
ป้อนข้อมูลไม่ถูกต้อง
สถาปนิกเฟรเดอริก ลอว์ ออล์มสเตด (1822–1903), แคลเวิร์ต วอกซ์ (1824–1895)
เลขอ้างอิง NRHP66000538
NYSRHP No.06101.000663
วันสำคัญ
ขึ้นทะเบียน NRHP15 ตุลาคม 1966[1]
ทะเบียน NHL23 พฤษภาคม 1963
ขึ้นทะเบียน NYSRHP23 มิถุนายน 1980[2]
ขึ้นทะเบียน NYCL26 มีนาคม 1974[3]

เซ็นทรัลพาร์ก (อังกฤษ: Central Park) เป็นสวนสาธารณะระดับเมือง ตั้งอยู่ระหว่างย่านอัปเปอร์เวสต์ไซด์และอัปเปอร์อีสต์ไซด์ของแมนแฮตตันในนครนิวยอร์ก และเป็นสวนสาธารณะที่มีการจัดภูมิทัศน์แห่งแรกในสหรัฐ มันเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่เป็นอันดับหกในเมืองด้วยพื้นที่ 843 เอเคอร์ (341 เฮกตาร์) และเป็นสวนสาธารณะระดับเมืองที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในสหรัฐ โดยมีการประมาณการผู้เข้าชม 42 ล้านคนต่อปี ณ ค.ศ. 2016 มันยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ถูกใช้ถ่ายทำภาพยนตร์มากที่สุดในโลกอีกด้วย

การสร้างสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในแมนแฮตตันได้รับการเสนอครั้งแรกในทศวรรษ 1840 และสวนสาธารณะขนาด 778 เอเคอร์ (315 เฮกตาร์) ได้รับการอนุมัติใน ค.ศ. 1853 ใน ค.ศ. 1858 เฟรเดอริก ลอว์ ออล์มสเตด และแคลเวิร์ต วอกซ์ ภูมิสถาปนิก ชนะการประกวดแบบสวนสาธารณะด้วย "แผนกรีนสเวิร์ด" ของพวกเขา การก่อสร้างเริ่มต้นใน ค.ศ. 185; สิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่เดิม รวมถึงชุมชนคนผิวดำส่วนใหญ่ที่ชื่อว่าเซเนกาวิลเลจ ถูกยึดโดยใช้อำนาจเวนคืนและถูกทำลาย พื้นที่ส่วนแรกของสวนเปิดให้ประชาชนเข้าชมในช่วงปลาย ค.ศ. 1858 มีการซื้อที่ดินเพิ่มเติมทางตอนเหนือของเซ็นทรัลพาร์กใน ค.ศ. 1859 และสวนสร้างเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1876 หลังช่วงเวลาเสื่อมโทรมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 รอเบิร์ต โมเสส กรรมการอุทยานนครนิวยอร์กริเริ่มโครงการทำความสะอาดเซ็นทรัลพาร์กในทศวรรษ 1930 องค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์ก (The Central Park Conservancy) ซึ่งก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1980 เพื่อต่อสู้กับการเสื่อมโทรมที่มากขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ทำการบูรณะส่วนต่าง ๆ ของสวนตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา

สถานที่ท่องเที่ยวหลักของสวนแห่งนี้ ได้แก่ เดอะแรมเบิลแอนด์เลก, เขตรักษาพันธุ์ธรรมชาติฮัลเลตต์, อ่างเก็บน้ำแจ็กเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิส, และชีปเมโดว์; สถานที่ท่องเที่ยวเชิงนันทนาการ เช่น วอลแมนริงก์, ม้าหมุนเซ็นทรัลพาร์ก, และสวนสัตว์เซ็นทรัลพาร์ก; พื้นที่ที่เป็นทางการ เช่น เซ็นทรัลพาร์กมอลล์และเบเทสดาเทอร์เรซ; และโรงละครเดลาคอร์ต ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพแห่งนี้มีพืชและสัตว์หลายร้อยชนิด กิจกรรมนันทนาการรวมถึงการนั่งรถม้าและการทัวร์ด้วยจักรยาน การปั่นจักรยาน สิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬา และคอนเสิร์ตและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เชกสเปียร์ในสวน เซ็นทรัลพาร์กมีระบบถนนและทางเดินตัดผ่านและมีบริการขนส่งสาธารณะ

ขนาดและตำแหน่งทางวัฒนธรรมของมันทำให้เซ็นทรัลพาร์กเป็นแบบอย่างสำหรับสวนสาธารณะระดับเมืองทั่วโลก ด้วยอิทธิพลและความสำคัญของเซ็นทรัลพาร์ก ทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติใน ค.ศ. 1963 และสถานที่สำคัญทางทัศนียภาพของนครนิวยอร์กใน ค.ศ. 1974 เซ็นทรัลพาร์กเป็นทรัพย์สินของกรมอุทยานและนันทนาการนครนิวยอร์กแต่ได้รับการบริหารจัดการโดยองค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์กตั้งแต่ ค.ศ. 1998 ภายใต้สัญญาหุ้นส่วนมหาชนและเอกชนกับรัฐบาลเทศบาล องค์การอนุรักษ์ ซึ่งเป็นองค์การไม่แสวงผลกำไร ระดมทุนสำหรับงบประมาณการดำเนินงานประจำปีของเซ็นทรัลพาร์กและรับผิดชอบการดูแลพื้นฐานทั้งหมดของสวน

ภาพรวม

[แก้]

เซ็นทรัลพาร์กมีอาณาเขตติดต่อกับเซ็นทรัลพาร์กเหนือที่ถนนที่ 110 เซ็นทรัลพาร์กใต้ที่ถนนที่ 59 เซ็นทรัลพาร์กตะวันตกที่ถนนที่ 8 และถนนที่ 5 ทางทิศตะวันออก สวนตั้งอยู่ติดกับย่านฮาร์เล็มทางทิศเหนือ มิดทาวน์แมนแฮตตันทางทิศใต้ อัปเปอร์เวสต์ไซด์ทางทิศตะวันตก และอัปเปอร์อีสต์ไซด์ทางทิศตะวันออก มันมีความยาว 2.5 ไมล์ (4.0 กิโลเมตร) จากเหนือจรดใต้และ 0.5 ไมล์ (0.80 กิโลเมตร) จากตะวันตกจรดตะวันออก[4]

การออกแบบและจัดวาง

[แก้]

เซ็นทรัลพาร์กถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ได้แก่ "ปลายเหนือ" ทอดยาวเหนืออ่างเก็บน้ำแจ็กเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิส "กลางสวน" ระหว่างอ่างเก็บน้ำทางเหนือกับทะเลสาบและคอนเซอร์เวทอรีวอเทอร์ทางใต้ และ "ปลายใต้" ซึ่งอยู่ใต้ทะเลสาบและคอนเซอร์เวทอรีวอเทอร์[5] สวนนี้มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวห้าแห่ง ได้แก่ ศูนย์ชาลส์ เอ. เดนาดิสคัฟเวอรี, ปราสาทเบลเวเดียร์, เรือนหมากรุกและหมากฮอส, เดอะแดรี และวงเวียนโคลัมบัส[6][7]

สวนนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสวนที่มีการจัดภูมิทัศน์แห่งแรกในสหรัฐ[8] สวนนี้มีพืชพรรณและภูมิประเทศที่ดูเป็นธรรมชาติ ทั้ง ๆ ที่เกือบทั้งหมดได้รับการจัดภูมิทัศน์เมื่อสร้างขึ้นในทศวรรษ 1850 และ 1860[9][10] มันมีทะเลสาบและสระน้ำแปดแห่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์โดยการสร้างเขื่อนกั้นน้ำซึมและน้ำไหลตามธรรมชาติ[11] มีพื้นที่ป่าไม้หลายส่วน สนามหญ้า ทุ่งหญ้า และพื้นที่หญ้าเล็กน้อย มีสนามเด็กเล่น 21 แห่ง[12] และถนนยาว 6.1 ไมล์ (9.8 กิโลเมตร)[4][13]

เซ็นทรัลพาร์กเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่เป็นอันดับหกในนครนิวยอร์ก รองจากเพลแฮมเบย์พาร์ก, แนวพื้นที่สีเขียวเกาะสแตเทน, เฟรชคิลส์พาร์ก, แวนคอร์ตแลนต์พาร์ก และฟลัชชิงมีโดส์–โคโรนาพาร์ก[14] โดยมีพื้นที่ 843 เอเคอร์ (341 เฮกตาร์; 1.317 ตารางไมล์; 3.41 ตารางกิโลเมตร)[15][16] เซ็นทรัลพาร์กถูกกำหนดให้เป็นเขตสำมะโนสหรัฐ โดยมีหมายเลข 143 จากข้อมูลประมาณการห้าปีของการสำรวจชุมชนอเมริกัน (American Community Survey) พบว่าในสวนนี้มีผู้หญิงอาศัยอยู่ 4 คนโดยมีอายุเฉลี่ย 19.8 ปี[17] แม้สำมะโนสหรัฐ ค.ศ. 2010 จะบันทึกว่ามีผู้อยู่อาศัย 25 คนในเขตสำมะโนนั้น แต่เจ้าหน้าที่สวนปฏิเสธข้ออ้างว่ามีใครอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นการถาวร[18]

ผู้เยี่ยมชม

[แก้]

เซ็นทรัลพาร์กเป็นสวนสาธารณะในเมืองที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในสหรัฐ[19] และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดทั่วโลก[20] โดยมีผู้เข้าชม 42 ล้านคนใน ค.ศ. 2016[21] จำนวนผู้เยี่ยมชมรายบุคคลลดลงมาก รายงานขององค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์กที่จัดทำขึ้นใน ค.ศ. 2011 พบว่ามีผู้เยี่ยมชมเซ็นทรัลพาร์กประมาณ 8 ถึง 9 ล้านคน โดยมีการเยี่ยมชมรวมกันประมาณ 37 ถึง 38 ล้านครั้ง[22] เทียบกันแล้วผู้เยี่ยมชม 25 ล้านคนใน ค.ศ. 2009[23] และ 12.3 ล้านคนใน ค.ศ. 1973[24]

จำนวนนักท่องเที่ยวเมื่อเทียบกับจำนวนผู้เยี่ยมชมทั้งหมดนั้นน้อยกว่ามาก ใน ค.ศ. 2009 ผู้เยี่ยมชมสวน 25 ล้านคนที่บันทึกไว้ในปีนั้นมีเพียงหนึ่งในห้าเท่านั้นที่คาดว่าเป็นนักท่องเที่ยว[23] รายงานขององค์การอนุรักษ์ใน ค.ศ. 2011 ระบุอัตราส่วนการใช้สวนที่คล้ายกัน โดยมีผู้มาเยือนเซ็นทรัลพาร์กเป็นครั้งแรกเพียงร้อยละ 14 เท่านั้น จากรายงาน พบว่าเกือบสองในสามของผู้มาเยือนเป็นผู้ใช้สวนเป็นประจำ โดยเข้าสวนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และประมาณร้อยละ 70 ของผู้มาเยือนอาศัยอยู่ในนครนิวยอร์ก นอกจากนี้ การเยี่ยมชมสูงสุดเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ของฤดูร้อน และผู้เยี่ยมชมส่วนใหญ่ใช้สวนเพื่อกิจกรรมนันทนาการแบบผ่อนคลาย เช่น การเดินเล่นหรือเที่ยวชมสถานที่ มากกว่าจะใช้เพื่อเล่นกีฬากลางแจ้ง[22]

ภาพพาโนรามาของเซ็นทรัลพาร์กจากร็อกเกอเฟลเลอร์เซ็นเตอร์ใน ค.ศ. 2008
เซ็นทรัลพาร์กใน ค.ศ. 2004

การบริหาร

[แก้]

สวนได้รับการบริหารจัดการและบำรุงรักษาโดยองค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์ก (Central Park Conservancy) องค์กรเอกชนไม่แสวงหาผลกำไร ภายใต้สัญญาว่าจ้างกับกรมอุทยานและนันทนาการนครนิวยอร์ก (NYC Parks)[15] ประธานองค์การอนุรักษ์ฯ ดำรงตำแหน่งผู้บริหารโดยตำแหน่งของเซ็นทรัลพาร์กซึ่งมีอำนาจกำกับดูแลการทำงานของทั้งพนักงานภาคเอกชนและรัฐของสวนภายใต้อำนาจของผู้บริหารเซ็นทรัลพาร์กที่ได้รับการแต่งตั้งจากภาครัฐ ซึ่งรายงานต่อทั้งคณะกรรมการอุทยาน และประธานองค์การอนุรักษ์ฯ[15] องค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์กก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1980 ในฐานะองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่มีคณะกรรมการพลเมืองเพื่อช่วยเหลือโครงการริเริ่มของเมืองในการทำความสะอาดและฟื้นฟูสวนสาธารณะ[25][26] ใน ค.ศ. 1998 องค์การอนุรักษ์ฯ ได้รับมอบหมายหน้าที่การจัดการสวนสาธารณะจากกรมอุทยานนครนิวยอร์ก (NYC Parks) แม้กรมอุทยานฯ จะยังคงเป็นเจ้าของเซ็นทรัลพาร์ก[27] องค์การอนุรักษ์ให้การสนับสนุนด้านการบำรุงรักษาและโครงการฝึกอบรมบุคลากรสำหรับสวนสาธารณะอื่น ๆ ในนครนิวยอร์ก และได้ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาสวนสาธารณะแห่งใหม่ ๆ เช่น ไฮไลน์ และบรุกลินบริดจ์พาร์ก[28]

เซ็นทรัลพาร์กได้รับการลาดตระเวนโดยสถานีตำรวจประจำเขตของตนเอง สังกัดกรมตำรวจนครนิวยอร์ก คือ สถานีตำรวจเขตที่ 22 (เซ็นทรัลพาร์ก)[a] ตั้งอยู่บริเวณถนนที่ 86 ตัดขวาง เขตนี้ทั้งตำรวจประจำและเจ้าหน้าที่อาสา[30] สถานีตำรวจเขตที่ 22 มีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำกว่าในทศวรรษ 90 โดยอาชญากรรมทุกประเภทลดลงร้อยละ 81.2 ระหว่าง ค.ศ. 1990 ถึง 2023 ใน ค.ศ. 2023 เขตนี้ไม่พบเหตุฆาตกรรม มีการข่มขืน 3 ครั้ง ปล้นทรัพย์ 23 ครั้ง ทำร้ายร่างกาย 9 ครั้ง ลักทรัพย์ในเคหสถาน 5 ครั้ง ลักทรัพย์ (มูลค่าสูง) 48 ครั้ง และไม่มีการลักทรัพย์รถยนต์ (มูลค่าสูง)[31] ตำรวจลาดตระเวนสวนสาธารณะนครนิวยอร์กซึ่งมีหน้าที่ทั่วทั้งเมือง จะลาดตระเวนในเซ็นทรัลพาร์กและบางครั้งองค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์กจะจ้างเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนบังคับใช้กฎหมายสวนสาธารณะตามฤดูกาลเพื่อปกป้องพื้นที่บางแห่ง เช่น คอนเซอร์เวทอรีการ์เดน[32]

หน่วยแพทย์เซ็นทรัลพาร์ก หน่วยแพทย์ฉุกเฉินอาสาฟรีชื่อว่า ให้บริการภายในเซ็นทรัลพาร์ก หน่วยการนี้มีการลาดตระเวนตอบสนองฉับไวโดยใช้จักรยาน รถพยาบาล และเอทีวี ก่อนที่หน่วยนี้จะถูกก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1975 หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินของเทศบาลมักใช้เวลาตอบสนองต่อเหตุการณ์ในสวนนานกว่า 30 นาที[33]

ประวัติศาสตร์

[แก้]
Randel's surveying bolt driven into rock
สลักเกลียวสำรวจของจอห์น แรนเดล จูเนียร์

การวางแผน

[แก้]

ระหว่าง ค.ศ. 1821 ถึง 1855 ประชากรของนครนิวยอร์กเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่า เมื่อเมืองขยายตัวขึ้นไปทางเหนือของแมนแฮตตัน ผู้คนถูกดึงดูดไปยังพื้นที่เปิดโล่งที่มีอยู่ไม่กี่แห่ง ส่วนใหญ่เป็นสุสาน เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ สิ่งเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นการหลีกหนีจากเสียงและความวุ่นวายของชีวิตในเมือง ซึ่งในเวลานั้นเกือบทั้งหมดกระจุกตัวอยู่ในโลเวอร์แมนฮัตตัน[34] แผนคณะกรรมการ ค.ศ. 1811 เค้าโครงสำหรับผังถนนสมัยใหม่ของแมนแฮตตัน รวมพื้นที่เปิดโล่งขนาดเล็กหลายแห่งไว้แต่ไม่ได้รวมเซ็นทรัลพาร์ก[35] ดังนั้น จอห์น แรนเดล จูเนียร์ จึงได้ทำการสำรวจพื้นที่เพื่อการก่อสร้างทางแยกภายในบริเวณพื้นที่สวนในปัจจุบัน หมุดสำรวจที่เหลืออยู่เพียงอันเดียวจากการสำรวจของเขาถูกฝังอยู่ในหินทางเหนือของเดอะแดรีในปัจจุบันและแนวตัดขวางถนนที่ 66 โดยเป็นเครื่องหมายระบุตำแหน่งที่ถนนที่ 65 ตะวันตกจะตัดกับถนนที่ 6[36][37]

พื้นที่

[แก้]
Egbert Viele's survey of Central Park
แผนที่ของเซเนกาวิลเลจเดิมจากการสำรวจของเอ็กเบิร์ต ลูโดวิคัส วีลีสำหรับเซ็นทรัลพาร์ก

ในทศวรรษ 1840 สมาชิกกลุ่มชนชั้นนำของเมืองเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้มีการสร้างสวนขนาดใหญ่แห่งใหม่ในแมนแฮตตัน[34][38] ในเวลานั้น จัตุรัสทั้ง 17 แห่งของแมนแฮตตันมีพื้นที่รวมกัน 165 เอเคอร์ (67 เฮกตาร์) โดยจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดคือแบตเตอรีพาร์กซึ่งมีพื้นที่ 10 เอเคอร์ (4 เฮกตาร์) ตั้งอยู่บริเวณปลายใต้ของเกาะแมนแฮตตัน[39] แผนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนใน ค.ศ. 1844 โดยวิลเลียม คัลเลน ไบรอันต์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ New York Evening Post และใน ค.ศ. 1851 โดยแอนดรูว์ แจ็กสัน ดาวนิง หนึ่งในนักออกแบบภูมิทัศน์ชาวอเมริกันคนแรก ๆ[38][40][41]

