กรีโกรี รัสปูติน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก รัสปูติน)
กรีโกรี รัสปูติน
กริกอรี รัสปูติน
เกิด21 มกราคม ค.ศ. 1869(1869-01-21)
จักรวรรดิรัสเซีย
เสียชีวิต30 ธันวาคม ค.ศ. 1916 (อายุ 47)
เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก จักรวรรดิรัสเซีย
สาเหตุเสียชีวิตฆาตกรรม
อาชีพนักรหัสยลัทธิ
คู่สมรสPraskovia Fedorovna Dubrovina
บุตรDmitri (1897–1937)
Matryona (1898–1977)
Varvara (1900–1925)
บุพการีEfim Vilkin Rasputin
Anna Parshukova

กรีกอรี ยิฟีเมอวิช รัสปูติน[ก] (รัสเซีย: Григорий Ефимович Распутин, อักษรโรมัน: Grigori Yefimovich Rasputin, สัทอักษรสากล: [ɡrʲɪˈɡorʲɪj jɪˈfʲiməvʲɪtɕ rɐˈsputʲɪn]; ภาษาอังกฤษ: /ræˈspjtɪn/; 21 มกราคม [ตามปฎิทินเก่า: 9 มกราคม] ค.ศ. 1869 – 30 ธันวาคม [ตามปฎิทินเก่า: 17 ธันวาคม] ค.ศ. 1916) เป็นนักรหัสยลัทธิชาวรัสเซีย และเป็นผู้ที่เรียกตัวเองว่า ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งได้ตีสนิทกับราชวงศ์ของจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายแห่งรัสเซีย และได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมากในสมัยจักรวรรดิรัสเซียตอนปลาย

ชีวิตช่วงต้น[แก้]

เมือง Pokrovskoye, ซึ่งขนานไปด้วยแม่น้ำ Tura ในปี ค.ศ. 1912 และโบสถ์ที่ถูกสร้างในราว ค.ศ. 1906 และถูกทำลายลงใน ค.ศ. 1950[1]
ภาพมุมมองของวัด เซนต์นิโคลัส ในปี ค.ศ. 1910

กริกอรี รัสปูตินเกิดในหมู่บ้านชาวนาเล็กๆที่มีฐานะค่อนข้างดี บริเวณ Pokrovskoye เมือง Tobolsk , Guberniya (ปัจจุบันคือเขตแดน Yarkovsky ใน Tyumen Oblast)

Yefim Yakovlevich Rasputin (หรือในนาม Efim Yakovlevich Rasputin) กับภรรยาของเขา โดยทั้งสองได้ทำการปฏิบัติตามขนบประเพณีอย่างถูกต้อง และกำเนิดเด็กชายที่มีนามว่า Grigory (กริกอริ)[2]

หนึ่งวันต่อมา เด็กชายกริกอริได้รับให้มีตั้งชื่อใหม่ หลังจาก Gregory of Nyssa ได้จัดงานเลี้ยงฉลองเมื่อวันที่ 10 มกราคม (แต่ไม่ทราบปี) ให้มีมติตั้งชื่อเด็กชายใหม่เพราะเกรงว่าชื่อดูไม่เหมาะสม[3]

กริกอริเกิดในลำดับคนที่ห้าจากทั้งหมดเก้าคน กริกอริเป็นคนที่ไม่สนใจในการศึกษา ; จากการสำรวจในปี ค.ศ. 1897 พบว่าประชาชนในหมู่บ้านส่วนมากเป็นผู้ไม่รู้หนังสือ)[4]

ในเมือง Pokrovskoye เด็กชายรัสปูตินถูกมองว่าเป็นคนนอกในหมู่บ้านนี้ [5] เรื่องเล็กน้อยๆในวัยเด็กถูกส่งผ่านต่อยอดมายังลูกสาวของเขา มาเรีย[6]

ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1887 กริกอรีคบภรรยาที่มีอายุน้อยกว่าตนเองถึง 3 ปี Praskovia Fyodorovna Dubrovina โดยทั้งคู่ได้มีลูกด้วยกันสามคน ได้แก่ ดิมิตรี (Dmitri), วัววารา(Varvara) และ มาเรีย (Maria) ลูกชายของเขาเสียชีวิตในเยาววัยเมื่อปี ค.ศ. 1892[7]