นายกเทศมนตรีแอมโบรส คิงส์แลนด์ ในข้อความที่ส่งถึงสภาสามัญนครนิวยอร์กในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1851 กล่าวถึงความจำเป็นและประโยชน์ของสวนขนาดใหญ่แห่งใหม่และเสนอให้สภาดำเนินการเพื่อสร้างสวนดังกล่าว ข้อเสนอของคิงส์แลนด์ถูกส่งต่อไปยังคณะกรรมการที่ดินของสภา ซึ่งคณะกรรมการฯ รับรองข้อเสนอนั้น คณะกรรมการเลือกโจนส์วูด ที่ดินขนาด 160 เอเคอร์ (65 เฮกตาร์) ที่อยู่ระหว่างถนนที่ 66 และ 75 ฝั่งอัปเปอร์อีสต์ไซด์ เป็นสถานที่ตั้งของสวน ตามที่ไบรอันต์ได้สนับสนุนโจนส์วูดไว้ การเข้าซื้อนั้นเป็นที่ถกเถียงเพราะทำเล ขนาดที่เล็กเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ ที่อยู่เหนือเมือง และราคา[42][43][44] ร่างกฎหมายเพื่อจัดซื้อโจนส์วูดถูกประกาศให้เป็นโมฆะว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ [45][46] ความสนใจจึงหันไปที่พื้นที่แห่งที่สองขนาด 750 เอเคอร์ (300 เฮกตาร์) ที่รู้จักกันในชื่อ "เซ็นทรัลพาร์ก" มีขอบเขตระหว่างถนนที่ 59 และ 106 ระหว่างถนนที่ 5 และ 8[45][47] นิโคลัส ดีน ประธานคณะกรรมการสะพานส่งน้ำครอตัน ผู้ซึ่งเสนอที่ตั้งเซ็นทรัลพาร์ก เลือกที่ตั้งนั้นเพราะอ่างเก็บน้ำขนาด 35 เอเคอร์ (14 เฮกตาร์) ความจุ 150 ล้านแกลลอนสหรัฐ (570 × 106 ลิตร) ของสะพานส่งน้ำครอตันจะอยู่ในจุดศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์[45][47] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1853 สภานิติบัญญัติรัฐนิวยอร์กผ่านรัฐบัญญัติเซ็นทรัลพาร์ก อนุมัติการซื้อที่ดินที่เป็นที่ตั้งของเซ็นทรัลพาร์กในปัจจุบัน[48][49]

คณะกรรมการที่ดินทำการประเมินทรัพย์สินในที่ดินกว่า 34,000 แปลงในพื้นที่[50] และดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1855[51] ขณะที่การประเมินกำลังดำเนิน ข้อเสนอการลดขนาดแผนงานถูกยับยั้งโดยนายกเทศมนตรีเฟอร์แนนโด วูด[51][52][53] ในเวลานั้น พื้นที่ดังกล่าวถูกครอบครองโดยคนผิวดำอิสระและผู้อพยพชาวไอริชซึ่งได้พัฒนาชุมชนที่มีเจ้าของทรัพย์สินอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1825[54][55] ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเซ็นทรัลพาร์กอาศัยอยู่ในหมู่บ้านขนาดเล็ก เช่น พิกทาวน์[56][57] เซเนกาวิลเลจ[58] หรือในโรงเรียนและคอนแวนต์ที่โรงเรียนเมาท์เซนต์วินเซนต์[59] การปรับพื้นที่เริ่มขึ้นในเวลาไม่นานหลังรายงานของคณะกรรมการที่ดินได้รับการเผยแพร่ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1855[50][60] และผู้อยู่อาศัยประมาณ 1,600 คนถูกไล่ที่ภายใต้กฎหมายเวนคืนที่ดิน[58][61][62] แม้ผู้สนับสนุนจะอ้างว่าสวนสาธารณะจะมีค่าใช้จ่ายเพียง 1.7 ล้านดอลลาร์[63] แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของที่ดินกลับจบลงที่ 7.39 ล้านดอลลาร์ (เท่ากับ 242 ล้านดอลลาร์ในปี 2023) มากกว่าราคาที่สหรัฐจะจ่ายสำหรับอะแลสกาในอีกไม่กี่ปีต่อมา[64][65][66]

การประกวดออกแบบ

[แก้]

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1856 เฟอร์แนนโด วูดแต่งตั้ง "คณะกรรมการที่ปรึกษา" จำนวนเจ็ดคน โดยมีวอชิงตัน เออร์วิง นักเขียนเป็นหัวหน้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของสาธารณชนในการพัฒนาที่เสนอ[67][68] วูดว่าจ้างเอ็กเบิร์ต ลูโดวิคัส วีลี วิศวกรทหารเป็นหัวหน้าวิศวกรของสวน โดยมอบหมายให้เขาทำการสำรวจภูมิประเทศของพื้นที่นั้น[69][70][71] ในเดือนเมษายนถัดมา สภานิติบัญญัติรัฐผ่านร่างกฎหมายเพื่ออนุญาตให้แต่งตั้งกรรมการจำนวนสี่คนจากพรรคเดโมแครตและเจ็ดคนจากพรรครีพับลิกัน[67][72] ซึ่งมีอำนาจควบคุมแต่เพียงผู้เดียวในกระบวนการวางแผนและการก่อสร้าง[73][74][75] แม้วีลีจะมีแผนสำหรับสวนอยู่แล้ว[76] แต่กรรมการก็เพิกเฉยต่อแผนนั้นและจ้างเขาให้ทำเพียงแค่การสำรวจภูมิประเทศให้เสร็จสมบูรณ์เท่านั้น[77][78] คณะกรรมการเซ็นทรัลพาร์กเริ่มจัดการประกวดออกแบบภูมิทัศน์หลังจากก่อตั้งไม่นาน[78][79][80] คณะกรรมการระบุว่ารายการที่ส่งเข้าประกวดทุกรายการต้องมีรายละเอียดจำเพาะอย่างยิ่ง ตามข้อกำหนดของคณะกรรมการที่ปรึกษา[80][81][82] มีบริษัทหรือองค์กรจำนวน 33 แห่งยื่นแผน[80][81]

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1858 คณะกรรมการอุทยานเลือก "แผนกรีนสเวิร์ด" ของเฟรเดอริก ลอว์ ออล์มสเตดและแคลเวิร์ต วอกซ์ให้เป็นแบบที่ชนะเลิศ[83][84][85] แผนอื่นอีกสามแผนได้รับการคัดเลือกให้เป็นรองชนะเลิศและถูกนำไปจัดแสดงในนิทรรศการของเมือง[84][86] ต่างจากแบบร่างอื่น ๆ หลายแบบ ซึ่งผสานเซ็นทรัลพาร์กเข้ากับเมืองโดยรอบอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อเสนอของออล์มสเตดและวอกซ์นำเสนอการแบ่งแยกที่ชัดเจนด้วยถนนตามขวางที่ต่ำลงไป[87][88] แผนนี้เลี่ยงความสมมาตร และเลือกใช้การออกแบบที่งดงามราวภาพวาดแทน[87][89] มันได้รับอิทธิพลจากอุดมคติแบบชนบทของสุสานที่มีการจัดภูมิทัศน์ เช่น เมาท์ออเบิร์นในเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ และกรีน-วูดในบรุกลิน[88][90] การออกแบบยังได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทางไปเยือนสวนเบอร์เคนเฮดในเบอร์เคนเฮด ประเทศอังกฤษ ของออล์มสเตดใน ค.ศ. 1850[91] ซึ่งได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นสวนสาธารณะที่รัฐให้ทุนแห่งแรกของโลก[92][93][94] ตามคำกล่าวของออล์มสเตด สวนแห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะ "สวนสาธารณะที่สร้างขึ้นจริงแห่งแรกในประเทศนี้ ซึ่งเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยที่มีความสำคัญสูงสุด"[89][95]

Greensward's Plan
แผนกรีนสเวิร์ดที่ปรับปรุงแล้วสำหรับสวนจาก ค.ศ. 1868

การก่อสร้าง

[แก้]

การก่อสร้างตามแบบของเซ็นทรัลพาร์กดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา เฟรเดอริก ลอว์ ออล์มสเตดและแคลเวิร์ต วอกซ์เป็นผู้ออกแบบหลัก โดยได้รับความช่วยเหลือจากแอนดรูว์ แฮสเวล กรีน สมาชิกคณะกรรมการ, เจคอบ เรย์ โมลด์ สถาปนิก, อิกนาซ แอนตัน พิลาต หัวหน้าคนสวน และจอร์จ อี. แวริง จูเนียร์ วิศวกร[96][97] แอล์มสเตดรับผิดชอบแผนโดยรวม ส่วนวอกซ์ออกแบบรายละเอียดปลีกย่อยบางส่วน โมลด์ ผู้ซึ่งทำงานร่วมกับวอกซ์เป็นประจำ ออกแบบทางเดินเอสพลานาดในเซ็นทรัลพาร์กและอาคารทาเวิร์นออนเดอะกรีน[98] พิลาตเป็นภูมิสถาปนิกหลักของสวน ซึ่งหน้าที่หลักของเขาคือการนำเข้าและจัดวางพืชพรรณภายในสวน[98][99] "กลุ่ม" วิศวกรก่อสร้างและหัวหน้างานภายใต้การจัดการของวิศวกรนวกรรมิก วิลเลียม เอช. แกรนต์ ได้รับมอบหมายให้ทำการวัดและก่อสร้างองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม เช่น ทางเดิน ถนน และอาคาร[100][101] แวริงเป็นหนึ่งในวิศวกรที่ทำงานภายใต้การนำของแกรนต์และรับผิดชอบการระบายน้ำของพื้นที่[102][103]

การสร้างเซ็นทรัลพาร์กเป็นเรื่องยากเนื่องจากภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นหินและเป็นหนองน้ำ[9] ดินและหินประมาณ 5 ล้าน ลูกบาศก์ฟุต (140,000 ลูกบาศก์เมตร) ถูกขนย้ายออกจากสวน และมีการใช้ดินปืนในการปรับพื้นที่มากกว่าที่ใช้ในยุทธการที่เกตตีสเบิร์กในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา[10] ดินชั้นบนมากกว่า 18,500 ลูกบาศก์หลา (14,100 ลูกบาศก์เมตร) ถูกขนส่งมาจากลองไอแลนด์และนิวเจอร์ซีย์ เนื่องจากดินเดิมไม่สมบูรณ์และไม่มีปริมาณมากพอจะรองรับพืชพรรณที่ระบุไว้ในแผนกรีนสเวิร์ด[9][10] อุปกรณ์พลังงานไอน้ำสมัยใหม่และเครื่องจักรย้ายต้นไม้ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแรงงานไร้ฝีมือ[10] รวมแล้ว มีผู้คนกว่า 20,000 คนที่ร่วมกันสร้างเซ็นทรัลพาร์ก[10] แม้จะใช้มาตรการป้องกันอย่างเข้มงวดที่ใช้เพื่อลดความเสียหายข้างเคียง แต่ก็ยังมีคนงานเสียชีวิต 5 คนระหว่างโครงการ ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับอัตราการเสียชีวิตในงานก่อสร้างทั่วไปในสมัยนั้น[104]

ในช่วงการพัฒนาเซ็นทรัลพาร์ก นวกรรมิกออล์มสเตดจ้างตำรวจม้าหลายสิบนายซึ่งถูกแบ่งออกเป็น "ผู้ดูแล" สองประเภท ได้แก่ ผู้ดูแลสวนสาธารณะและผู้ดูแลประตู[9][105][106] ตำรวจม้าได้รับความชื่นชมจากผู้มาใช้สวนและต่อมามีการผนวกเข้าเป็นหน่วยลาดตระเวนถาวร[9] กฎระเบียบต่าง ๆ บางครั้งก็เข้มงวด[106] ตัวอย่างเช่น กิจกรรมที่ห้ามทำ ได้แก่ การพนัน การปราศรัย การชุมนุมขนาดใหญ่ (เช่น ปิกนิก) และการเด็ดดอกไม้หรือพืชอื่น ๆ[106][107][108] กฎระเบียบเหล่านี้ได้ผลดีมาก ภายใน ค.ศ. 1866 มีผู้เยี่ยมชมเกือบแปดล้านคนและมีการจับกุมเพียง 110 ครั้งในประวัติศาสตร์ของสวนแห่งนี้[109]

ปลายทศวรรษ 1850

[แก้]
The Lake in Central Part with a high-rise building in the background
ทะเลสาบ หนึ่งในส่วนแรก ๆ ของเซ็นทรัลพาร์กที่สร้างเสร็จ

ในปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1857 คนงานเริ่มสร้างรั้ว ถางพืชพรรณ ระบายน้ำออกจากพื้นที่ และปรับระดับภูมิประเทศที่ไม่สม่ำเสมอ[110][111] ภายในเดือนถัดมา หัวหน้าวิศวกรวีลีรายงานว่าโครงการนี้จ้างคนงานเกือบ 700 คน[111] โอล์มสเตดจ้างแรงงานรายวัน เขารับคนงานโดยตรงโดยไม่มีสัญญาใด ๆ และจ่ายค่าจ้างเป็นรายวัน[100] แรงงานจำนวนมากเป็นผู้อพยพชาวไอริชหรือชาวอเมริกันเชื้อสายไอริชรุ่นแรกหรือรุ่นที่สอง และมีชาวเยอรมันและอิตาลีบ้าง[112] ไม่มีแรงงานผิวดำหรือแรงงานหญิง[113][114] คนงานมักได้รับค่าจ้างต่ำ[114][115] และมักรับงานในโครงการก่อสร้างอื่น ๆ เพื่อเสริมรายได้[116] รูปแบบการจ้างงานตามฤดูกาลถูกกำหนดขึ้น โดยจะมีการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นและจ่ายค่าแรงในอัตราที่สูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน[114]

เป็นเวลาหลายเดือนที่คณะกรรมการอุทยานเผชิญกับปัญหาด้านการเงิน[74][117] และแรงงานเฉพาะทางและแหล่งเงินทุนที่มั่นคงไม่ได้ถูกจัดหาจนกระทั่งเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1858[74] อ่างเก็บน้ำอัปเปอร์ที่จัดภูมิทัศน์แล้วเป็นส่วนเดียวของสวนที่คณะกรรมการไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบการสร้าง แต่กลับเป็นคณะกรรมการสะพานส่งน้ำครอตันที่เป็นผู้สร้าง งานก่อสร้างอ่างเก็บน้ำเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 1858[118] งานสำคัญครั้งแรกในเซ็นทรัลพาร์กเกี่ยวข้องกับการปรับระดับถนนและระบายน้ำในส่วนใต้ของสวน[119][120] ทะเลสาบในส่วนตะวันตกเฉียงใต้ของเซ็นทรัลพาร์กเป็นจุดแรกที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1858)[121] ตามด้วยเดอะแรมเบิลในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1859[104][122] ปีเดียวกันนั้น สภานิติบัญญัติรัฐนิวยอร์กอนุมัติการซื้อที่ดินเพิ่มเติม 65 เอเคอร์ (26 เฮกตาร์) ทางตอนเหนือสุดของเซ็นทรัลพาร์ก จากถนนที่ 106 ถึง 110[121][123] ส่วนของเซ็นทรัลพาร์กที่อยู่ทางใต้ของถนนที่ 79 เสร็จสมบูรณ์เกือบทั้งหมดภายใน ค.ศ. 1860[124]

คณะกรรมการอุทยานรายงานในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1860 ว่ามีการใช้จ่ายเงินไปกับการก่อสร้างจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวน 4 ล้านดอลลาร์[125] เนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คณะกรรมการจึงตัดหรือลดขนาดคุณลักษณะหลายอย่างในแผนกรีนสเวิร์ด[126] จากข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการจัดการต้นทุนที่ผิดพลาด วุฒิสภารัฐนิวยอร์กมอบหมายให้จูเลียส เคลเลอส์เบอร์เกอร์ วิศวกรชาวสวิสเขียนรายงานเกี่ยวกับสวนแห่งนี้[127] รายงานของเคลเลอส์เบอร์เกอร์ ซึ่งส่งใน ค.ศ. 1861 ระบุว่าการจัดการสวนของคณะกรรมการนั้น "ประสบความสำเร็จอย่างมีชัย"[128][129]

Map showing improvements to the park in 1858
แผนที่แสดงการปรับปรุงที่กำลังดำเนินใน ค.ศ. 1858

ทศวรรษ 1860

[แก้]
Bethesda Terrace under construction
เบเทสดาเทอร์เรซและน้ำพุระหว่างการก่อสร้างใน ค.ศ. 1862
ภาพพิมพ์หิน "การเล่นสเกตน้ำแข็งในเซ็นทรัลพาร์ก" วาดโดยบริษัท Currier and Ives ใน ค.ศ. 1862

ออล์มสเตดมักขัดแย้งกับคณะกรรมการอุทยาน โดยเฉพาะกับหัวหน้าคณะกรรมการกรีน[126][130] ออล์มสเตดลาออกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1862 และกรีนได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งของโอลมสเตด[131][132] วอกซ์ลาออกจากตำแหน่งใน ค.ศ. 1863 เพราะสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นแรงกดดันจากกรีน[133] ในฐานะนวกรรมิกของสวน กรีนเร่งการก่อสร้าง แม้จะมีประสบการณ์ด้านสถาปัตยกรรมน้อยก็ตาม[131] เขาใช้วิธีบริหารแบบจู้จี้จุกจิก โดยจดบันทึกแม้แต่รายการธุรกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อหวังจะประหยัดค่าใช้จ่าย[130][134] กรีนสรุปการเจรจาซื้อที่ดินทางเหนือสุดของสวนขนาด 65 เอเคอร์ (26 เฮกตาร์) ซึ่งต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นป่าไม้ "ทุรกันดาร" และทางน้ำฮาร์เลมเมียร์[131][134]

เมื่อสงครามกลางเมืองอเมริกาเริ่มต้นใน ค.ศ. 1861 คณะกรรมการอุทยานตัดสินใจสร้างเซ็นทรัลพาร์กต่อไป เนื่องจากส่วนสำคัญของสวนได้สร้างเสร็จไปแล้ว[135] ในช่วงสงครามกลางเมือง มีสิ่งก่อสร้างหลักเพียงสามแห่งเท่านั้นที่สร้างเสร็จ ได้แก่ แท่นดนตรีและร้านอาหารกาสิโน ซึ่งต่อมาถูกรื้อถอน และระเบียงและน้ำพุเบเทสดา[136] ภายในปลาย ค.ศ. 1861 สวนทางใต้ของถนนที่ 72 ได้สร้างเสร็จสมบูรณ์ เหลือเพียงรั้วบางส่วนเท่านั้น[137] งานได้เริ่มต้นขึ้นในส่วนเหนือของสวนแต่มีความซับซ้อนเนื่องจากจำเป็นต้องอนุรักษ์พื้นที่ประวัติศาสตร์แมกเกาเวินส์พาส[138] อ่างเก็บน้ำตอนบนสร้างเสร็จในปีถัดมา[139]

ในช่วงเวลานี้เซ็นทรัลพาร์กเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น[135] หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักคือ "ขบวนรถม้า" การแสดงรถม้าที่ลากโดยม้าซึ่งวิ่งไปทั่วสวนทุกวัน[135][140][141] จำนวนผู้ใช้สวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใน ค.ศ. 1867 เซ็นทรัลพาร์กต้อนรับผู้เดินเท้าเกือบสามล้านคน ม้า 85,000 ตัว และพาหนะ 1.38 ล้านคันต่อปี[135] สวนมีกิจกรรมสำหรับชาวนิวยอร์กทุกชนชั้นทางสังคม ขณะที่ผู้มีฐานะร่ำรวยสามารถขี่ม้าบนเส้นทางขี่ม้าหรือเดินทางด้วยรถม้า เกือบทุกคนสามารถเข้าร่วมกีฬาต่าง ๆ เช่น เล่นสเกตน้ำแข็งหรือพายเรือ หรือฟังคอนเสิร์ตที่เวทีวงดนตรีมอลล์ได้[142]

ออล์มสเตดและวอกซ์ได้รับการว่าจ้างกลับมาทำงานอีกครั้งในช่วงกลาง ค.ศ. 1865[143] มีการสร้างสิ่งก่อสร้างหลายแห่ง รวมถึงเขตเด็กเล่น บ้านนักเบสบอล และเดอะแดรีในส่วนใต้ของเซ็นทรัลพาร์ก การก่อสร้างเริ่มขึ้นสำหรับปราสาทเบลเวเดียร์ ฮาร์เล็มเมียร์ และสิ่งก่อสร้างบนสระน้ำคอนเซอร์เวทอรีและทะเลสาบ[136][144]

ค.ศ. 1870–1876: เสร็จสมบูรณ์

[แก้]
People on horseback and riding in carriages in the park
กลุ่มผู้ดีในสวนเปิดใหม่ ป. 1870

แทมมานีฮอล กลุ่มการเมืองที่มีอำนาจมากที่สุดในนิวยอร์กในเวลานั้น เข้าควบคุมเซ็นทรัลพาร์กในช่วงเวลาสั้น ๆ ตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 1870[145] กฎบัตรใหม่ที่สร้างโดยวิลเลียม เอ็ม. ทวีด หัวหน้าแทมมานี ยกเลิกคณะกรรมการชุดเก่าที่มีสมาชิก 11 คนและแทนที่ด้วยคณะกรรมการชุดใหม่ที่มีสมาชิก 5 คน ประกอบด้วยกรีนและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแทมมานีอีก 4 คน[145][146] ต่อมา ออล์มสเตดและวอกซ์ลาออกจากโครงการอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1870[145] หลังการยักยอกเงินของทวีดถูกเปิดโปงใน ค.ศ. 1871 ที่นำไปสู่การจำคุกของเขา ออล์มสเตดและวอกซ์ได้รับการว่าจ้างกลับมาอีกครั้ง และคณะกรรมการเซ็นทรัลพาร์กได้แต่งตั้งสมาชิกใหม่ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนออล์มสเตด[147]

พื้นที่ส่วนหนึ่งที่ยังคงค่อนข้างไม่ได้รับการพัฒนาคือด้านตะวันตกที่ยังไม่เจริญของเซ็นทรัลพาร์ก แม้จะมีการสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่บางแห่งในพื้นที่ว่างที่เหลือของสวนก็ตาม[148] ภายใน ค.ศ. 1872 พื้นที่แมนแฮตตันสแควร์ได้รับการสงวนไว้สำหรับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน ซึ่งก่อตั้งขึ้นสามปีก่อนหน้านั้นที่อาคารอาร์เซนอล พื้นที่ที่สอดคล้องกันทางฝั่งตะวันออกซึ่งเดิมทีตั้งใจให้เป็นสนามเด็กเล่น ต่อมากลายเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน[148][149] ในช่วงปีสุดท้ายของการก่อสร้างเซ็นทรัลพาร์ก วอกซ์และโมลด์ออกแบบโครงสร้างหลายแห่งสำหรับเซ็นทรัลพาร์ก คอกแกะของสวน (ปัจจุบันคือทาเวิร์นออนเดอะกรีน) และทุ่งหญ้าสำหรับสุภาพสตรีได้รับการออกแบบโดยโมลด์ใน ค.ศ. 1870–1871 ตามมาด้วยสำนักงานบริหารบนถนนที่ 86 ตัดขวางใน ค.ศ. 1872[150] แม้ความร่วมมือระหว่างออล์มสเตดและวอกซ์จะสิ้นสุดลงในปลาย ค.ศ. 1872[151] แต่สวนก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์อย่างเป็นทางการกระทั่ง ค.ศ. 1876[152]

ปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20

[แก้]
Belvedere Castle
ปราสาทเบลเวเดียร์ สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1869
The tree-lined mall with people walking and others seated on benches on either side
ปลายล่างของเดอะมอลล์ใน ค.ศ. 1901

ในทศวรรษ 1870 ผู้มาใช้สวนเริ่มมีชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงานเพิ่มมากขึ้น และกฎระเบียบที่เข้มงวดต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ผ่อนปรนลง เช่น กฎที่ห้ามการชุมนุมสาธารณะ[153] เนื่องจากจำนวนผู้เยี่ยมชมที่เพิ่มขึ้น การละเลยของฝ่ายบริหารแทมมานี และการตัดงบประมาณที่เรียกร้องโดยผู้เสียภาษี ค่าบำรุงรักษาเซ็นทรัลพาร์กจึงลดลงต่ำสุดใน ค.ศ. 1879[107][154] ออล์มสเตดกล่าวโทษนักการเมือง เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ และคนงานในสวนสำหรับการเสื่อมโทรมของเซ็นทรัลพาร์ก แม้ค่าบำรุงรักษาสูงก็เป็นปัจจัยหนึ่งด้วยเช่นกัน[155] ภายในทศวรรษ 1890 สวนต้องเผชิญความท้าทายหลายประการ รถยนต์เริ่มแพร่หลาย และด้วยการเพิ่มขึ้นของสถานที่บันเทิงและร้านขายอาหารเครื่องดื่ม ผู้คนเริ่มมองสวนเป็นเพียงที่พักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น[156][157] การเปิดให้บริการรถไฟใต้ดินนครนิวยอร์กใน ค.ศ. 1904 ทำให้เซ็นทรัลพาร์กสูญเสียตำแหน่งแหล่งพักผ่อนหย่อนใจหลักของเมือง เนื่องจากชาวนิวยอร์กสามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ไกลกว่า เช่น หาดโคนีย์ไอแลนด์หรือโรงละครบรอดเวย์ได้ด้วยค่าโดยสารห้าเซ็นต์[158]

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซามูเอล พาร์สันส์ ภูมิสถาปนิกได้รับตำแหน่งนวกรรมิกสวนของนครนิวยอร์ก พาร์สันส์ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของแคลเวิร์ต วอกซ์[159] ช่วยฟื้นฟูเรือนเพาะชำของเซ็นทรัลพาร์กใน ค.ศ. 1886[160] พาร์สันส์ทำตามวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของออล์มสเตดสำหรับสวนอย่างใกล้ชิด โดยฟื้นฟูต้นไม้ของเซ็นทรัลพาร์กและขณะเดียวกันก็ขัดขวางการตั้งรูปปั้นขนาดใหญ่หลายรูปในสวน[161] ภายใต้การนำของพาร์สันส์ วงเวียนสองแห่ง (ปัจจุบันคือวงเวียนดุก เอลลิงตันและวงเวียนเฟรเดอริก ดักลาส) ถูกสร้างขึ้นที่มุมทางเหนือของสวน[162][163] เขาถูกปลดในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1911 หลังข้อพิพาทที่ยืดเยื้อเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการเปลี่ยนดินในสวนซึ่งถูกมองว่าไม่จำเป็น[161][164] นายกเทศมนตรีพรรคเดโมแครตที่มาจากกลุ่มแทมมานีฮอลหลายต่อหลายคนละเลยเซ็นทรัลพาร์ก[165]

กลุ่มสนับสนุนสวนสาธารณะหลายกลุ่มถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อรักษาเอกลักษณ์ของสวนไว้ สมาคมอุทยานและสนามเด็กเล่นประจำเมืองและกลุ่มประชาสังคมเซ็นทรัลพาร์กหลายกลุ่มที่ดำเนินการภายใต้สมาคมอนุรักษ์สวน จึงถูกก่อตั้งขึ้นในทศวรรษ 1900 และ 1910[166] สมาคมเหล่านี้สนับสนุนการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสวน เช่น การก่อสร้างห้องสมุด[167] สนามกีฬา[168] ศูนย์วัฒนธรรม [169] และลานจอดรถใต้ดิน[170] กลุ่มที่สามคือสมาคมเซ็นทรัลพาร์ก ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1926[166] สมาคมเซ็นทรัลพาร์กและสมาคมอุทยานและสนามเด็กเล่นรวมกันเป็นสมาคมอุทยานนครนิวยอร์กในอีกสองปีต่อมา[171]

สนามเด็กเล่นเฮกเชอร์ ซึ่งตั้งชื่อตามผู้ใจบุญออกัสต์ เฮกเชอร์ ผู้บริจาคอุปกรณ์สนามเด็กเล่น เปิดให้บริการใกล้ปลายด้านใต้ของสวนใน ค.ศ. 1926[172][173] และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ครอบครัวผู้อพยพยากจน[173] ปีถัดมา นายกเทศมนตรีจิมมี วอล์กเกอร์ว่าจ้างแฮร์มันน์ ดับเบิลยู. เมอร์เคิล นักออกแบบภูมิทัศน์ให้จัดทำแผนเพื่อปรับปรุงเซ็นทรัลพาร์ก[165] แผนของเมอร์เคิลจะต่อสู้กับการก่อกวนทำลายทรัพย์สินและการทำลายต้นไม้ ฟื้นฟูทางเดิน และเพิ่มสนามเด็กเล่นใหม่แปดแห่ง โดยมีค่าใช้จ่าย 1 ล้านดอลลาร์[174][175] ท่อชลประทานใต้ดิน หนึ่งในการปรับปรุงที่ถูกเสนอ ถูกติดตั้งในเวลาไม่นานหลังรายงานของเมอร์เคิลถูกส่งมอบ[165][176] การปรับปรุงอื่น ๆ ที่ระบุไว้ในรายงาน เช่น รั้วเพื่อลดการทำลายพืช ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่[177]

ทศวรรษ 1930 ถึง 1950

[แก้]
เซ็นทรัลพาร์กในเดือนกันยายน ค.ศ. 1942

ใน ค.ศ. 1934 ฟีออเรลโล ลา กวาร์เดีย ผู้สมัครจากพรรคริพับลิกันได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก เขารวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสวนทั้งห้าที่มีอยู่ในขณะนั้นให้เป็นหน่วยงานเดียว รอเบิร์ต โมเสส ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่ให้เป็นกรรมการอุทยานของเมือง ได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดสวน และเขาไล่พนักงานจำนวนมากจากสมัยแทมมานีออกทันที[178] ในเวลานั้น สนามหญ้าเต็มไปด้วยวัชพืชและหย่อมฝุ่น ขณะที่ต้นไม้จำนวนมากกำลังจะตายหรือตายไปแล้ว อนุสรณ์สถานถูกทำลาย อุปกรณ์และทางเดินถูกทำให้เสียหาย และงานเหล็กเป็นสนิม[178][179] รอเบิร์ต คาโร นักเขียนชีวประวัติของโมเสส กล่าวในภายหลังว่า "ครั้งหนึ่งเดอะมอลล์ที่เคยสวยงาม ดูเหมือนฉากงานปาร์ตี้สุดเหวี่ยงในเช้าวันรุ่งขึ้น ม้านั่งนอนหงาย ขาของพวกมันชี้ฟ้า..."[179]

ในช่วงปีถัดมา กรมอุทยานของเมืองทำการปลูกหญ้าและดอกไม้ใหม่ เปลี่ยนต้นไม้และพุ่มไม้ที่ตายแล้วทดแทน พ่นทรายกำแพง ซ่อมถนนและสะพาน และบูรณะรูปปั้นต่าง[180][181][182] สวนสัตว์เก่าในสวนถูกปรับเปลี่ยนเป็นสวนสัตว์เซ็นทรัลพาร์กสมัยใหม่ และมีการเริ่มโครงการกำจัดหนูภายในสวนสัตว์[181] การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกอย่างคือการที่โมเสสสั่งรื้อชุมชนแออัด "ฮูเวอร์วัลเลย์" ที่ปลายด้านเหนือของเทอร์เทิลพอนด์ ซึ่งกลายมาเป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่ 30 เอเคอร์ (12 เฮกตาร์)[180][182] ส่วนตะวันตกของสระบริเวณมุมตะวันออกเฉียงใต้ของสวนกลายเป็นลานสเกตน้ำแข็งวอลแมน[181] ถนนได้รับการปรับปรุงหรือขยาย[183] และมีการเพิ่มสนามเด็กเล่นอีก 21 แห่ง[182] โครงการเหล่านี้ใช้เงินทุนจากโครงการนโยบายสัญญาใหม่และเงินบริจาคจากสาธารณชน[182] โมเสสย้ายฝูงแกะออกจากชีปเมโดว์เพื่อเปิดทางให้ร้านอาหารทาเวิร์นออนเดอะกรีน[183][184]

การปรับปรุงในช่วงทศวรรษ 1940 และ 1950 รวมถึงการบูรณะฮาร์เล็มเมียร์ที่เสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1943[185] โรงเก็บเรือพายแห่งใหม่ที่สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1954[186][187][188] โมเสสเริ่มการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจอื่น ๆ อีกหลายอย่างในเซ็นทรัลพาร์ก เช่น สนามเด็กเล่นและสนามบอล[189] หนึ่งในโครงการที่มีข้อโต้แย้งมากที่สุดที่ถูกเสนอขึ้นในช่วงเวลานั้นคือข้อพิพาทใน ค.ศ. 1956 เกี่ยวกับลานจอดรถสำหรับทาเวิร์นออนเดอะกรีน ข้อโต้แย้งนั้นทำให้โมเสส นักวางผังเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการไล่ที่ครอบครัวเพื่อโครงการขนาดใหญ่อื่น ๆ ทั่วเมือง ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มคุณแม่ที่มาใช้พื้นที่ป่าที่เป็นแอ่งในบริเวณที่จะสร้างลานจอดรถ[189][190] แม้กลุ่มนั้นจะคัดค้าน แต่โมเสสก็อนุมัติให้ทำลายส่วนหนึ่งของแอ่งนั้น งานรื้อถอนเริ่มขึ้นหลังเซ็นทรัลพาร์กปิดในเวลากลางคืนและหยุดชะงักลงหลังมีการขู่ว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดี[189][191]

ทศวรรษ 1960 ถึง 1970

[แก้]

โมเสสออกจากตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1960 หลังจากนั้น ไม่มีกรรมการอุทยานคนใดสามารถใช้อำนาจได้ในระดับเดียวกัน และกรมอุทยานนครนิวยอร์กก็ไม่ได้อยู่ในสถานะมั่นคงเช่นเดิมหลังการออกไปของเขา ในช่วง 20 ปีหลังจากการออกไปของเขามีกรรมการแปดคนดำรงตำแหน่ง[192] เมืองนี้ประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมีผู้อยู่อาศัยบางส่วนย้ายไปยังชานเมือง[193][194] ความสนใจในภูมิทัศน์ของเซ็นทรัลพาร์กได้ลดลงไปนานแล้ว และปัจจุบันส่วนใหญ่ถูกใช้เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ[195] ในทศวรรษนั้น มีการเสนอส่วนต่อเติมที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงหลายอย่างสำหรับเซ็นทรัลพาร์ก เช่น โครงการที่อยู่อาศัยสาธารณะ[196] สนามกอล์ฟ[197] และ "งานแสดงสินค้าระดับโลกแบบหมุนเวียน"[198]

ทศวรรษ 1960 เป็นจุดเริ่มต้นของ "ยุคแห่งกิจกรรม" ในเซ็นทรัลพาร์กที่สะท้อนถึงกระแสวัฒนธรรมและการเมืองที่แพร่หลายในสมัยนั้น[199] เทศกาลเชกสเปียร์ในสวนประจำปีของเดอะพับลิกเทียเตอร์จัดขึ้นที่โรงละครเดลาคอร์ต[200] และการแสดงในช่วงฤดูร้อนก็ถูกจัดขึ้นบนชีปเมโดว์และเกรตลอว์นโดยวงดุริยางค์ฟิลฮาร์โมนิกนิวยอร์กและเมโทรโพลิทันโอเปรา[201] ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 สวนแห่งนี้กลายเป็นสถานที่จัดชุมนุมและกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น "เลิฟ-อินส์" และ "บี-อินส์" ของสมัยนั้น[202] ปีเดียวกันนั้น ลานสเกตน้ำแข็งลาสเกอร์ก็เปิดทำการในส่วนเหนือของสวน สถานที่แห่งนี้ใช้เป็นลานสเกตน้ำแข็งในฤดูหนาวและเป็นสระว่ายน้ำแห่งเดียวของเซ็นทรัลพาร์กในฤดูร้อน[203]

ในช่วงกลางทศวรรษ 1970 การละเลยการจัดการส่งผลให้สภาพของสวนเสื่อมโทรมลง รายงานปี 1973 ระบุว่าสวนประสบปัญหาการพังทลายของดินและต้นไม้ผุพัง และโครงสร้างแต่ละแห่งถูกทำลายหรือถูกละเลย[204] กองทุนชุมชนเซ็นทรัลพาร์กถูกก่อตั้งขึ้นในภายหลังโดยอิงตามคำแนะนำจากรายงานของศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย[205] จากนั้นกองทุนได้ว่าจ้างให้มีการศึกษาการจัดการสวนและเสนอให้แต่งตั้งทั้งผู้บริหารจากกรมอุทยานนครนิวยอร์กและคณะกรรมการพลเมือง[206] ใน ค.ศ. 1979 กอร์ดอน เดวิส กรรมการอุทยานก่อตั้งสำนักงานบริหารเซ็นทรัลพาร์กและแต่งตั้งเอลิซาเบธ บาร์โลว์ ผู้อำนวยการบริหารของหน่วยเฉพาะกิจเซ็นทรัลพาร์กให้ดำรงตำแหน่งนั้น[207][208] องค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์ก องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่มีคณะกรรมการพลเมือง ก่อตั้งขึ้นในปีถัดมา[25][26]

ทศวรรษ 1970 ถึง 2000

[แก้]
เกรตลอว์นก่อนการปรับปรุงในปลายทศวรรษ 1970
เกรตลอว์นหลังการปรับปรุงในทศวรรษ 1980

ภายใต้การนำขององค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์ก การฟื้นฟูสวนเริ่มต้นขึ้นโดยการจัดการกับความต้องการที่ไม่สามารถตอบสนองได้ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ของกรมอุทยานนครนิวยอร์ก องค์การอนุรักษ์ฯ ว่าจ้างนักศึกษาฝึกงานและเจ้าหน้าที่ฟื้นฟูจำนวนเล็กน้อยเพื่อสร้างและซ่อมแซมลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์แบบชนบท ดำเนินโครงการด้านพืชสวน และลบรอยขีดเขียนภายใต้ทฤษฎีหน้าต่างแตกซึ่งสนับสนุนการกำจัดสัญญาณความเสื่อมโทรมที่มองเห็นได้[209] โครงสร้างแรกที่ได้รับการปรับปรุงคือเดอะแดรี ซึ่งเปิดให้บริการอีกครั้งในฐานะศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแห่งแรกของสวนใน ค.ศ. 1979[210] ชีปเมโดว์ ซึ่งเปิดให้เข้าชมใหม่อีกครั้งในปีถัดมา เป็นพื้นที่ภูมิทัศน์แห่งแรกที่ได้รับการบูรณะ[211] เบเธสดาเทอร์เรซและน้ำพุ อนุสรณ์สถานแห่งชาติยูเอสเอส เมน และสะพานโบว์ได้รับการบูรณะเช่นกัน[212][213][214] ในเวลานั้น องค์การอนุรักษ์ฯ กำลังดำเนินการด้านการออกแบบและการวางแผนบูรณะระยะยาว[215] และใน ค.ศ. 1981 เดวิสและบาร์โลว์ประกาศ "แผนจัดการและบูรณะเซ็นทรัลพาร์ก" ระยะเวลา 10 ปี มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์[214] ปราสาทเบลเวเดียร์ที่ปิดทำการไปนานได้รับการปรับปรุงใหม่และเปิดให้เข้าชมอีกครั้งใน ค.ศ. 1983[216][217] ขณะที่สวนสัตว์เซ็นทรัลพาร์กปิดทำการเพื่อการสร้างใหม่ทั้งหมดในปีเดียวกันนั้น[208][215] เพื่อลดภาระการบำรุงรักษา การจัดงานชุมนุมขนาดใหญ่ เช่น คอนเสิร์ตฟรีจึงถูกยกเลิก[218]

เมื่อขั้นตอนการวางแผนเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1985 องค์การอนุรักษ์ฯ ได้เริ่มแคมเปญแรก[194] และวางแผนการบูรณะ 15 ปี[219] ในช่วงหลายปีต่อจากนี้ แคมเปญดังกล่าวทำการบูรณะสถานที่สำคัญในส่วนใต้ของสวน เช่น แกรนด์อาร์มีพลาซา[220] และสถานีตำรวจที่ถนนที่ 86 ตัดขวาง[221] ขณะเดียวกันคอนเซอร์เวทอรีการืเดนที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือของสวนก็ได้รับการบูรณะตามการออกแบบของลินเดน บี. มิลเลอร์[222][223][224] ดอนัลด์ ทรัมป์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทำการปรับปรุงลานสเกตน้ำแข็งวอลแมนใน ค.ศ. 1987 หลังแผนการปรับปรุงถูกเลื่อนออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า[225] ปีถัดมา สวนสัตว์เปิดทำการอีกครั้งหลังการปรับปรุงมูลค่า 35 ล้านดอลลาร์ซึ่งใช้เวลาสี่ปี[226]