กริกอริออกจากหมู่บ้าน และลาจากญาติของเขา เขาใช้เวลาอยู่หลายเดือนในการอยู่วัดใน Verkhoturye Spiridovich หลังการเสียชีวิตของหลานกริกอริ[8] [9] โดยวัด Verkhoturye มีฤๅษีนามว่า Brother Makary ที่มีอิทธิพลสำคัญต่อกริกอริ และทำให้กริกอรีได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติด้านลบต่างๆ หลังจากที่เขาได้กลับบ้านไปเขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย และนั้นทำให้กริกอริเปลี่ยนความคิดขึ้นมาใหม่

ก้าวสู่ชีวิตทางศาสนา[แก้]

การเดินทางครั้งที่สองของรัสปูตินในการมาเยือน Monastery of the Caves ที่เมืองเคียฟ, เกือบ 3,000 กิโลเมตรจากหมู่บ้านของเขา

รัสปูตินอ้างว่าการประจักษ์มาของพระแม่แห่งคาซันนำเขาไปสู่ชีวิตความศรัทธาด้านศาสนา ในช่วงราวปีค.ศ. 1893 เขาได้เดินทางมายังภูเขา Athos แต่เขานั้นตกใจอย่างสุดขีดและทำให้กระจ่างขึ้นมา ในขณะที่เขาบอก Makary[10]

ในปี ค.ศ. 1900 เขาระบุว่าเป็น strannik (ผู้แสวงบุญทางศาสนาในรัสเซีย) , นักบุญพเนจร[11] อย่างไรก็ตามรัสปูตินมักจะกลับบ้านมาช่วยเหลือครอบครัวในการเก็บเกี่ยวผลผลิต และได้รับถูกเรียกว่า ผู้มาใหม่ , yurodiviy (คนโง่เขลาที่ศักดิ์สิทธิ์)[12] โดยเหล่าผู้ติดตามที่เชื่อว่าสามารถจะหยั่งรู้และรักษาผู้คนได้[13] , แต่ถึงกระนั้นรัสปูตินก็ยังยืนยันว่าเขาไม่ใช่ที่ปรึกษาในคริสตจักรภาคตะวันออกหรือครูสอนเกี่ยวกับศาสนา[14] (ภาษาอังกฤษ : starets) , โดยรัสปูตินนั้นพยายามที่จะเรียนรู้ภาษาไซบีเรียอยู่หลายครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่สามารถทำให้รัสปูตินเข้าใจภาษาไซบีเรียได้อยู่ดี[15] และการเทศนาหลักธรรมสอนที่ไม่บ่อยนัก

ในปี ค.ศ. 1903 เขาใช้เวลาส่วนมากอยู่ในเคียฟซึ่งเขาได้ไปเยี่ยมเยือนวัด Monastery of thé Caves (ซึ่งปัจจุบันปลี่ยนชื่อเป็น Kiev Pechersk Lavra) ในเมือง Kazan ซึ่งเขาได้ดึงดูดความสนใจแก่เหล่าพวกบาทหลวงและสมาชิกชั้นสูงต่างๆ [16]

รัสปูตินได้เดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อพบปะกับ John of Kronstadt , Pierre Gilliard ได้เขียนไว้ว่ารัสปูตินได้เดินทางมาถึงในปี ค.ศ. 1905[17] , M. Nelipa คิดว่าฤดูใบ้ไม้ผลิจะเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1904 Iliodor (เป็นชื่อนามแฝงของ Sergei Trufanov ซึ่งเดิมเป็นนักโบสถ์ซึ่งมารู้จักกับรัสปูตินแล้วก็ได้มาแต่งหนังสือชีวประวัติในบั้นปลายชีวิต) เชื่อว่าฤดูใบ้ไม้ผลิจะมาตอนปีค.ศ. 1903 ประมาณธันวาคม [18] เขาได้แนะนำให้รู้จักกับ Ivan Stragorodsky อธิการบดีของ Theological Faculty (เป็นโรงเรียนสอนศาสนา), รัสปูตินพักอยู่ที่ Alexander Nevsky Lavra ชั่วคราว , และเขาก็พบกับ Hermogenes และ Theophanes of Poltava ผู้ที่ศรัทธาในด้านจิตวิทยาของรัสปูตินและความเฉียบแหลมคมของเขา , รัสปูตินถูกเชื้อเชิญโดยเจ้าหญิงมิลคา (ภาษาอังกฤษ :Princess Milica of Montenegro) จากเมืองประเทศมอนเตเนโกร และเจ้าหญิงอนาตาเซีย (ภาษาอังกฤษ : Princess Anastasia of Montenegro) แห่งประเทศมอนเตเนโกร ซึ่งเป็นน้องสาวของเจ้าหญิงมิลคาเอง ซึ่งเจ้าหญิงอนาตาเซียมีความสนใจในเวทมนตร์เปอร์เซีย[19] เจตนิยมและการใช้เวทมนตร์คาถา เจ้าหญิงมิลคาได้นำเสนอเรื่องรัสปูตินไปยังซาร์นีโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย และภรรยาของอเล็กซานเดอร์ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1905 .[20]