งานในส่วนปลายเหนือของสวนเริ่มต้นใน ค.ศ. 1989[227] แคมเปญระดมทุน 51 ล้านดอลลาร์ซึ่งประกาศใน ค.ศ. 1993[228] ส่งผลให้มีการบูรณะเส้นทางรถม้า[229] เดอะมอลล์[230] ฮาร์เล็มเมียร์[231] และนอร์ทวูดส์[227] รวมถึงการก่อสร้างศูนย์เดนาดิสคัฟเวอรีบนฮาร์เล็มเมียร์[231] หลังจากนั้น องค์การอนุรักษ์ทำการปรับปรุงพื้นที่ 55 เอเคอร์ (22 เฮกตาร์) ใกล้เกรตลอว์นและเทอร์เทิลพอนด์ ซึ่งเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1997[232] อ่างเก็บน้ำตอนบนถูกปลดระวางจากการเป็นส่วนหนึ่งของระบบประปาของเมืองใน ค.ศ. 1993[233][234] และได้รับการตั้งชื่อใหม่ตามแจ็กเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิส อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐในปีถัดมา[233][235] ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 องค์การอนุรักษ์ฯ ว่าจ้างอาสาสมัครเพิ่มเติมและนำระบบจัดการแบบแบ่งเขตมาใช้ทั่วทั้งสวน[194] องค์การอนุรักษ์ฯ เข้ามารับช่วงการดำเนินงานส่วนใหญ่ของสวนในช่วงต้น ค.ศ. 1998[27]

การปรับปรุงยังคงดำเนินต่อไปตลอดทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 และโครงการบูรณะสระน้ำได้เริ่มต้นขึ้นใน ค.ศ. 2000[236] สี่ปีต่อมา องค์การอนุรักษ์ฯ ทำการเปลี่ยนรั้วตาข่ายด้วยรั้วเหล็กหล่อจำลองของรั้วเดิมที่ล้อมรอบอ่างเก็บน้ำตอนบน[237] เริ่มทำการปรับปรุงแผ่นกระเบื้องเพดานของเบเทสดาอาร์เคด[238] ซึ่งเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 2007[239] หลังจากนั้นไม่นาน องค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์กก็เริ่มทำการบูรณะเดอะแรมเบิลแอนด์เลก[240] ในโครงการที่เสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 2012[241] สะพานแบงก์ร็อกได้รับการบูรณะ[242][243] และลำธารเดอะกิลล์ซึ่งไหลลงสู่ทะเลสาบ ถูกสร้างขึ้นใหม่ให้ใกล้เคียงกับรูปแบบดั้งเดิมที่น่าทึ่งของมัน[244] สิ่งสุดท้ายที่ได้รับการบูรณะคืออีสต์เมโดว์ ซึ่งได้รับการฟื้นฟูใน ค.ศ. 2011[245]

ทศวรรษ 2010 ถึงปัจจุบัน

[แก้]

ใน ค.ศ. 2014 สภานครนิวยอร์กเสนอให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการห้ามรถยนต์สัญจรบนถนนภายในสวน[246] ปีถัดมา นายกเทศมนตรีบิล เดอ บลาซิโอ ประกาศว่าถนนเวสต์และอีสต์ไดรฟ์ทางเหนือของถนนที่ 72 จะถูกปิดไม่ให้รถยนต์สัญจร เนื่องจากข้อมูลของเมืองแสดงให้เห็นว่าการปิดถนนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการจราจรในทางลบ[247] ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2018 ถนนส่วนที่เหลือทางใต้ของถนนที่ 72 ถูกปิดไม่ให้รถยนต์สัญจร[248][249] โครงสร้างหลายแห่งได้รับการบูรณะในช่วงทศวรรษ 2010 ปราสาทเบลเวเดียร์ถูกปิดใน ค.ศ. 2018 เพื่อทำการปรับปรุงครั้งใหญ่ และเปิดทำการอีกครั้งในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019[250][251][252] ในช่วงปลาย ค.ศ. 2018 มีการประกาศว่าโรงละครเดลาคอร์ตจะถูกปิดทำการตั้งแต่ ค.ศ. 2020 ถึง 2022 เพื่อทำการปรับปรุงใหม่ด้วยงบประมาณ 110 ล้านดอลลาร์[253] องค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์กได้ประกาศเพิ่มเติมว่าลานสเกตน้ำแข็งลาสเกอร์จะถูกปิดเพื่อทำการปรับปรุงใหม่ด้วยงบประมาณ 150 ล้านดอลลาร์[254] การรื้อถอนลานสเกตเดิมเริ่มขึ้นใน ค.ศ. 2021[255]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2020 เพื่อตอบสนองต่อการระบาดของไวรัสโคโรนา โรงพยาบาลสนามชั่วคราวถูกจัดตั้งขึ้นภายในสวนเพื่อรักษาผู้ป่วยล้นเกินจากโรงพยาบาลในพื้นที่[256][257] กลาง ค.ศ. 2023 รัฐบาลนครนิวยอร์กพิจารณาการสร้างเต็นท์ในเซ็นทรัลพาร์กเพื่อเป็นที่พักชั่วคราวสำหรับผู้ขอลี้ภัย การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังรัฐบาลกลางยกเลิกคำสั่งที่อนุญาตให้มีการขับไล่ผู้อพยพตามมาตรา 42 ซึ่งถูกนำมาใช้ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19[258][259] การปรับปรุงอาคารเรือนหมากรุกและหมากฮอสเสร็จสมบูรณ์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2023[260] และการปรับปรุงโรงละครเดลาคอร์ตเริ่มขึ้นในภายหลังของปีนั้น[261] นอกจากนี้ สนามพิกเคิลบอลถูกเพิ่มเข้าไปในลานสเกตน้ำแข็งวอลแมนใน ค.ศ. 2023 และกลายเป็นถาวรในปีถัดมา[262][263] องค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์กจัดสรรเงิน 64 ล้านดอลลาร์ในช่วงต้น ค.ศ. 2024 เพื่อซ่อมแซมทางเท้าบน 108 ช่วงตึกที่อยู่รอบสวนโดยตรง[264] ต่อมาในปีนั้น องค์การอนุรักษ์ฯ ประกาศแผนการปรับปรุงถนนในสวนใหม่ เพื่อจัดทำช่องทางจักรยานและทางเดินเท้าที่มีความกว้างสม่ำเสมอ[265][266] รายงานขององค์การอนุรักษ์ฯ ยังแนะนำให้สร้างช่องจักรยานบนถนนที่ 86 ตัดขวาง รวมถึงการถอดไฟจราจรออกจากสวน ซึ่งแทบไม่มีประโยชน์เนื่องจากปริมาณรถยนต์น้อย[266]

ภูมิประเทศ

[แก้]

ลักษณะภูมิประเทศ

[แก้]
East side of Rat Rock with high rise buildings in the background
ด้านตะวันออกของแรตร็อก

บนเกาะแมนแฮตตันมีหินดานอยู่สี่ประเภท ในเซ็นทรัลพาร์กจะพบแมนแฮตตันชิสต์และฮาร์ตแลนด์ชิสต์ หินตะกอนที่ผ่านการแปรสภาพแล้ว ทั้งสองชนิดปรากฏให้เห็นในบริเวณหินโผล่ต่าง ๆ ส่วนอีกสองชนิดคือฟอร์ดแฮมไนส์ (ชั้นหินที่ลึกและเก่ากว่า) และหินอ่อนอินวูด (หินปูนที่ผ่านการแปรสภาพซึ่งอยู่เหนือชั้นหินไนส์) จะไม่โผล่ขึ้นมาให้เห็นในสวน[267][268][269] ฟอร์ดแฮมไนส์ ซึ่งประกอบด้วยหินอัคนีแปรสภาพ ก่อตัวขึ้นเมื่อพันล้านปีก่อน ในช่วงที่เกิดการก่อเทือกเขาเกรนวิลล์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทวีปโบราณกำลังก่อตัวขึ้น ส่วนแมนแฮตตันชิสต์และฮาร์ตแลนด์ชิสต์ก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรไออาเพตัสในช่วงที่มีการก่อเทือกเขาทาโคนิกในมหายุคพาลีโอโซอิกเมื่อประมาณ 450 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่แผ่นเปลือกโลกเริ่มรวมตัวกันเพื่อก่อให้เกิดมหาทวีปแพนเจีย[270] นอกจากนี้ยังมีเขตรอยเลื่อนแคเมอรอนไลน์ที่พาดผ่านเซ็นทรัลพาร์กในแนวตะวันออก–ตะวันตก เขตรอยเลื่อนนี้แบ่งหินโผล่ของฮาร์ตแลนด์ชิสต์ที่อยู่ทางตอนใต้ออกจากแมนแฮตตันชิสต์ที่อยู่ทางตอนเหนือ[271]

ธารน้ำแข็งหลายสายเคยปกคลุมพื้นที่ของเซ็นทรัลพาร์กในอดีต โดยธารน้ำแข็งล่าสุดคือธารน้ำแข็งวิสคอนซินซึ่งถอยร่นไปเมื่อประมาณ 12,000 ปีก่อน หลักฐานของธารน้ำแข็งในอดีตสามารถพบเห็นได้ทั่วทั้งสวนในรูปแบบของหินธารน้ำแข็ง ซึ่งเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกทิ้งไว้โดยธารน้ำแข็งที่ถอยร่น และรอยขูดขีดจากธารน้ำแข็งแนวเหนือ–ใต้ที่มองเห็นได้บนหินโผล่[267][272][273] แนวหินธารน้ำแข็งที่เรียกว่า "boulder trains" สามารถพบได้ทั่วทั้งเซ็นทรัลพาร์ก[274] หินที่โดดเด่นที่สุดคือแรตร็อก (รู้จักในชื่ออัมไพร์ร็อก) ก้อนหินกลมที่มุมตะวันตกเฉียงใต้ของสวน[272][275] มีความกว้าง 55 ฟุต (17 เมตร) และสูง 15 ฟุต (4.6 เมตร) โดยมีพื้นผิวที่แตกต่างกันไปทางทิศตะวันออก ตะวันตก และทิศเหนือ[275][276] บางครั้งนักปีนผาก็จะมารวมตัวกันที่นั่น[276] นอกจากนี้ยังมีหลุมธารน้ำแข็งที่มีดินเหนียวสีเหลืองอยู่ใกล้กับมุมตะวันตกเฉียงใต้ของสวน[277][278]

ธรณีวิทยาใต้ดินของเซ็นทรัลพาร์กถูกเปลี่ยนแปลงโดยการก่อสร้างรถไฟใต้ดินหลายสายที่ลอดผ่านใต้สวน และโดยอุโมงค์น้ำนครนิวยอร์กหมายเลข 3 ซึ่งอยู่ใต้ดินลึกลงไปประมาณ 700 ฟุต (210 เมตร) การขุดเจาะสำหรับโครงการนี้ได้ค้นพบแร่ต่าง ๆ เช่น เพกมาไทต์ เฟลด์สปาร์ ควอตซ์ ไบโอไทต์ และโลหะหลายชนิด[279]

พื้นที่ป่าและสนามหญ้า

[แก้]
Trees and a pathway in the Ramble
พื้นที่ป่าของเดอะแรมเบิลแอนด์เลก

ภายในเซ็นทรัลพาร์กมีพื้นที่ป่าสามแห่ง ได้แก่ นอร์ทวูดส์ เดอะแรมเบิล และเขตรักษาพันธุ์ธรรมชาติฮัลเลตต์[280] นอร์ทวูดส์ ซึ่งเป็นป่าที่ใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของเซ็นทรัลพาร์ก[281][282][283] มีพื้นที่ประมาณ 90 เอเคอร์ (36 เฮกตาร์) ติดกับทุ่งนอร์ทเมโดว์[284] บางครั้งชื่อนี้ก็ใช้เรียกสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่อยู่ในตอนเหนือของสวนด้วย ซึ่งพื้นที่เหล่านี้รวมกับส่วนของนอร์ทวูดส์อาจมีขนาดถึง 200 เอเคอร์ (81 เฮกตาร์)[227] นอร์ทวูดส์ประกอบด้วยเดอะราไวน์ ซึ่งเป็นป่าขนาด 55 เอเคอร์ (22 เฮกตาร์) ที่มีไม้ผลัดใบอยู่บนเนินลาดทางตะวันตกเฉียงเหนือ และเดอะล็อก ซึ่งเป็นลำธารเล็ก ๆ ที่คดเคี้ยวพาดผ่านนอร์ทวูดส์ในแนวทแยง[283][285][286]

เดอะแรมเบิลอยู่ทางตอนใต้ของสวนติดกับทะเลสาบ[5][287][288] ครอบคลุมพื้นที่ 36 ถึง 38 เอเคอร์ (15 ถึง 15 เฮกตาร์) และมีชุดเส้นทางที่คดเคี้ยว[288] พื้นที่นี้มีพืชพรรณและพรรณไม้อื่น ๆ ที่หลากหลาย ซึ่งดึงดูดนกจำนวนมาก[287][288] มีการพบนกอย่างน้อย 250 สายพันธุ์ในเดอะแรมเบิลตลอดหลายปีที่ผ่านมา[288][289] ในอดีต เดอะแรมเบิลเป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่สำหรับการนัดพบผู้ใฝ่เพศเดียวกันแบบส่วนตัวเนื่องจากความเงียบสงบ[290]

เขตรักษาพันธุ์ธรรมชาติฮัลเลตต์ตั้งอยู่ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของเซ็นทรัลพาร์ก[5][291][292] เป็นพื้นที่ป่าที่เล็กที่สุด มีขนาด 4 เอเคอร์ (1.6 เฮกตาร์)[293] เดิมรู้จักในชื่อพรอมอนทอรี และถูกเปลี่ยนชื่อตามชื่อนักกิจกรรมพลเมืองและนักดูนก จอร์จ เฮอร์วีย์ ฮัลเลตต์ จูเนียร์ ใน ค.ศ. 1986[292][293][294] เขตรักษาพันธุ์ธรรมชาติฮัลเลตต์ปิดไม่ให้สาธารณชนเข้าชมตั้งแต่ทศวรรษ 1930 และเริ่มมีการปรับปรุงและฟื้นฟูตั้งแต่ ค.ศ. 2001[295] เขตรักษาพันธุ์ธรรมชาติแห่งนี้เปิดให้เข้าชมแบบมีไกด์เป็นช่วง ๆ ใน ค.ศ. 2013 และเปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้ตามเวลาที่กำหนดใน ค.ศ. 2016[295][296]

องค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์กแบ่งพื้นที่สีเขียวที่เหลือออกเป็นสี่ประเภท โดยเรียงตามตัวอักษรตามการใช้งานและระดับการบำรุงรักษาที่จำเป็น มี "A Lawns" จำนวน 7 แห่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญสูงสุดและมีการใช้งานอย่างหนัก รวมพื้นที่ 65 เอเคอร์ (26 เฮกตาร์) ได้แก่ ชีปเมโดว์ เกรตลอว์น นอร์ทเมโดว์ อีสต์เมโดว์ คอนเซอร์เวทอรีการ์เดน เฮกเชอร์บอลฟีลด์ และลานโบว์ลิงและสนามโครเกต์ที่อยู่ใกล้กับชีปเมโดว์ พื้นที่เหล่านี้มีรั้วล้อมรอบถาวร มีการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง และจะปิดให้บริการในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว ส่วน "B Lawns" มี 16 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 37 เอเคอร์ (15 เฮกตาร์) และจะมีรั้วกั้นเฉพาะในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยวเท่านั้น สำหรับ "C Lawns" มีพื้นที่ 69 เอเคอร์ (28 เฮกตาร์) จะมีการกั้นรั้วเป็นครั้งคราว และสนามหญ้าประเภทที่มีความสำคัญต่ำที่สุดคือ "D Lawns" ครอบคลุมพื้นที่ 162 เอเคอร์ (66 เฮกตาร์) ซึ่งเปิดให้เข้าชมตลอดทั้งปีโดยมีสิ่งกีดขวางหรือข้อจำกัดในการเข้าถึงน้อยมาก[297]

ลำน้ำ

[แก้]

เซ็นทรัลพาร์กเป็นที่ตั้งของแหล่งน้ำมากมาย[11][87] ฮาร์เล็มเมียร์ ทะเลสาบที่อยู่ทางเหนือสุด ตั้งอยู่ใกล้มุมตะวันออกเฉียงเหนือของสวนและครอบคลุมพื้นที่เกือบ 11 เอเคอร์ (4.5 เฮกตาร์)[298][299] ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าที่มีต้นโอ๊ก ไซเปรส และบีช ชื่อของมันตั้งตามฮาร์เล็ม หนึ่งในชุมชนชานเมืองแห่งแรกของแมนแฮตตัน และสร้างขึ้นหลังส่วนใต้ของสวนเสร็จสมบูรณ์ ฮาร์เล็มเมียร์อนุญาตให้ตกปลาแบบจับแล้วปล่อย[298] แหล่งน้ำนี้ได้รับน้ำจากแหล่งน้ำสองแห่งที่เชื่อมต่อกัน ได้แก่ เดอะพูล สระน้ำที่อยู่ในพื้นที่นอร์ทวูดส์ได้รับน้ำจากน้ำดื่ม[300] และเดอะล็อก ลำธารเล็ก ๆ ที่มีน้ำตกสามแห่งไหลคดเคี้ยวผ่านนอร์ทวูดส์[301][281] แหล่งน้ำเหล่านี้ทั้งหมดดัดแปลงมาจากทางน้ำสายเดียวที่เรียกว่ามอนเทนส์ริวเล็ต ซึ่งเดิมได้รับน้ำจากน้ำพุธรรมชาติ แต่ต่อมาได้รับการเติมเต็มจากระบบน้ำของเมือง[302][303] ลัสเกอร์ริงก์ตั้งอยู่เหนือปากของเดอะล็อก ซึ่งเป็นจุดที่ไหลลงสู่ฮาร์เล็มเมียร์[304][305]

ทางทิศใต้ของฮาร์เล็มเมียร์และเดอะพูลคือทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเซ็นทรัลพาร์ก อ่างเก็บน้ำแจ็กเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิส ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่ออ่างเก็บน้ำเซ็นทรัลพาร์กก่อน ค.ศ. 1994[306] สร้างขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1858 ถึง 1862 มีพื้นที่ 106 เอเคอร์ (43 เฮกตาร์) ตั้งอยู่ระหว่างถนนที่ 86 และ 96 มีความลึกมากกว่า 40 ฟุต (12 เมตร) ในบางจุดและเก็บน้ำได้ประมาณ 1 พันล้าน US gallon (3.8 พันล้าน ลิตร)*[307][308] อ่างเก็บน้ำโอนาสซิสถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอ่างเก็บน้ำแห่งใหม่ที่มีการจัดภูมิทัศน์อย่างสวยงามทางทิศเหนือของอ่างเก็บน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าของสะพานส่งน้ำโครตัน[139] เนื่องจากรูปร่างของอ่างเก็บน้ำโอนาสซิสทำให้ถนนอีสต์ถูกสร้างเป็นเส้นทางตรง โดยมีระยะห่างระหว่างอ่างเก็บน้ำทางทิศตะวันตกกับถนนที่ 5 ทางทิศตะวันออกเพียงเล็กน้อย[309] ใน ค.ศ. 1993 อ่างเก็บน้ำแห่งนี้ได้ถูกยกเลิกการใช้งาน[233][234] ในปีถัดมา หลังจากที่แจ็กเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิสเสียชีวิต อ่างเก็บน้ำแห่งนี้จึงได้รับการเปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เธอ[233][235]

เทอร์เทิลพอนด์อยู่ทางตอนใต้ของเกรตลอว์น สระแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของอ่างเก็บน้ำโครตันมาก่อน[310][311] อ่างเก็บน้ำเริ่มถูกระบายออกตั้งแต่ ค.ศ. 1930[312][313] และพื้นอ่างเก็บน้ำที่แห้งถูกใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวของผู้ไร้บ้านเมื่อการถมพื้นที่ต้องหยุดลงในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่[311][314][315] เกรตลอว์นสร้างแล้วเสร็จใน ค.ศ. 1937 บนพื้นที่อ่างเก็บน้ำเดิม[316] กระทั่ง ค.ศ. 1987 สระแห่งนี้เป็นที่รู้จักในชื่อเบลเวเดียร์เลก ตามชื่อปราสาทที่อยู่มุมตะวันตกเฉียงใต้ของสระ[310][311]

เดอะเลก ที่อยู่ทางใต้ของถนนตัดขวางที่ 79 มีพื้นที่เกือบ 18 เอเคอร์ (7.3 เฮกตาร์)[317] เดิมทีเคยเป็นส่วนหนึ่งของลำธารซอว์คิล ซึ่งไหลอยู่ใกล้พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน[318][319] เดอะเลกเป็นหนึ่งในสถานที่กลุ่มแรกที่สร้างเสร็จ โดยเปิดให้ผู้คนได้มาเล่นสเก็ตน้ำแข็งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1858[121] จุดประสงค์ของมันคือเพื่อรองรับเรือในช่วงฤดูร้อนและนักสเก็ตน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว[121][317] โลบโบตเฮาส์ ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของทะเลสาบ ให้บริการเช่าเรือพาย เรือคายัก และเรือกอนโดลา และยังมีร้านอาหารอีกด้วย[187][188][320] โบว์บริดจ์เป็นสะพานที่ทอดข้ามส่วนกลางของทะเลสาบ[320] ทางเข้าทางเหนือของทะเลสาบที่เรียกว่าแบงก์ร็อกเบย์ มีสะพานแบงค์ร็อกหรือสะพานโอ๊กทอดข้าม[321][319] เลดีส์พอนด์ มีสะพานสองแห่งทอดข้ามบริเวณปลายสุดทางตะวันตกของทะเลสาบ ถูกถมไปแล้วในทศวรรษ 1930[319]

ทางตะวันออกของเดอะเลกคือคอนเซอร์เวทอรีวอเทอร์[5] ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เดิมวางแผนไว้ว่าจะสร้างเป็นสวนอย่างเป็นทางการ[322] บริเวณริมน้ำของคอนเซอร์เวทอรีวอเทอร์มีเคิบส์เมโมเรียลโบตเฮาส์[323] ซึ่งผู้มาใช้บริการสามารถเช่าและแล่นเรือจำลองได้[322][324][325]

ตรงหัวมุมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสวนเป็นที่ตั้งของเดอะพอนด์ มีพื้นที่ 3.5 เอเคอร์ (1.4 เฮกตาร์)[326][327] เดอะพอนด์ถูกปรับปรุงมาจากส่วนหนึ่งของลำธารเก่าแก่ที่ชื่อเดอวอส์มิลสตรีม ซึ่งเคยไหลลงสู่แม่น้ำอีสต์ในบริเวณที่ปัจจุบันคือย่านเทอร์เทิลเบย์[11][328] ส่วนทางตะวันตกของเดอะพอนด์ถูกเปลี่ยนเป็นวอลแมนริงก์ใน ค.ศ. 1950[181][329][330]

ชีวิตป่า

[แก้]

เซ็นทรัลพาร์กมีความหลากหลายทางชีวภาพ จากการสำรวจชนิดพันธุ์ในสวนเมื่อ ค.ศ. 2013 โดยวิทยาลัยเกียรติยศวิลเลียม อี. แมกคอเลย์ พบสิ่งมีชีวิตทั้งหมด 571 ชนิด[331][332] ในจำนวนนี้มี 173 ชนิดที่ไม่เคยพบว่าอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน[333]

พรรณพืช

[แก้]

ข้อมูลจากการสำรวจใน ค.ศ. 2011 ระบุว่าเซ็นทรัลพาร์กมีต้นไม้กว่า 20,000 ต้น[334][335][336] ลดลงจากจำนวน 26,000 ต้นที่บันทึกไว้ใน ค.ศ. 1993[337] ต้นไม้ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พื้นเมืองของนครนิวยอร์ก แต่ก็มีต้นไม้ต่างถิ่นอยู่บ้างเช่นกัน[338] ต้นไม้ส่วนใหญ่ในเซ็นทรัลพาร์กถูกปลูกหรือวางด้วยมือ มีการปลูกหรือนำเข้าต้นไม้ พุ่มไม้ และพืชมากกว่า 4 ล้านต้นจากประมาณ 1,500 สายพันธุ์[10] ในช่วงแรก ๆ ของการก่อตั้งเซ็นทรัลพาร์ก มีการบำรุงรักษาเรือนเพาะชำสองแห่งภายในสวน ได้แก่ เรือนเพาะชำที่ถูกรื้อถอนไปแล้วใกล้อาร์เซนอล และเรือนเพาะชำที่ยังคงอยู่ คือ คอนเซอร์เวทอรีการ์เดน[339] ต่อมาองค์การอนุรักษ์เซ็นทรัลพาร์กได้เข้ามาดูแลการบำรุงรักษาพรรณพืชในสวนอย่างสม่ำเสมอ โดยแบ่งเจ้าหน้าที่ดูแลสวนออกเป็น 49 โซนเพื่อการบำรุงรักษา[340]

เซ็นทรัลพาร์กมีกลุ่มต้นไม้ "Great Tree" 10 กลุ่มที่ได้รับการยกย่องเป็นพิเศษจากกีมอุทยานนครนิวยอร์ก ได้แก่ อเมริกันเอล์ม 4 ต้น และกลุ่มเอล์มอีก 1 กลุ่ม; สนเขา 600 ต้นในอาเทอร์ รอสส์ ไพน์ทัม; แบล็กทูเพโล 1 ต้นเดอะแรมเบิล; ซากุระพันธุ์โยชิโนะ 35 ต้นทางฝั่งตะวันออกของอ่างเก็บน้ำโอนาสซิส; ลอนดอนเพลนที่เก่าแก่ที่สุดต้นหนึ่งของสวน ตั้งอยู่ที่ถนนที่ 96; เททราเดียม (เดิมชื่อยูโอเดีย) 1 ต้นที่เฮกเชอร์เพลย์กราวนด์[338][341] อเมริกันเอล์มในเซ็นทรัลพาร์กเป็นกลุ่มต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ โดยได้รับการปกป้องจากโรคดัตช์เอล์มซึ่งทำลายต้นไม้ชนิดนี้ไปทั่วพื้นที่เดิม[337] ภายในเซ็นทรัลพาร์กยังมีเส้นทางเดินชมต้นไม้หลายเส้นทางให้เลือกอีกด้วย[336]

พรรณสัตว์

[แก้]
Female northern cardinal perched on a branch looking to its left
นกคาร์ดินัลเหนือตัวเมีย หนึ่งในสายพันธุ์นกที่พบในเซ็นทรัลพาร์ก

เซ็นทรัลพาร์กเป็นแหล่งอาศัยของนกอพยพหลายชนิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงตามเส้นทางนกอพยพแอตแลนติก[342] รายชื่อนกอย่างเป็นทางการฉบับแรกที่พบนกในเซ็นทรัลพาร์ก ซึ่งมีจำนวน 235 สายพันธุ์ ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร Forest and Stream ใน ค.ศ. 1886 โดยออกัสตัส จี. เพน จูเนียร์ และลูอิส บี. วูดรัฟฟ์[343][344] โดยรวมแล้ว มีนก 303 สายพันธุ์ที่พบในสวนแห่งนี้ตั้งแต่มีการเผยแพร่รายการบันทึกอย่างเป็นทางการฉบับแรก[342] และคาดว่ามีนก 200 สายพันธุ์ที่พบในแต่ละฤดูกาล[345] ไม่มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งรับผิดชอบการติดตามชนิดของนกในเซ็นทรัลพาร์ก[346] นกที่มีชื่อเสียงบางส่วน ได้แก่ เหยี่ยวหางแดงเพศผู้ชื่อเพล เมล ซึ่งมาเกาะบนอาคารอพาร์ตเมนต์ที่มองเห็นเซ็นทรัลพาร์กใน ค.ศ. 1991[347][348] และเป็ดแมนดารินที่ได้รับฉายาว่า Mandarin Patinkin ได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลกในช่วงปลาย ค.ศ. 2018 และต้น ค.ศ. 2019[349] ด้วยมีรูปลักษณ์ที่สวยงามและเป็นสายพันธุ์ที่อยู่นอกถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออก[350] นกอีกตัวหนึ่งคือนกเค้าแมวยูเรเชียชื่อฟลาโก ได้รับความสนใจใน ค.ศ. 2023 เมื่อมันหนีออกจากสวนสัตว์เซ็นทรัลพาร์กหลังกรงของมันถูกทำลาย[351] ที่โด่งดังกว่านั้นคือยูจีน ชิฟเฟอลินได้ปล่อยนกนางแอ่นยุโรปนำเข้าจำนวน 100 ตัวในเซ็นทรัลพาร์กใน ค.ศ. 1890–1891 ซึ่งทำให้นกชนิดนี้กลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นทั่วอเมริกาเหนือ[352][353]

เซ็นทรัลพาร์กมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประมาณสิบสายพันธุ์ ณ ค.ศ. 2013[332] ค้างคาวซึ่งเป็นสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืนสามารถพบได้ตามซอกหลืบมืด[354] เนื่องจากมีแร็กคูนชุกชุม กรมอุทยานจึงออกประกาศเตือนเรื่องโรคพิษสุนัขบ้า[355] กระรอกเทาตะวันออก ชิปมังก์ตะวันออก และโอพอสซัมเวอร์จิเนียอาศัยอยู่ในสวน[356] การสำรวจจำนวนกระรอกใน ค.ศ. 2019 พบว่ามีกระรอกเทาตะวันออก 2,373 ตัวในเซ็นทรัลพาร์ก[357] นอกจากนี้เซ็นทรัลพาร์กยังเป็นที่อยู่อาศัยของหมาป่าไคโยตีด้วย[358]

ในเซ็นทรัลพาร์กมีสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง 223 สายพันธุ์[332] โดย นันนาร์รัปฮอฟฟ์แมนนี ซึ่งเป็นตะขาบชนิดหนึ่งที่ค้นพบในเซ็นทรัลพาร์กเมื่อ ค.ศ. 2002 ถือเป็นหนึ่งในตะขาบที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ด้วยความยาวประมาณ 0.4 นิ้ว (10 มิลลิเมตร)[359] ส่วนด้วงเขายาวเอเชีย ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่แพร่ระบาด ได้เข้าทำลายต้นไม้ในลองไอแลนด์และแมนแฮตตัน รวมถึงในเซ็นทรัลพาร์กด้วย[360][361]

เต่า ปลา และกบอาศัยอยู่ในเซ็นทรัลพาร์ก[332] มีเต่าอยู่ห้าชนิด ได้แก่ เต่าแก้มแดง เต่าสแนปปิง เต่าเพนท์ เต่ามัสก์ และเต่ากล่อง[310] เต่าส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเทอร์เทิลพอนด์และหลายตัวเคยเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกนำมาปล่อยในสวน[331] ส่วนปลาจะกระจายอยู่ทั่วไป แต่ก็มีปลาอีกหลายชนิด[362] เช่น ปลาช่อน ซึ่งเป็นสายพันธุ์ต่างถิ่น[363] สามารถตกแบบจับแล้วปล่อยได้ที่เดอะเลก, เดอะพอนด์ และฮาร์เล็มเมียร์[362][364] เซ็นทรัลพาร์กเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำสองชนิด ได้แก่ กบอเมริกันบูลฟร็อกและกบเขียว[365] ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 สวนสาธารณะแห่งนี้มีงูอาศัยอยู่[366] แต่มารี วินน์ ผู้เขียนเรื่องสัตว์ป่าในเซ็นทรัลพาร์ก กล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อ ค.ศ. 2008 ว่างูได้ตายไปหมดแล้ว[367]

สถานที่สำคัญและสิ่งก่อสร้าง

[แก้]

ลานและทางเข้า

[แก้]
อนุสรณ์สถานแห่งชาติยูเอสเอส เมนที่ประตูเมอร์แชนส์ในสวน

เซ็นทรัลพาร์กล้อมรอบด้วยกำแพงหินยาว 29,025 ฟุต (8,847 เมตร) สูง 3 ฟุต 10 นิ้ว (117 เซนติเมตร) ตอนแรกมีประตู 18 บานที่ไม่มีชื่อ[368] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1862 คณะกรรมการเซ็นทรัลพาร์กมีมติให้ตั้งชื่อประตูแต่ละบานตาม "อาชีพที่ทำให้เมืองนี้มีลักษณะเป็นมหานคร" เช่น คนงานเหมือง นักวิชาการ ศิลปิน หรือนายพราน[368][369] จนถึงปลายศตวรรษที่ 20 สวนแห่งนี้มีประตูที่ตั้งชื่อแล้ว 20 บาน[370][371] โดย 4 บานสามารถเข้าถึงได้จากลานที่มุมทั้งสี่ของสวน[5][370] ไม่มีการเพิ่มประตูที่ตั้งชื่อใหม่ระหว่าง ค.ศ. 1862 ถึง 2022[372] กระทั่งมีการอุทิศประตูแห่งการพ้นผิด (Gate of the Exonerated) ที่ถนนเลนน็อกซ์และเซ็นทรัลพาร์กนอร์ท เพื่อเป็นเกียรติแก่เซ็นทรัลพาร์กไฟว์[373]

โคลัมบัสเซอร์เคิลเป็นวงเวียนอยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงใต้ของเซ็นทรัลพาร์ก ตรงจุดตัดของถนนเซ็นทรัลพาร์กเวสต์/ถนนที่ 8 บรอดเวย์ และถนนที่ 59 (เซ็นทรัลพาร์กเซาท์)[5][374] สร้างขึ้นในทศวรรษ 1860[374] มีทางเข้าสวนชื่อเมอร์แชนส์เกต[370] และจุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดคืออนุสาวรีย์โคลัมบัส[374][375] และเคยเป็นประเด็นถกเถียงในช่วงทศวรรษ 2010[376][377] ส่วนอนุสรณ์สถานแห่งชาติยูเอสเอส เมน สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1913 อยู่บริเวณทางเข้าสวนพอดี[378]

จัตุรัสแกรนด์อาร์มีพลาซาตั้งอยู่ทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ของสวน ที่จุดตัดของถนนที่ 5 และถนนที่ 59[5] สิ่งโดดเด่นที่สุดคือน้ำพุพูลิตเซอร์ ซึ่งแล้วเสร็จใน ค.ศ. 1916 พร้อมกับจัตุรัสแห่งนี้[379] จัตุรัสนี้มีอนุสาวรีย์วิลเลียม ทีคัมเซห์ เชอร์แมน ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1903[380]

ดุก เอลลิงตันเซอร์เคิล อยู่ที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จุดตัดของถนนที่ 5 กับถนนเซ็นทรัลพาร์กนอร์ท/ถนนที่ 110[5] มีอนุสรณ์ดุก เอลลิงตัน แล้วเสร็จใน ค.ศ. 1997[381] อยู่ภายในวงเวียน และอยู่ติดกับประตูไพโอเนียส์[370]

เฟรเดอริก ดักลาสเซอร์เคิล อยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือ ที่จุดตัดของถนนเซ็นทรัลพาร์กเวสต์/ถนนที่ 8 และถนนเซ็นทรัลพาร์กนอร์ท/ถนนที่ 110[5] ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ดักลาสใน ค.ศ. 1950[382] ใจกลางวงเวียนมีอนุสรณ์เฟรเดอริก ดักลาส ซึ่งสร้างขึ้นใน ค.ศ. 2011[383]

สิ่งปลูกสร้าง

[แก้]
Main facade of the Metropolitan Museum of Art
พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน อาคารฟิฟท์แอเวนู
Bethesda Terrace and Fountain with people walking on the Central Park Mall
เบเทสดาเทอร์เรซแอนด์ฟาวเทน
A stone bridge above a lake, with autumn foliage on either side
สะพานแกปสโตว์ในฤดูใบไม้ร่วง

เดนาดิสคัฟเวอรีเซ็นเตอร์สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1993 ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสวน บนชายฝั่งทางเหนือของฮาร์เล็มเมียร์[5][282][304] ป้อมหมายเลข 1 สิ่งปลูกสร้างที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงอยู่ภายในเซ็นทรัลพาร์กและถูกสร้างขึ้นก่อนจะมีการสร้างสวน ตั้งอยู่ในส่วนตะวันตกเฉียงเหนือของสวน โดยถูกสร้างขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของฟอร์ตคลินตันในช่วงสงคราม ค.ศ. 1812[282][384][304] ตัวป้อมอยู่ใกล้กับแมกโกแวนส์พาส ซึ่งเป็นส่วนที่เคยเป็นที่ตั้งของฟอร์ตฟิชและนัตเตอส์แบตเตอรี่[385] ลาสเกอร์ริงก์ ลานสเก็ตน้ำแข็งและสระว่ายน้ำ เคยตั้งอยู่ทางมุมตะวันตกเฉียงใต้ของฮาร์เล็มเมียร์[386] คอนเซอร์เวทอรีการ์เดน ซึ่งเป็นสวนอย่างเป็นทางการเพียงแห่งเดียวของสวน มีทางเข้าผ่านประตูแวนเดอร์บิลต์ที่ถนนที่ 5 และถนนที่ 105[5][387] ทาร์แฟมิลีเพลย์กราวนด์ นอร์ทเมโดว์รีครีเอชันเซ็นเตอร์ สนามเทนนิส และอีสต์เมโดว์ตั้งอยู่ระหว่างล็อกทางทิศเหนือและอ่างเก็บน้ำทางทิศใต้[5][388] นอร์ทวูดส์ครอบคลุมพื้นที่ที่เหลือของส่วนหนึ่งในสามทางตอนเหนือของสวน พื้นที่ทางตอนเหนือของสวนได้รับการพัฒนาภายหลังส่วนทางใต้และไม่ค่อยมีคนมาใช้งานมากนัก จึงมีสิ่งปลูกสร้างหลายอย่างที่ไม่มีชื่อเรียก[389] โดยพื้นที่ส่วนเหนือของสวนนี้ตั้งใจให้เป็น "ส่วนธรรมชาติ" ซึ่งต่างจาก "ส่วนทุ่งหญ้า" ที่จัดภูมิทัศน์ทางตอนใต้[87]