ก่อนที่จะมีการประชุมกับรัสปูติน , ซารนิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียต้องรับมือกับสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น , วันอาทิตย์ทมิฬ , การปฏิวัติรัสเซีย พ.ศ. 2448 มีเหตุชุลมุนมากมายหลายที่และการพังทลายของตึกต่างๆ บริเวณในเมืองที่ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึงเหล่าจักรพรรดิ์และผู้มีอำนาจทั้งหลายถูกบังคับ เมื่อวันที่ 17 โดย Sergei Witte ได้ออกลงนามแถลงการณ์เมื่อเดือนตุลาคม ซึ่งจะเป็นการยอมรับที่จะได้สถาปนารัฐดูมาและจะให้เป็นส่วนหนึ่งของเขาในระบอบผเด็จการ [21] หกเดือนต่อมา Sergei Witte ได้ถูกรับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี , แต่ถูกปกครองที่แท้จริงคือนายพล Dmitri Trepov

รักษาอเล็กซานเดอร์[แก้]

รัสปูตินกับหลานของเขา

ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1906 มีคำสั่งจากพระเจ้าซาร์ , รัสปูตินเข้าเยี่ยมลูกสาวของนายกรัฐมนตรี Pyotr Stolypin ที่มีอาการบาดเจ็บ, ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านั้น มีประชากรจำนวน 29 คนเสียชีวิตด้วยแรงของระเบิดซึ่งนั้นรวมถึงลูกสาวของนายกรัฐมนตรี Pyotr Stolypin อีกด้วย [22] ไม่กี่เดือนต่อมา,

... ในวันที่ 15 ธันวาคม, รัสปูตินขอร้องอ้อนว่าต่อพระเจ้าซาร์, เกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อของเขาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย. กริกอริอธิบายว่าสมาชิกในครอบครัวหกคน ในเมือง Pokrovskoye ไม่ชอบนามสกุลรัสปูติน, และนี่คือสิ่งที่สร้างขึ้น การแบ่งประเภทก็อาจนำไปสู่ความโกลาหลได้ รัสปูตินถามนิโคลัส "วิธีที่จะยุติความหยุ่งเหยิงโกลาหลครั้งนี้ได้ด้วยควรอนุญาตให้ผมเปลี่ยนชื่อและลูกหลานใช้ชื่อว่า Rasputin-Novyi (Новый ซึ่งหมายถึง รัสปูตินคนใหม่ หรือ รัสปูตินแบบใหม่."[23]

ในเดือน เมษายน ค.ศ. 1907 รัสปูตินถูกเชื้อเชิญอีกครั้งโดย Tsarskoye Selo , ในครั้งนี้เพื่อพบกับ Tsarevich Alexe ซึ่งเป็นเด็กที่มีอาการบาดเจ็บจากโรคฮีโมฟีเลียบี , ซึ่งแน่นอนไม่เป็นที่รู้กันอย่างสาธารณะว่ารัชทายาทจะติดโรคฮีโมฟีเลียบี โดยโรคนี้ค่อนข้างจะแพร่หลายในพระบรมวงศานุวงศ์ในแถบยุโรป.[24] เมื่อแพทย์ไม่รักษาได้จึงทำให้เกิดความหมดหวัง Tsarina นั้นยังคงรอคอยความช่วยเหลือจากใครสักคน โดยเธอได้สูญเสียแม่ ,พี่ชาย , น้องสาว เมื่อเธอยังเป็นเด็ก รัสปูตินบอกสามารถที่จะรักษาได้โดยการอธิษฐานภาวนาแด่พระเจ้า ซึ่งนั้นทำให้ญาติของเธอมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และก็ช่วยเบาบางจิตใจของเด็กและอาการได้อย่างดี ซึ่งก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์จากหมอว่าเธอจะตายในเร็ววัน โดย Tsarevich แสดงให้เห็นสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ[25]

Alexandra Feodorovna กับหลานของเธอ, รัสปุตินและผู้ปกครองหญิงในปีค.ศ. 1908


เชิงอรรถ[แก้]

ก.   ^ ที่ถูก คำ "Rasputin" ตามสำเนียงรัสเซีย อ่านว่า "ระสฺปูติน" ("ระ-สฺปู-ติน") โดย "ระ" กับ "สฺปู" นั้นเป็นคนละพยางค์กัน (/rʌˈsputyɪn/; Ra·spu·tin) ส่วนสำเนียงอังกฤษว่า "แรสพฺยูทิน" (ræˈspyutɪn) อนึ่ง ชื่อเต็มคือ "Grigori Yefimovich Rasputin" นั้น สำเนียงรัสเซียว่า "กริกอรี ยิฟีเมอวิช ระสฺปูติน" (/gryɪˈgɔryi yɪˈfyiməvyɪtʃ rʌˈsputyɪn/) ส่วนสำเนียงอังกฤษว่า "กริกอรี อิฟีเมอะวิช แรสพฺยูทิน" (/grɪˈgɔri ɪˈfiməvɪtʃ ræˈspyutɪn/)

อ้างอิง[แก้]

  • Fuhrmann, Joseph T (1990). Rasputin: A Life (illustrated ed.). New York: Praeger. pp. 276. ISBN 027593215X. OCLC 19269485.
  • Massie, Robert K (2004) [originally in New York : Atheneum Books, 1967]. Nicholas and Alexandra: An Intimate Account of the Last of the Romanovs and the Fall of Imperial Russia (Common Reader Classic Bestseller ed.). United States: Tess Press. pp. 672. ISBN 157912433X. OCLC 62357914.
  • Radzinsky, Edvard (2000) [originally in London : Weidenfeld & Nicolson, 2000]. Rasputin: The Last Word. translator Judson Rosengrant. St Leonards, New South Wales, Australia: Allen & Unwin. p. 704. ISBN 1865085294. OCLC 155418190.
  1. Fuhrmann, p. xiii
  2. Demystifying the life of Grigory Rasputin; "Royal Russia News: Demystifying the life of Grigory Rasputin". Angelfire.com. สืบค้นเมื่อ 2013-04-28.
  3. อ้างอิงจาก The Rasputin File หน้า 25, 29.
  4. J.T. Fuhrm ann (2013), p. 9.
  5. J.T. Fuhrmann (2013), p. 11-13.
  6. M. Rasputin (1934) My father.
  7. M. Nelipa (2010), p. 16.
  8. Spiridovitch, A. (1935) Raspoutine (1863-1916), p. 15.
  9. [1]
  10. J.T. Fuhrmann (2013), p. 22; B. Moynahan, p. 32.
  11. M. Nelipa (2010), p. 17.
  12. Spencer C. Tucker, Priscilla Mary Roberts (2005), "The Encyclopedia of World War I: A Political, Social, and Military History, p. 967 [2].
  13. Rasputin: The Mad Monk [DVD]. USA: A&E Home Video. 2005.
  14. M. Nelipa (2010) The Murder of Grigorii Rasputin. A Conspiracy That Brought Down the Russian Empire, p. 16.
  15. The Real Tsaritsa by Madame Lili Dehn
  16. Amalrik, A. (1988) Biografie van de Russische monnik 1863-1916, p. 45; J.T. Fuhrmann (2013), p. 24; B. Moynahan (1997) Rasputin. The saint who sinned, p. 43.
  17. Alexanderpalace
  18. Iliodor (1918), p. 91
  19. E. Radzinsky, p. 57.
  20. "Nicolas' diary 1905 (in Russian)". Rus-sky.com. สืบค้นเมื่อ 2013-04-28.
  21. J.T. Fuhrmann (2013), p. 33.
  22. J.T. Fuhrmann (2013), p. 41
  23. J.T. Fuhrmann (2013), p. 42; M. Nelipa (2010), p. 24; Iliodor, p. 112.[3].
  24. R.C. Moe, p. 149.
  25. The Atlantic; "Memories of the Russian Court - an online book on Romanov Russia - Chapter VI". Alexanderpalace.org. สืบค้นเมื่อ 2013-04-28.

หนังสืออ่านเพิ่มเติม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]