พื้นที่ระหว่างถนนที่ 86 และ 96 ส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งของอ่างเก็บน้ำโอนาสซิส ทางตอนใต้ของอ่างเก็บน้ำเป็นที่ตั้งของเกรตลอว์นและเทอร์เทิลพอรด์ โดยมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน อาคารฟิฟท์แอเวนู อยู่ทางทิศตะวันออก มีเทอร์เทิลพอนด์อยู่ทางทิศใต้ และมี ซัมมิตร็อกอยู่ทางทิศตะวันตก[5] ซัมมิตร็อก ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดในเซ็นทรัลพาร์กที่ความสูง 137.5 ฟุต (41.9 เมตร),[390][391] ติดกับไดอานา รอสส์เพลย์กราวนด์ทางทิศใต้และที่ตั้งของหมู่บ้านเซเนกา ซึ่งเป็นที่ตั้งของโทลล์แฟมิลีเพลย์กราวนด์ทางทิศเหนือ[5] ชายฝั่งตะวันตกของเทอร์เทิลพอนด์ประกอบด้วยปราสาทเบลเวเดียร์, โรงละครเดลาคอร์ต, สวนเช็กสเปียร์ และโรงละครหุ่นกระบอก[5] ส่วนระหว่างถนนที่ 79 ตัดขวางและถนนเทอร์เรซที่ถนนที่ 72 ประกอบด้วยลักษณะทางธรรมชาติหลักสามอย่าง ได้แก่ พื้นที่ป่าแรมเบิล, เลกรูปตัว L และคอนเซอร์เวทอรีวอเทอร์ เชอร์รีฮิลล์อยู่ทางตอนใต้ของเลก และมีซีดาร์ฮิลล์อยู่ทางทิศตะวันออก[5][282]

เซ็นทรัลพาร์กส่วนที่อยู่ใต้ถนนเทอร์เรซเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับเด็กและสิ่งสำคัญอื่น ๆ อีกหลายแห่ง[5] โดยเป็นที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากที่สร้างขึ้นในขั้นแรกของการก่อสร้างเซ็นทรัลพาร์ก ซึ่งออกแบบในสไตล์กอทิกวิกตอเรีย[392] ฝั่งตรงข้ามกับชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเลกคือโถงสองชั้นที่เรียกว่าเบเทสดาเทอร์เรซ ซึ่งมีน้ำพุที่วิจิตรบรรจงอยู่บนชั้นล่าง[392][393][394] เบเทสดาเทอร์เรซเชื่อมต่อกับเซ็นทรัลพาร์กมอลล์ ซึ่งเป็นทางเดินจัดภูมิทัศน์และเป็นส่วนเดียวที่ถูกจัดอย่างเป็นทางการในแผนกรีนสวอร์ด[5][392] ใกล้กับชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเลกเป็นที่ตั้งของสตรอว์เบอร์รีฟีลส์ อนุสรณ์รำลึกถึงจอห์น เลนนอนที่ถูกฆาตกรรมในบริเวณใกล้เคียง[5][395] ชีปเมโดว์ สนามหญ้าที่เดิมตั้งใจจะใช้เป็นลานสวนสนาม[396] และทาเวิร์นออนเดอะกรีน ร้านอาหาร[5] ส่วนชายแดนทางใต้ของเซ็นทรัลพาร์กเป็นที่ตั้งของ "เขตเด็ก"[397] พื้นที่ที่มีเฮกเชอร์เพลย์กราวนด์, ม้าหมุนเซ็นทรัลพาร์ก, บอลเพลเยอส์เฮาส์ และเชสแอนด์เชกเกอร์สเฮาส์[5][397] วูลแมนริงก์/วิกตอเรียนการ์เดนส์, สวนสัตว์เซ็นทรัลพาร์ก และสวนสัตว์สำหรับเด็ก, อาร์เซนอล, พอนด์ และเขตรีกษาพันธุ์ธรรมชาติฮัลเลตต์ก็อยู่ในบริเวณใกล้เคียง[5][282] อาร์เซนอลเป็นอาคารอิฐแดงออกแบบโดยมาร์ติน อี. ทอมป์สันใน ค.ศ. 1851 และเป็นที่ทำการกรมอุทยานนครนิวยอร์กมาตั้งแต่ ค.ศ. 1934[398][399]

ในเซ็นทรัลพาร์กมีสนามเด็กเล่น 21 แห่ง โดยสนามที่ใหญ่ที่สุดคือเฮกเชอร์เพลย์หราวนด์ มีขนาด 3 เอเคอร์ (1.2 เฮกตาร์)[12] ภายในสวนมีสะพานประดับ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีดีไซน์แตกต่างกันไป[400][401][398] สะพานส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบในสไตล์ฟื้นฟูกอทิกหรือฟื้นฟูโรมาเนสก์และสร้างจากไม้ หิน หรือเหล็กหล่อ[398] เดิมทีมีศาลาพักและสิ่งปลูกสร้างแบบ "ชนบท" กระจายอยู่ทั่วสวน แต่ส่วนใหญ่ถูกรื้อถอนไปตามกาลเวลา และบางแห่งก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่[398][402][403] สวนแห่งนี้มีม้านั่งประมาณ 9,500 ตัวในสามรูปแบบ เกือบครึ่งหนึ่งมีป้ายสลักขนาดเล็กซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "Adopt-a-Bench" ของเซ็นทรัลพาร์ก ข้อความบนป้ายสลักมักเป็นข้อความสั้น ๆ ที่บ่งบอกความเป็นส่วนตัว และสามารถติดตั้งได้ในราคาอย่างน้อย 10,000 ดอลลาร์ต่อชิ้น สำหรับ "ม้านั่งทำมือแบบชนบท" อาจมีราคาสูงกว่าครึ่งล้านดอลลาร์ และจะมอบให้เมื่อผู้ที่ได้รับเกียรติเป็นผู้สนับสนุนโครงการใหญ่ของสวนเท่านั้น[404][405]

ศิลปะและอนุสรณ์

[แก้]

ประติมากรรม

[แก้]
Bethesda Fountain angel at the center of a brick plaza
Angel of the Waters (1873) ในน้ำพุเบเทสดา

ในอาณาเขตของเซ็นทรัลพาร์กมีการจัดแสดงประติมากรรม 29 ชิ้น[392][406][407] ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกรีนสวอร์ด แต่ถูกนำมาจัดแสดงเพื่อเอาใจผู้บริจาคที่มีฐานะร่ำรวยเนื่องจากความนิยมในงานศิลปะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19[159][408][409] แม้ว่าว็อกซ์และโมลด์จะเคยเสนอให้มีรูปปั้น 26 ชิ้นในเทอร์เรซใน ค.ศ. 1862 แต่ก็ถูกยกเลิกเพราะมีราคาแพงเกินไป [408] มีการเพิ่มประติมากรรมเข้ามาอีกตลอดช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และเมื่อถึงทศวรรษ 1890 ก็มีประติมากรรมอยู่ในสวน 24 ชิ้น[410]

มีรูปปั้นครึ่งตัวของนักเขียนและกวีหลายคนตั้งอยู่ที่ลิเทอแรรีวอล์กซึ่งอยู่ติดกับเซ็นทรัลพาร์กมอลล์[392][411][412] รูปปั้นกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งอยู่รอบสวนสัตว์และคอนเซอร์วานซีวอเทอร์ เป็นรูปปั้นตัวละครจากเรื่องเล่าสำหรับเด็ก รูปปั้นกลุ่มที่สามส่วนใหญ่แสดง "หัวข้อเกี่ยวกับธรรมชาติ" เช่น สัตว์และนายพราน[392]

รูปปั้นหลายชิ้นมีความโดดเด่นเนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และลักษณะภูมิประเทศของมัน[392] Alice in Wonderland Margaret Delacorte Memorial (1959) เป็นรูปปั้นของอลิซ ตั้งอยู่ที่คอนเซอร์เวทอรีวอเทอร์[413][414] Angel of the Waters (1873) โดยเอ็มมา สเต็บบินส์ เป็นประติมากรรมหลักของน้ำพุเบเทสดา;[394][408] รูปปั้นนขนาดใหญ่ชิ้นแรกที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ผู้หญิงอเมริกันสร้าง[415] และเป็นรูปปั้นเพียงชิ้นเดียวที่รวมอยู่ในแผนการออกแบบสวนดั้งเดิม[408] Balto (1925) รูปปั้นของสุนัขลากเลื่อนบัลโต ที่มีชื่อเสียงในช่วงการขนส่งเซรั่มสู่โนม ค.ศ. 1925 ตั้งอยู่ใกล้กับถนนอีสต์และถนนที่ 66 ตะวันออก[416] King Jagiello Monument (1939) เป็นอนุสาวรีย์สัมฤทธิ์ที่ติดตั้งใน ค.ศ. 1945 ตั้งอยู่ที่ปลายด้านตะวันออกของเทอร์เทิลพอนด์[417] Women's Rights Pioneers Monument (2020) เป็นอนุสาวรีย์ของโซเจอร์เนอร์ ทรูท, ซูซาน บี. แอนโทนี และเอลิซาเบธ เคดี สแตนตัน[418] เป็นรูปปั้นแรกในเมืองที่สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เป็นผู้หญิง[419][420]

โครงสร้างและนิทรรศการ

[แก้]
An obelisk named Cleopatra's Needle
เข็มของคลีโอพัตรา สิ่งปลูกสร้างฝีมือมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในสวน

เข็มของคลีโอพัตรา เสาหินโอเบลิสก์แกรนิตสีแดงทางตะวันตกของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน[5] เป็นสิ่งปลูกสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นที่เก่าแก่ที่สุดในเซ็นทรัลพาร์ก[421] เข็มในเซ็นทรัลพาร์กเป็นหนึ่งในสามของเข็มคลีโอพัตราที่เดิมทีสร้างขึ้นที่วิหารราในแฮลิอูโปลิสในอียิปต์โบราณราว 1450 ปีก่อนคริสตกาลโดยฟาโรห์ทุตโมสที่ 3[421][422][423] อักษรไฮโรกลิฟสลักขึ้นในอีกประมาณ 200 ปีต่อมาโดยฟาโรห์แรเมซีสที่ 2 เพื่อฉลองชัยทางทหารของพระองค์ เสาหินเหล่านี้ได้ชื่อนี้เพราะต่อมาถูกย้ายไปไว้ด้านหน้าซีซาเรียมในอะเล็กซานเดรีย ซึ่งเป็นวิหารที่คลีโอพัตราที่ 7 แห่งอียิปต์สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่มาร์ก แอนโทนี[424] เข็มในเซ็นทรัลพาร์กมาถึงปลาย ค.ศ. 1880 และได้รับการอุทิศในช่วงต้นปีถัดไป[421][423]

สตรอว์เบอร์รีฟีลส์ เป็นอนุสรณ์รำลึกถึงจอห์น เลนนอน ตั้งอยู่ใกล้ถนนเซ็นทรัลพาร์กเวสต์และถนนที่ 72 ซึ่งเขาถูกลอบสังหารนอกอาคารอพาร์ตเมนต์ดาโคตาที่อยู่ใกล้เคียง[5] ทางการนิวยอร์กอุทิศสตรอว์เบอร์รีฟีลดส์เพื่อเป็นเกียรติแก่จอห์น เลนนอนในเดือนเมษายน ค.ศ. 1981[425] และอนุสรณ์นี้ได้รับการสร้างใหม่และอุทิศอีกครั้งในวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1985 ซึ่งจะเป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 45 ปีของเลนนอน[426] ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ร่วมบริจาคต้นไม้ และประเทศอิตาลีบริจาคกระเบื้องโมเสกรูป "Imagine" ที่อยู่ใจกลางอนุสรณ์ นับตั้งแต่นั้นมา ที่นี่ได้กลายเป็นสถานที่สำหรับรวมตัวกันเพื่อรำลึกถึงบุคคลสำคัญอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน[427][428]

ตลอด 16 วันใน ค.ศ. 2005 เซ็นทรัลพาร์กเป็นสถานที่จัดแสดง เดอะเกตส์ งานศิลปะจัดวางของคริสโตและฌอง-โคลด ที่มีการวางแผนมาตั้งแต่ ค.ศ. 1979[429] แม้ว่าโครงการนี้จะได้รับปฏิกิริยาที่หลากหลาย แต่ก็เป็นจุดดึงดูดสำคัญของสวนในช่วงเวลาที่จัดแสดง โดยมีผู้เข้าชมมากกว่าหนึ่งล้านคน[430]

ภัตตาคาร

[แก้]

เซ็นทรัลพาร์กมีภัตตาคารในอาคารสองแห่ง ทาเวิร์นออนเดอะกรีน ตั้งอยู่ที่เซ็นทรัลพาร์กเวสต์และถนนที่ 67 ตะวันออก สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1870 เป็นคอกแกะและถูกดัดแปลงเป็นภัตตาคารใน ค.ศ. 1934[181][183][184] ได้รับการขยายระหว่าง ค.ศ. 1974 ถึง 1976 ปิดตัวลงใน ค.ศ. 2009 และเปิดทำการอีกครั้งในห้าปีต่อมาหลังได้รับการปรับปรุงใหม่[431][432] ภัตตาคารโลบโบตเฮาส์อยู่ที่โลบโบตเฮาส์ซึ่งตั้งอยู่ริมเลก ใกล้ถนนที่ 5 ระหว่างถนนที่ 74 และ 75[187][188] แม้จะถูกสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1954[188] แต่ภัตตาคารเพิ่งเปิดใน ค.ศ. 1983[433]

กิจกรรม

[แก้]

การคมนาคม

[แก้]

ปัญหา

[แก้]

ผลกระทบ

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "National Register Information System". National Register of Historic Places. National Park Service. January 23, 2007.
  2. "Cultural Resource Information System (CRIS)". สำนักงานสวนสาธารณะ นันทนาการ และการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์รัฐนิวยอร์ก. November 7, 2014. สืบค้นเมื่อ July 20, 2023.
  3. Landmarks Preservation Commission 1974, p. 1 (PDF p. 2).
  4. 1 2 "Central Park Running Map" (PDF). Central Park Conservancy. 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ November 23, 2018. สืบค้นเมื่อ April 1, 2019.
  5. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 "Central Park Map" (PDF). Central Park Conservancy. 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ October 5, 2019. สืบค้นเมื่อ April 1, 2019.
  6. "Central Park Conservancy—Official Central Park Tours". NYC The Official Guide. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 23, 2019. สืบค้นเมื่อ April 23, 2019.
  7. "Visitor Centers". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 3, 2019. สืบค้นเมื่อ April 23, 2019.
  8. Waxman, Sarah. "History of Central Park, New York". ny.com. สืบค้นเมื่อ October 28, 2023.
  9. 1 2 3 4 5 Kinkead 1990, pp. 57–58.
  10. 1 2 3 4 5 6 Rosenzweig & Blackmar 1992, p. 150.
  11. 1 2 3 Kinkead 1990, p. 35.
  12. 1 2 "Central Park Playgrounds". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 21, 2019. สืบค้นเมื่อ April 13, 2019.
  13. "Running". Central Park Conservancy. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 13, 2019. สืบค้นเมื่อ April 13, 2019.
  14. Foderaro, Lisa W (May 31, 2013). "Surveying Effort Alters Sizes of Some New York Parks". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 12, 2018. สืบค้นเมื่อ June 7, 2018.
  15. 1 2 3 "About Us". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 26, 2014. สืบค้นเมื่อ March 25, 2014.
  16. "Frequently Asked Questions". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 20, 2017. สืบค้นเมื่อ February 1, 2017.
  17. "Census Tract 143, New York, NY". U.S. Census Bureau. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 19, 2018. สืบค้นเมื่อ July 11, 2006.
  18. Feuer, Alan (March 25, 2011). "Census Apparently Did Check Behind Every Tree". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 23, 2018. สืบค้นเมื่อ April 11, 2019.
  19. "America's Most Visited City Parks" (PDF). The Trust for Public Land. June 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ July 25, 2006. สืบค้นเมื่อ July 11, 2006.
  20. "The World's Most-visited Tourist Attractions". Travel + Leisure. November 10, 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 16, 2019. สืบค้นเมื่อ May 18, 2019.
  21. Van Buren, Alex (January 27, 2016). "12 Secrets of New York's Central Park". Smithsonian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 20, 2019. สืบค้นเมื่อ May 18, 2019.
  22. 1 2 Central Park Conservancy 2011, p. 9.
  23. 1 2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Crain's New York Business 2009
  24. Central Park Conservancy 2011, p. 12.
  25. 1 2 Glueck, Grace (December 14, 1980). "Mayor Koch Sets Up Conservancy for Central Park". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  26. 1 2 "Central Park gets its own fund-raisers". New York Daily News. December 18, 1980. p. 181. สืบค้นเมื่อ March 30, 2019 โดยทาง newspapers.com.
  27. 1 2 Martin, Douglas (February 12, 1998). "Private Group Signs Central Park Deal To Be Its Manager". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  28. "The Central Park Effect: Assessing the Value of Central Park's Contribution to New York City's Economy" (PDF). Central Park Conservancy. November 2015. pp. 45–46. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  29. Gorce, Tammy La (March 17, 2017). "New York Has 77 Police Precincts. Why Do Their Numbers Go Higher?". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 4, 2019. สืบค้นเมื่อ September 4, 2019.
  30. "NYPD – Central Park Precinct". New York City Police Department. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 5, 2017. สืบค้นเมื่อ October 3, 2016.
  31. "22nd Precinct CompStat Report" (PDF). New York City Police Department. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ April 13, 2018. สืบค้นเมื่อ July 22, 2018.
  32. Croft, Geoffrey (September 2, 2009). "City must PEP up and hire more park patrol officers". New York Daily News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  33. Santora, Marc (August 20, 2005). "Cruising the Park, Finding Trouble". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  34. 1 2 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 23, 25.
  35. Heckscher 2008, p. 9.
  36. Todd 1982, p. 73.
  37. "Unearthing the City Grid That Would Have Been in Central Park". The New Yorker. January 8, 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 6, 2019. สืบค้นเมื่อ March 28, 2019.
  38. 1 2 Reynolds 1994, pp. 320–321.
  39. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 18–19.
  40. Heckscher 2008, pp. 11–12.
  41. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 15, 29–30.
  42. New York State Assembly (1911). Documents of the Assembly of the State of New York. Vol. 29. pp. 451–453. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 5, 2019.
  43. Taylor 2009, p. 258.
  44. Berman 2003, p. 17.
  45. 1 2 3 Rosenzweig & Blackmar 1992, p. 45.
  46. Taylor 2009, p. 259.
  47. 1 2 Heckscher 2008, pp. 12, 14.
  48. Kinkead 1990, p. 16.
  49. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 51–53.
  50. 1 2 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 81–83.
  51. 1 2 Heckscher 2008, p. 17.
  52. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 55–56.
  53. Taylor 2009, pp. 261–262.
  54. Williams, Keith (February 7, 2018). "Uncovering the Ruins of an Early Black Settlement in New York". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 31, 2019. สืบค้นเมื่อ March 31, 2019.
  55. Blakinger, Keri (May 17, 2016). "A look at Seneca Village, the early black settlement obliterated by the creation of Central Park". New York Daily News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 18, 2016. สืบค้นเมื่อ March 31, 2019.
  56. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 73–74.
  57. Rines, George Edwin; Beach, Frederick Converse, บ.ก. (1903). "Central City – Central Park". The Encyclopedia Americana. Vol. 4. The Americana Company.
  58. 1 2 Martin, Douglas (January 31, 1997). "A Village Dies, A Park Is Born". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 26, 2017. สืบค้นเมื่อ April 11, 2019.
  59. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 89–90.
  60. "The Central Park—The Assessment Completed". The New York Times. October 4, 1855. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 1, 2019. สืบค้นเมื่อ April 1, 2019.
  61. "Seneca Village". Columbia University. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 22, 2019. สืบค้นเมื่อ September 17, 2019.
  62. Berman 2003, p. 19.
  63. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 46–47.
  64. Kinkead 1990, p. 17.
  65. Reed, Henry Hope; McGee, Robert M.; Mipaas, Esther (1990). Bridges of Central Park. Greensward Foundation. ISBN 978-0-93131-106-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 13, 2017. สืบค้นเมื่อ May 9, 2020.
  66. "Treaty with Russia for the Purchase of Alaska". Library of Congress. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 29, 2015. สืบค้นเมื่อ August 30, 2015.
  67. 1 2 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 96–97.
  68. Kinkead 1990, p. 18.
  69. Berman 2003, p. 21.
  70. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 100–101.
  71. "General Egbert E. Viele". Brooklyn Daily Eagle. April 23, 1902. p. 3. สืบค้นเมื่อ March 30, 2019 โดยทาง Brooklyn Public Library; newspapers.com.
  72. Berman 2003, p. 20.
  73. New York City Department of Parks and Recreation 1858, PDF pp. 8–12.
  74. 1 2 3 "Sixteenth Annual Report, 1911, of the American Scenic and Historic Preservation Society". First-thirtieth Annual Report ... 1896–1925 to the Legislature of the State of New York. American Scenic and Historic Preservation Society. 1911. p. 474.
  75. "The Central Park; Report of the Commissioners of the Central Park in Reply to the Inquiries of the State Senate". The New York Times. March 13, 1860. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 4, 2019. สืบค้นเมื่อ April 4, 2019.
  76. Heckscher 2008, p. 18.
  77. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 102–103.
  78. 1 2 Heckscher 2008, p. 20.
  79. Kinkead 1990, pp. 24–25.
  80. 1 2 3 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 111–112.
  81. 1 2 Heckscher 2008, p. 21.
  82. New York City Department of Parks and Recreation 1858, PDF pp. 29–30.
  83. "The Central Park Plans". The New York Times. April 30, 1858. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 1, 2019. สืบค้นเมื่อ April 1, 2019.
  84. 1 2 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 117–120.
  85. Heckscher 2008, pp. 23–24.
  86. "The Central Park; Exhibition of the Unsuccessful Plans for the Central Park". The New York Times. May 13, 1858. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 1, 2019. สืบค้นเมื่อ April 1, 2019.
  87. 1 2 3 4 Reynolds 1994, p. 321.
  88. 1 2 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 130–135.
  89. 1 2 Scobey 2002, p. 20.
  90. Taylor 2009, p. 266.
  91. Olmsted 1852, p. 83.
  92. "The History of Birkenhead Park". Metropolitan Borough of Wirral. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 26, 2008. สืบค้นเมื่อ March 26, 2008.
  93. Brocklebank 2003, pp. 32–33.
  94. Foderaro, Lisa W. (October 30, 2019). "The Parks That Made the Man Who Made Central Park". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ August 29, 2020.
  95. Taylor 2009, pp. 267–268.
  96. Kinkead 1990, p. 51.
  97. Dolkart, Andrew S. "The Architecture and Development of New York City". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 5, 2008. สืบค้นเมื่อ October 20, 2014.
  98. 1 2 Kinkead 1990, p. 52.
  99. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 170–172.
  100. 1 2 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 159–160.
  101. "William H. Grant, C.E". The New York Times. October 12, 1896. p. 5. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2019. สืบค้นเมื่อ March 30, 2019 โดยทาง newspapers.com.
  102. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 163–165.
  103. Heckscher 2008, pp. 40–41.
  104. 1 2 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 166–167.
  105. New York City Department of Parks and Recreation 1865, pp. 20–21 (PDF pp. 19–20).
  106. 1 2 3 Taylor 2009, pp. 288–289.
  107. 1 2 Berman 2003, p. 41.
  108. "Ordinances of the Central Park". New York Herald. June 5, 1870. p. 12. สืบค้นเมื่อ March 30, 2019 โดยทาง newspapers.com.
  109. Homberger 1994, pp. 88–89.
  110. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 161–162.
  111. 1 2 New York City Department of Parks and Recreation 1858, PDF pp. 31–35.
  112. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 173–175.
  113. Taylor 2009, pp. 282–283.
  114. 1 2 3 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 176–177.
  115. "New York City; Dr Charles Mackay, on English Songs and Song-Writers". The New York Times. December 11, 1857. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 7, 2019. สืบค้นเมื่อ April 7, 2019.
  116. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 178–179.
  117. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 151–152.
  118. Heckscher 2008, pp. 47–48.
  119. Kinkead 1990, p. 31.
  120. "The Central Park; Progress of the Work—Its Present Condition, and the Prospects of its being Opened to the Public". The New York Times. November 11, 1858. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2019. สืบค้นเมื่อ April 2, 2019.
  121. 1 2 3 4 Kinkead 1990, pp. 32–33.
  122. New York City Department of Parks and Recreation 1859, p. 10 (PDF p. 11).
  123. New York City Department of Parks and Recreation 1859, p. 23 (PDF p. 25).
  124. "Central Park Matters; Plan of Work for the Year". The New York Times. May 1, 1860. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 4, 2019. สืบค้นเมื่อ April 4, 2019.
  125. "The Central Park Investigation; Examination of Mr. Olmsted". The New York Times. June 28, 1860. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ April 9, 2019.
  126. 1 2 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 184–186.
  127. "The Central Park Investigation; Expenses and General Management". The New York Times. November 23, 1860. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ April 9, 2019.
  128. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 188–189.
  129. Heckscher 2008, pp. 37–38.
  130. 1 2 Kinkead 1990, pp. 64–65.
  131. 1 2 3 "Andrew H. Green and Central Park". The New York Times. October 10, 1897. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ April 2, 2019.
  132. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 190–192.
  133. Kinkead 1990, p. 69.
  134. 1 2 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 193–195.
  135. 1 2 3 4 Kinkead 1990, p. 46.
  136. 1 2 Heckscher 2008, pp. 58–59.
  137. New York City Department of Parks and Recreation 1861, p. 16 (PDF p. 19).
  138. New York City Department of Parks and Recreation 1864, pp. 7–8.
  139. 1 2 Kadinsky 2016, p. 42.
  140. Rosenzweig & Blackmar 1992, p. 222.
  141. Morris 1996, p. 95.
  142. Kinkead 1990, p. 47.
  143. Kinkead 1990, p. 71.
  144. Kinkead 1990, p. 74.
  145. 1 2 3 Kinkead 1990, p. 77.
  146. Rosenzweig & Blackmar 1992, p. 263.
  147. Kinkead 1990, pp. 78–79.
  148. 1 2 "Central Park Improvement". The New York Times. August 25, 1872. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 9, 2019. สืบค้นเมื่อ April 9, 2019.
  149. Kinkead 1990, pp. 86–87.
  150. Heckscher 2008, p. 60.
  151. Rosenzweig & Blackmar 1992, p. 280.
  152. Taylor 2009, p. 292.
  153. Berman 2003, p. 81.
  154. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 281–283.
  155. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 264–266.
  156. Kinkead 1990, pp. 84–85.
  157. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 315–317.
  158. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 386–387.
  159. 1 2 Kinkead 1990, pp. 89–90.
  160. "Renewing Central Park; Detective Management of the Trees and Shrubbery to Be Remedied". The New York Times. October 10, 1886. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 9, 2019. สืบค้นเมื่อ April 9, 2019.
  161. 1 2 Kinkead 1990, pp. 91–93.
  162. "New Central Park Plaza". The New York Times. July 15, 1888. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 14, 2019. สืบค้นเมื่อ April 14, 2019.
  163. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 294–295.
  164. "Samuel Parsons Dismissed". Brooklyn Daily Eagle. May 12, 1911. p. 20. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 23, 2019. สืบค้นเมื่อ March 30, 2019 โดยทาง Brooklyn Public Library; newspapers.com.
  165. 1 2 3 Kinkead 1990, pp. 99–100.
  166. 1 2 Kinkead 1990, pp. 115–116.
  167. "To Oppose Library in Central Park". The New York Times. June 1, 1912. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2019. สืบค้นเมื่อ April 11, 2019.
  168. "To Oppose Stadium in Central Park". The New York Times. December 16, 1919. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2019. สืบค้นเมื่อ April 11, 2019.
  169. "Resist Plan to Rob Park of 41.2 Acres". The New York Times. November 28, 1923. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2019. สืบค้นเมื่อ April 11, 2019.
  170. "Objects to a Park Garage". The New York Times. January 7, 1927. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2019. สืบค้นเมื่อ April 11, 2019.
  171. "Park Bodies Merge In New Association To Speed City Plans". The New York Times. May 14, 1928. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2019. สืบค้นเมื่อ April 11, 2019.
  172. "To Raise $3,000,000 For Central Park". The New York Times. June 22, 1926. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2019. สืบค้นเมื่อ April 22, 2019.
  173. 1 2 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 395–397.
  174. "New Central Park Outlined in Plans". New York Daily News. December 20, 1927. p. 215. สืบค้นเมื่อ March 30, 2019 โดยทาง newspapers.com.
  175. Herrick 1928, p. 5 (PDF p. 6).
  176. "Favors Irrigation For Central Park". The New York Times. March 29, 1927. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 9, 2019. สืบค้นเมื่อ April 9, 2019.
  177. Kinkead 1990, pp. 101–102.
  178. 1 2 Kinkead 1990, pp. 103–105.
  179. 1 2 Caro 1974, p. 334.
  180. 1 2 Stern, Gilmartin & Mellins 1987, p. 710.
  181. 1 2 3 4 5 Kinkead 1990, pp. 106–109.
  182. 1 2 3 4 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 450–451.
  183. 1 2 3 Caro 1974, p. 984.
  184. 1 2 "Central Park's Sheep Join the Fold in Prospect Park". The New York Times. March 18, 1934. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 9, 2019. สืบค้นเมื่อ April 9, 2019.
  185. "Central Park Section Reopened to the Public". The New York Times. December 8, 1943. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2019. สืบค้นเมื่อ April 11, 2019.
  186. "New $305,000 Boathouse at Central Park Lake Will Be Opened Today". The New York Times. March 12, 1954. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  187. 1 2 3 "Loeb Boat House". Central Park Highlights. New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  188. 1 2 3 4 "Loeb Boathouse". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 17, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  189. 1 2 3 Kinkead 1990, pp. 110–111.
  190. Schumach, Murray (April 25, 1956). "Parking Lot Foes Routed By Moses". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2019. สืบค้นเมื่อ April 11, 2019.
  191. "Court Stops Job In Central Park". The New York Times. April 27, 1956. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2019. สืบค้นเมื่อ April 11, 2019.
  192. Kinkead 1990, pp. 112–113.
  193. Rosenzweig & Blackmar 1992, p. 476.
  194. 1 2 3 "History". Central Park Conservancy. August 18, 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 10, 2014. สืบค้นเมื่อ December 20, 2012.
  195. Gregg, John (April 29, 1962). "Manhattan's Changing". New York Daily News. p. 52. สืบค้นเมื่อ March 30, 2019 โดยทาง newspapers.com.
  196. "Housing Plan for Central Park; Scored as 'Absurd' and 'Outrage'". The New York Times. May 7, 1964. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  197. "Golf in Central Park Is Rejected by Morris". The New York Times. November 19, 1964. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  198. "A 'Revolving World's Fair' In Central Park Proposed". The New York Times. October 20, 1966. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  199. Rogers 2018, p. 20.
  200. Calta, Louis (May 20, 1971). "Papp Altering Central Park Theater". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  201. See, for example: Strongin, Theodore (August 18, 1965). "Concert in Park Heard by 73,500". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019; Wilson, John S. (June 18, 1967). "Barbra Streisand's Free Sing-In Jams Sheep Meadow in the Park". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  202. Rosenzweig & Blackmar 1992, p. 489.
  203. "Lindsay and Hoving Give New Skating Rink a Whirl". The New York Times. December 22, 1966. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ January 19, 2020.
  204. Hudson, Edward (June 8, 1973). "Central Park Condition Decried". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  205. Gerston, Jill (November 20, 1974). "Central Park Called Badly Managed;". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  206. Maitland, Leslie (November 12, 1978). "Special Management Plan Urged To Combat Central Park's Decay". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  207. Dembart, Lee (February 28, 1979). "New Central Park Overseer". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  208. 1 2 Slagle, Alton (February 6, 1983). "The Greening of Central Park". New York Daily News. pp. 7, 55 โดยทาง newspapers.com.
  209. Larkin, Kathy (May 6, 1983). "Pruning Central Park". New York Daily News. p. 69. สืบค้นเมื่อ March 30, 2019 โดยทาง newspapers.com.
  210. "1870 Dairy In the Park Reopening". The New York Times. November 16, 1979. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  211. "Central Park's Sheep Meadow, Where the Grass Is Greener, Is Reopened". The New York Times. September 25, 1980. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  212. Murphy, Jean Parker; Ottavino, Kate Burns (1986). "The Rehabilitation of Bethesda Terrace: The Terrace Bridge and Landscape, Central Park, New York". APT Bulletin. 18 (3): 24–38. doi:10.2307/1494116. JSTOR 1494116.
  213. Champe, Peter; Rabinowitz, Mark (1999). "Restoring the Minton Tile Ceiling, Bethesda Terrace Arcade, Central Park, New York City". APT Bulletin. 30 (2–3): 11–16. doi:10.2307/1504635. JSTOR 1504635.
  214. 1 2 Carmody, Deirdre (October 14, 1981). "10-Year Restoration Planned for Central Park". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  215. 1 2 Carmody, Deirdre (October 13, 1984). "Central Park Renews Its Details and Vistas in a Burst of Repairs". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  216. Johnston, Laurie; Anderson, Susan Heller (September 21, 1983). "New York Day by Day; Crown for a Castle". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  217. La Rosa, Paul (September 22, 1983). "Thanks for the facelift". New York Daily News. p. 158. สืบค้นเมื่อ March 30, 2019 โดยทาง newspapers.com.
  218. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 518–519.
  219. Carmody, Deirdre (April 28, 1985). "The City Unveils a Blueprint for Renovating Central Park". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  220. Goldberger, Paul (June 28, 1990). "Review/Architecture; A Restored Grand Army Plaza, With a New Coat for the General". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 21, 2014. สืบค้นเมื่อ April 14, 2010.
  221. Gray, Christopher (September 4, 1988). "Streetscapes: The Central Park Stable; For a Police Station, Restoration of an 1870 Jewel". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  222. Kaufman, Joanne (October 20, 2009). "She Creates Urban Edens". Wall Street Journal. ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 16, 2020. สืบค้นเมื่อ January 16, 2020.
  223. Lyall, Sarah (June 11, 1987). "Garden in Central Park Is Reborn After Neglect". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  224. Kinkead 1990, pp. 144–145.
  225. Anderson, Susan Heller (October 15, 1987). "Trump to Run 2 Ice-Skating Rinks in Central Park". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  226. Faye Kaplan, Lisa (August 18, 1988). "The Zoo Crew". White Plains Journal-News. pp. 23, 24 โดยทาง newspapers.com.
  227. 1 2 3 Howe, Marvine (October 31, 1993). "Neighborhood Report: Central Park; A Rebirth For Upper Park". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  228. Gray, Christopher (May 16, 1993). "Streetscapes: Central Park; Restoration Recalls the 1930s Battle of the Ballfields". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  229. Gray, Christopher (January 2, 1994). "Streetscapes/Central Park's Bridle Paths; The Challenge of Restoring Long-Neglected Trails". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  230. Central Park Conservancy 2014, p. 22.
  231. 1 2 Kennedy, Shawn G. (May 9, 1993). "A Nature Center Blooms in Central Park Woodlands". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  232. Martin, Douglas (October 9, 1997). "City Emerald; Great Lawn Reopens. Will Its Fans Love It to Death?". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2019. สืบค้นเมื่อ April 18, 2019.
  233. 1 2 3 4 Kadinsky 2016, p. 43.
  234. 1 2 Roberts, Sam (May 6, 1993). "131-Year-Old Reservoir Is Deemed Obsolete". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 12, 2018. สืบค้นเมื่อ April 20, 2020.
  235. 1 2 Kifner, John (July 23, 1994). "Central Park Honor for Jacqueline Onassis". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 25, 2018. สืบค้นเมื่อ April 20, 2020.
  236. Lee, Denny (September 3, 2000). "Neighborhood Report: Central Park; Fish Must Find New Homes As Pond Gets a Makeover". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2019. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
  237. Gray, Christopher (June 20, 2004). "Streetscapes/The Central Park Reservoir; A Good Fence Makes The Neighbors Feel Good". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2019. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
  238. Mooney, Jake (July 16, 2006). "Restoring Vaux's Vision, One Tile at a Time". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2019. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
  239. "Central Park's Bethesda Terrace Arcade Reopens". New York City Department of Parks and Recreation. March 2, 2007. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 1, 2013. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
  240. Dunlap, David W. (July 18, 2008). "Behind the Dam, One Fierce Holdout". City Room. The New York Times Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2019. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
  241. Central Park Conservancy 2014, p. 56.
  242. "Oak Bridge at Bank Rock Bay". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 12, 2017. สืบค้นเมื่อ October 12, 2017.
  243. Lee, Jennifer 8. (September 30, 2009). "An Old Bridge, Reconstructed, Is Unveiled in Central Park". City Room. The New York Times Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2019. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
  244. "Central Park Conservancy Announces The Campaign For Central Park" (PDF). Central Park Conservancy. 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ October 3, 2007. สืบค้นเมื่อ April 20, 2019.
  245. Foderaro, Lisa W. (September 20, 2011). "Conservancy Marks Milestone in Restoring Central Park". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 13, 2019. สืบค้นเมื่อ April 13, 2019.
  246. Dutes, Sheldon (October 8, 2014). "Cars May Be Banned From Central Park". NBC New York. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 18, 2016. สืบค้นเมื่อ September 12, 2019.
  247. "Central Park, Prospect Park loops to be closed to traffic on weekdays". 7 Online. June 18, 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 1, 2015. สืบค้นเมื่อ June 22, 2016.
  248. Walker, Ameena (June 27, 2018). "At last, Central Park is permanently car-free". Curbed NY. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 6, 2018. สืบค้นเมื่อ October 6, 2018.
  249. "Central Park goes car-free as traffic ban takes effect". WABC-TV. June 26, 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 6, 2018. สืบค้นเมื่อ October 6, 2018.
  250. "Central Park's Castle Gets a $12 Million Fairy-Tale Makeover". The New York Times. July 12, 2019. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 13, 2019. สืบค้นเมื่อ July 1, 2019.
  251. Rosenberg, Zoe (June 18, 2019). "Central Park's Belvedere Castle will reopen June 28". Curbed NY. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 18, 2019. สืบค้นเมื่อ June 19, 2019.
  252. "Central Park's Belvedere Castle Reopening After Restoration". Gothamist. June 18, 2019. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 18, 2019. สืบค้นเมื่อ June 19, 2019.
  253. Pogrebin, Robin (October 31, 2018). "A Restoration for Shakespeare's Home in Central Park". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2019. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
  254. Durkin, Erin (July 18, 2018). "Central Park's Lasker pool and ice rink set for $150 million makeover". New York Daily News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 17, 2019. สืบค้นเมื่อ April 17, 2019.
  255. Weaver, Shaye (2021-03-19). "See how different Central Park's Lasker Rink will look after its reconstruction". Time Out New York. สืบค้นเมื่อ 2021-03-19.
  256. "Tent hospital being constructed in New York City's Central Park". WCBS-TV. March 29, 2020. สืบค้นเมื่อ March 30, 2020.
  257. Holcombe, Madeline; Yan, Holly (March 30, 2020). "Central Park becomes a field hospital for New York, where coronavirus deaths have topped 1,000". CNN. สืบค้นเมื่อ March 30, 2020.
  258. Rubinstein, Dana (May 8, 2023). "Racetracks, Parks, Offices: A Frantic Search for Migrant Housing". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ May 12, 2023.
  259. Gloria Pazmino, Samantha Beech (May 6, 2023). "New York City mayor announces plan to transport willing migrants to locations outside the city ahead of expected surge". CNN. สืบค้นเมื่อ May 12, 2023.
  260. Wassef, Mira (June 27, 2023). "Central Park's Chess and Checkers House gets makeover". PIX11. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-05-12. สืบค้นเมื่อ June 28, 2023.
  261. Hickey, Magee (September 4, 2023). "Delacorte Theater closes for renovations". PIX11. สืบค้นเมื่อ October 11, 2024.[ลิงก์เสีย]
  262. Rahmanan, Anna (April 22, 2024). "You can play pickleball at Central Park's Wollman Rink this summer". Time Out New York. สืบค้นเมื่อ April 22, 2024.
  263. Barron, James (April 22, 2024). "Pickleball Gets a Permanent Spot at Wollman Rink". The New York Times. สืบค้นเมื่อ April 22, 2024.
  264. Kodé, Anna; Srivastava, Maansi (March 15, 2024). "Fixing Central Park's Bumpy Sidewalks". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ March 18, 2024.
  265. Spivack, Caroline (November 19, 2024). "Central Park's well-used drives will soon get a makeover". Crain's New York Business. สืบค้นเมื่อ November 19, 2024.
  266. 1 2 Barron, James (November 19, 2024). "How to Make Central Park Safer for Pedestrians". The New York Times. สืบค้นเมื่อ November 19, 2024.
  267. 1 2 Kinkead 1990, pp. 220–221.
  268. McCully 2006, p. 6.
  269. Merguerian & Merguerian 2004, p. 1.
  270. Shah, A.N.; Chang, C.C.; Kim, K. (March 25, 2004). "Deformational History Of The Manhattan Rocks And Its Relationship With The State Of In-Situ Stress In The New York City Area, New York". Geological Society of America. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 18, 2018. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  271. Merguerian & Merguerian 2004, pp. 7–8.
  272. 1 2 Broad, William J (June 5, 2018). "How the Ice Age Shaped New York". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 8, 2019. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  273. "Geological History of NYC Parks". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 4, 2019. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  274. Collins, Glenn (September 14, 2005). "The Very Cold Case of the Glacier". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 14, 2017. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  275. 1 2 Sherman 1994, pp. 226–228.
  276. 1 2 Bleyer, Jennifer (October 7, 2007). "The Zen of the Rock". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2019. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
  277. Merguerian & Merguerian 2004, p. 18.
  278. Kinkead 1990, p. 224.
  279. Kinkead 1990, pp. 225–226.
  280. Andropogon Associates 1989, pp. 2–3.
  281. 1 2 Kadinsky 2016, pp. 44–45.
  282. 1 2 3 4 5 Plitt, Amy (July 1, 2017). "20 hidden gems of Central Park". Curbed NY. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 28, 2019. สืบค้นเมื่อ March 1, 2019.
  283. 1 2 "North Woods". Central Park Conservancy. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 23, 2019. สืบค้นเมื่อ April 23, 2019.
  284. Andropogon Associates 1989, pp. 37–38.
  285. Andropogon Associates 1989, p. 39.
  286. "Central Park Preserve: The North Woods". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 3, 2018. สืบค้นเมื่อ April 23, 2019.
  287. 1 2 Andropogon Associates 1989, pp. 44–45.
  288. 1 2 3 4 "The Ramble". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 20, 2019. สืบค้นเมื่อ April 21, 2019.
  289. Kilgannon, Corey (May 7, 2011). "Bird-Watchers in Central Park Flock to the Ramble". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 22, 2019. สืบค้นเมื่อ April 21, 2019.
  290. Foderaro, Lisa W. (September 14, 2012). "In Central Park, an Uneasy Coexistence Grows Uneasier". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 22, 2019. สืบค้นเมื่อ April 21, 2019.
  291. Andropogon Associates 1989, pp. 48–49.
  292. 1 2 Kadinsky 2016, pp. 30–31.
  293. 1 2 "Hallett Nature Sanctuary". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 24, 2019. สืบค้นเมื่อ April 23, 2019.
  294. Anderson, Susan Heller; Dunlap, David W. (July 1, 1986). "New York Day by Day; In Honor of a Civic Leader". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 23, 2019. สืบค้นเมื่อ April 23, 2019.
  295. 1 2 Smith, Jeff (May 11, 2016). "Secret, closed-off section of Central Park called 'Hallett Nature Sanctuary' reopens for first time since 1930s". ABC7 New York. สืบค้นเมื่อ August 28, 2024.
  296. Barron, James (May 10, 2016). "A Secret Section of Central Park Reopens". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 23, 2019. สืบค้นเมื่อ April 23, 2019.
  297. Central Park Conservancy 2016, pp. 34–37 (PDF pp. 19–20).
  298. 1 2 "Harlem Meer". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 3, 2019. สืบค้นเมื่อ April 4, 2019.
  299. Kadinsky 2016, pp. 46–48.
  300. "The Pool". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 14, 2019. สืบค้นเมื่อ July 14, 2019.
  301. "The Loch". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 14, 2019. สืบค้นเมื่อ July 14, 2019.
  302. Gray, Christopher (May 26, 2011). "Scenes From a Wild Youth – Streetscapes/Central Park". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 4, 2019. สืบค้นเมื่อ April 4, 2019.
  303. Kinkead 1990, p. 48.
  304. 1 2 3 Kadinsky 2016, p. 47.
  305. "Central Park to Get Swimming Pool and Ice Rink; Combined 110th St. Facilities Will Cost $l,800,000". The New York Times. February 24, 1962. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ January 19, 2020.
  306. Cardwell, Diane (July 30, 2007). "Central Park Reservoir Fountain Returns to Life". City Room. The New York Times Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 4, 2019. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
  307. "Reservoir". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2019. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
  308. Kadinsky 2016, pp. 42–44.
  309. Kinkead 1990, p. 50.
  310. 1 2 3 "Turtle Pond". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 4, 2019. สืบค้นเมื่อ April 4, 2019.
  311. 1 2 3 Kadinsky 2016, pp. 40–41.
  312. Rosenzweig & Blackmar 1992, p. 439.
  313. "400 Trucks Filling Central Park Basin". The New York Times. April 15, 1930. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ April 26, 2019.
  314. Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 441–442.
  315. Gray, Christopher (August 29, 1993). "Streetscapes: Central Park's 'Hooverville'; Life Along 'Depression Street'". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 6, 2019. สืบค้นเมื่อ April 26, 2019.
  316. Rosenzweig & Blackmar 1992, p. 451.
  317. 1 2 "The Lake". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 4, 2019. สืบค้นเมื่อ April 4, 2019.
  318. Kinkead 1990, p. 32.
  319. 1 2 3 Kadinsky 2016, p. 33.
  320. 1 2 Kadinsky 2016, p. 34.
  321. "Oak Bridge at Bank Rock Bay". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 12, 2017. สืบค้นเมื่อ April 7, 2019.
  322. 1 2 Kadinsky 2016, pp. 36–37.
  323. "Jeanne E. Kerbs". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  324. "Conservatory Water". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  325. "New Yorkers & Co". The New York Times. August 6, 1995. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 26, 2015. สืบค้นเมื่อ January 19, 2020.
  326. "The Pond". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 4, 2019. สืบค้นเมื่อ April 4, 2019.
  327. Kadinsky 2016, p. 28.
  328. Dwyer, Jim (May 11, 2017). "Tracing the Waterways Beneath the Sidewalks of New York". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 4, 2019. สืบค้นเมื่อ April 4, 2019.
  329. Kadinsky 2016, pp. 29–30.
  330. "New Skating Rink in Central Park To Be Opened to Public Thursday". The New York Times. December 18, 1950. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 23, 2019. สืบค้นเมื่อ April 23, 2019.
  331. 1 2 Foderaro, Lisa W (August 27, 2013). "Canvassing Central Park and Finding New Tenants". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  332. 1 2 3 4 "2013 Central Park BioBlitz Results Highlights – BioBlitz". Macaulay Honors College, City University of New York. September 22, 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  333. Bonanos, Christopher (September 30, 2013). "Roll Call in the Ramble". New York Magazine. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 1, 2013. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  334. Robbins, Liz (May 30, 2011). "2 Enthusiasts Compose Map of Central Park Trees". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  335. "Mapping (Almost) Every Tree In Central Park". NPR. July 7, 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  336. 1 2 "Tree Guide". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  337. 1 2 Pollak, Michael (January 11, 2013). "Answers to Questions About New York". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  338. 1 2 Barnard 2002, pp. 32–35.
  339. Kinkead 1990, pp. 55–56.
  340. "Zone Management in Central Park". Central Park Conservancy. December 26, 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  341. "Central Park Great Trees". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 21, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  342. 1 2 Buckley 2018, p. 35.
  343. "List of birds of Central Park". Forest and Stream. Vol. XXVI no. 20. The Forest and Stream Publishing Company. June 10, 1886. pp. 386–387.
  344. Kinkead, Eugene (August 26, 1974). "The Birds of Central Park". The New Yorker. Vol. XXVI no. 20. p. 78. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 1, 2014. สืบค้นเมื่อ May 9, 2020.
  345. "The Insider's Guide to Birding in Central Park, New York City". National Audubon Society. June 2, 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  346. Buckley 2018, p. 34.
  347. Lueck, Thomas J (April 1, 2008). "Reprise: The Fifth Avenue Ballad of Pale Male and Lola". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  348. Croke, Vicki (November 6, 2014). "Spying On The World's Most Famous Hawk: Pale Male". WBUR. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  349. Jacobs, Julia (December 3, 2018). "The Hot Duck That Won't Go Away". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 6, 2019. สืบค้นเมื่อ December 6, 2019.
  350. Carlson, Jen (October 11, 2018). "Gorgeous Mandarin Duck, Rarely Seen In U.S., Mysteriously Appears In Central Park". Gothamist. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 6, 2019. สืบค้นเมื่อ December 6, 2019.
  351. "Owl escapes from Central Park Zoo, eludes NYPD, zookeepers". AP NEWS (ภาษาอังกฤษ). February 3, 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 11, 2023. สืบค้นเมื่อ February 14, 2023.
  352. Zielinski, Sarah (October 4, 2011). "The Invasive Species We Can Blame On Shakespeare". Smithsonian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  353. Lamb, Juliet (June 9, 2016). "All the Birds from Shakespeare in Central Park!". JSTOR Daily. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  354. "Bats". Government of New York City. สืบค้นเมื่อ June 15, 2020.
  355. Nir, Sarah Maslin (November 13, 2016). "Raccoons in Central Park Draw Crowds, and Warnings to Stay Away". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  356. Winn, Marie (July 25, 2008). "Answers About Central Park Wildlife, Part 3". City Room. The New York Times Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 16, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  357. "Coyotes in Central Park". Central Park Conservancy (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-09-15.
  358. Stewart, Barbara (July 24, 2002). "A New Kind of New Yorker, One With 82 Legs". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 14, 2016. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  359. "The Daily Plant". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 29, 2019. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  360. "Beetles infest 2 trees in Central Park". The Baltimore Sun. February 17, 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 29, 2014. สืบค้นเมื่อ November 14, 2014.
  361. 1 2 "Central Park Lake". New York State Department of Environmental Conservation. November 7, 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 17, 2019. สืบค้นเมื่อ April 17, 2019.
  362. Santora, Marc (April 30, 2013). "In Central Park, Hunt for an Intruder, the Snakehead Fish, Is On". City Room. The New York Times Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 17, 2019. สืบค้นเมื่อ April 17, 2019.
  363. "Catch-and-Release Fishing". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 17, 2019. สืบค้นเมื่อ April 17, 2019.
  364. Winn, Marie (2008). Central Park in the Dark: More Mysteries of Urban Wildlife. Farrar, Straus and Giroux. p. 139. ISBN 978-0-374-12011-5.
  365. "They All Saw Snakes at Once; but the Reptiles Were in Glass Jars and Real". The New York Times. December 25, 1895. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ June 28, 2020.
  366. Winn, Marie (July 23, 2008). "Answers About Central Park Wildlife". City Room. The New York Times Company. สืบค้นเมื่อ April 16, 2019.
  367. 1 2 Heckscher 2008, p. 49.
  368. Pollak, Michael (July 6, 2014). "What Is Jamaica, Queens, Named After?". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 30, 2019. สืบค้นเมื่อ April 21, 2019.
  369. 1 2 3 4 "Named Gates". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 2, 2019. สืบค้นเมื่อ April 2, 2019.
  370. Landmarks Preservation Commission 1974, p. 6 (PDF p. 7).
  371. Small, Zachary (December 12, 2022). "Decades After the Central Park Jogger Attack, a City Marks Its Mistake". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ January 19, 2024.
  372. Kristina Sgueglia, Nicki Brown (December 19, 2022). "A Central Park entrance named for the exonerated 'Central Park Five' is unveiled". CNN. สืบค้นเมื่อ January 19, 2024.
  373. 1 2 3 "Columbus Circle". Central Park Highlights. New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 2, 2019. สืบค้นเมื่อ April 2, 2019.
  374. "The Voyager In Marble" (PDF). The New York Times. October 13, 1892. ISSN 0362-4331. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ October 9, 2022. สืบค้นเมื่อ October 13, 2017.
  375. Rosenberg, Zoe (August 23, 2017). "Elected officials call for removal of Christopher Columbus statue near Central Park". Curbed NY. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 15, 2017. สืบค้นเมื่อ October 15, 2017.
  376. "Columbus Day Parade Organizers Fight To Keep Statue In Columbus Circle". WCBS-TV. August 30, 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 15, 2017. สืบค้นเมื่อ October 15, 2017.
  377. "Monument To Maine Heroes Ready For Unveiling" (PDF). The New York Times. May 25, 1913. ISSN 0362-4331. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ October 9, 2022. สืบค้นเมื่อ October 14, 2017.
  378. "Pulitzer Fountain". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 2, 2019. สืบค้นเมื่อ April 2, 2019.
  379. "William Tecumseh Sherman". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 2, 2019. สืบค้นเมื่อ April 2, 2019.
  380. "Duke Ellington Memorial". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 2, 2019. สืบค้นเมื่อ April 2, 2019.
  381. "City Circle Named in Negro's Honor; 9 Descendants of Frederick Douglass Attend Ceremony at Central Park Corner" (PDF). The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). September 18, 1950. ISSN 0362-4331. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ October 9, 2022. สืบค้นเมื่อ March 26, 2021.
  382. "Frederick Douglass Memorial". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 2, 2019. สืบค้นเมื่อ April 2, 2019.
  383. "The Blockhouse – Historical Sign". New York City Department of Parks and Recreation. April 23, 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 23, 2008. สืบค้นเมื่อ March 1, 2019.
  384. Kadinsky 2016, p. 46.
  385. Kadinsky 2016, pp. 47–48.
  386. "Conservatory Garden". Central Park Conservancy. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 2, 2019. สืบค้นเมื่อ April 2, 2019.
  387. "North Meadow Recreation Center". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 4, 2019. สืบค้นเมื่อ April 4, 2019.
  388. Andropogon Associates 1989, p. 37.
  389. Berman 2003, p. 29.
  390. "Vista Rock & Tunnel". Central Park Highlights. New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 4, 2019. สืบค้นเมื่อ April 4, 2019.
  391. 1 2 3 4 5 6 7 Landmarks Preservation Commission 1974, p. 7 (PDF p. 8).
  392. "Bethesda Terrace". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 10, 2019. สืบค้นเมื่อ April 10, 2019.
  393. 1 2 Reynolds 1994, p. 322.
  394. "Strawberry Fields". Central Park Conservancy. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 10, 2019. สืบค้นเมื่อ April 10, 2019.
  395. "Sheep Meadow". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 10, 2019. สืบค้นเมื่อ April 10, 2019.
  396. 1 2 3 4 Reynolds 1994, p. 325.
  397. "History of the Arsenal". New York City Department of Parks and Recreation. สืบค้นเมื่อ April 25, 2022.
  398. Henry Hope Reed, Robert M. McGee and Esther Mipaas. The Bridges of Central Park. (Greensward Foundation) 1990.
  399. Heckscher 2008, pp. 45–46.
  400. Johnston, Laurie; Anderson, Susan Heller (August 13, 1983). "New York Day by Day; Central Park Shelter". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2019. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
  401. "The Story Behind Central Park's Rustic Architecture". Central Park Conservancy Blog. Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2019. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
  402. Kleinfield, N. R. (June 17, 2016). "4,223 Central Park Benches With Stories to Tell". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 23, 2019. สืบค้นเมื่อ May 14, 2019.
  403. "For $10,000 You Can Share Your Story On A Bench In Central Park". WCBS-TV. June 29, 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 14, 2019. สืบค้นเมื่อ May 14, 2019.
  404. "The Lives Behind the Statues and Monuments of Central Park". WNET. September 19, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 29, 2015. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  405. "Central Park Monuments". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 21, 2019. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  406. 1 2 3 4 Rosenzweig & Blackmar 1992, pp. 329–331.
  407. Heckscher 2008, pp. 68–69.
  408. Rosenzweig & Blackmar 1992, p. 332.
  409. Berman 2003, p. 59.
  410. "The Mall and Literary Walk". Central Park Conservancy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 10, 2016. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  411. "Alice in Wonderland". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 24, 2019. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  412. "Wonderland' to Be Dedicated". The New York Times. May 6, 1959. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ January 19, 2020.
  413. "Bethesda Fountain". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 17, 2019. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  414. "Balto". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 27, 2019. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  415. "King Jagiello Monument". Central Park Highlights. New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 28, 2018. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  416. Hines, Morgan (August 26, 2020). "'We have broken the bronze ceiling': First monument to real women unveiled in NYC's Central Park". USA Today (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ August 26, 2020.
  417. Kolodny, Sarah (July 24, 2018). "First Statue of Real Women to Debut in Central Park in 2020". NBC New York. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 21, 2019. สืบค้นเมื่อ April 21, 2019.
  418. "Central Park's first-ever female statue is coming in 2020". Time Out New York. July 24, 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 21, 2019. สืบค้นเมื่อ April 21, 2019.
  419. 1 2 3 "Obelisk". Central Park Conservancy. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 24, 2019. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  420. แม่แบบ:Cite enc-nyc2
  421. 1 2 Gray, Christopher (May 29, 2014). "A Very Difficult Crosstown Move". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 11, 2017. สืบค้นเมื่อ January 7, 2020.
  422. Frank Leslie's New York journal. Vol. 1–2. 1855. p. 292. hdl:2027/njp.32101074880459.
  423. "The City; Central Park Section To Honor Lennon". The New York Times. April 17, 1981. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 14, 2019. สืบค้นเมื่อ April 14, 2019.
  424. Dowd, Maureen (October 9, 1985). "Strawberry Fields 'Garden Of Peace' Opens Today". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 14, 2019. สืบค้นเมื่อ April 14, 2019.
  425. "Strawberry Fields". Central Park Conservancy. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 31, 2019. สืบค้นเมื่อ August 31, 2019.
  426. "Imagine". New York City Department of Parks and Recreation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 21, 2019. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  427. "The Gates, Project for Central Park, New York City. Drawing in 2 parts". Guggenheim Museum. December 1, 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 30, 2019. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  428. "Central Park's 'Gates' to close this weekend". CNN. February 25, 2005. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 6, 2020. สืบค้นเมื่อ April 15, 2019.
  429. "End of an era for New York's Tavern on the Green". CNN.com. January 1, 2010. สืบค้นเมื่อ March 11, 2024.
  430. Stebner, Beth. "Tavern on the Green to open April 24 for dinner; to add brunch, lunch in May". New York Daily News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 29, 2019. สืบค้นเมื่อ May 11, 2020.
  431. Carmody, Deirdre (January 9, 1983). "40 Seat Restaurant to Open in Loeb Boathouse". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 17, 2019. สืบค้นเมื่อ April 17, 2019.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
  1. อย่างเป็นทางการ เขตพื้นที่นี้รู้จักในชื่อเขตที่ 22 อย่างไรก็ตาม สาธารณชนมักเรียกขานกันว่าเขตเซ็นทรัลพาร์ก ทำให้เป็นหนึ่งในเขตของกรมตำรวจนครนิวยอร์ก (NYPD) ไม่กี่เขตที่ไม่มีหมายเลขประจำ[29]
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/> ที่สอดคล้องกัน