มุซัยลิมะฮ์
มุซัยลิมะฮ์ | |
---|---|
مسيلمة | |
![]() ฉากที่มุซัยลิมะฮ์ถูกฆ่าโดยวะฮ์ชี ภาพในTarikhnama | |
เสียชีวิต | 632 อัลยะมะมะฮ์ |
ชื่ออื่น | มัสละมะฮ์ อิบน์ ฮะบีบ |
คู่สมรส | ซาญะฮ์ |
บิดามารดา | ษุมามะฮ์ อิบน์ คอษิร |
มุซัยลิมะฮ์ (อาหรับ: مسيلمة) หรือ มัสละมะฮ์ อิบน์ ฮะบีบ (อาหรับ: مسلمة بن حبيب) เป็นหนึ่งในบุคคล (รวมถึงภรรยาของเขา) ที่อ้างตนเองว่าเป็นศาสดาหลังจากมุฮัมมัดเสียชีวิตในช่วงศตวรรษที่ 7 เขาถูกเรียกจากชาวมุสลิมว่า เป็นศาสดาจอมปลอม และถูกอ้างอิงไปถึง "จอมโกหก" (อาหรับ: الكذّاب อัล-กัซซาบ).[1]
ข้อมูล[แก้]
ชื่อจริงของมุซัยลิมะฮ์ คือ มัสลามาฮ์ บิน ฮาบีบ[2]จากเผ่าบนูฮานีฟะฮ์ หนึ่งในบรรดาเผ่าที่มีขนาดใหญ่ อาศัยอยู่ในแคว้นนัจญ์
ในบันทึกแรกที่มุซัยลิมะฮ์มีส่วนเกี่ยวข้องคือการป้กป้องเผ่าของตนเองโดยให้พวกเขานับถือศาสนาอิสลามในช่วงปลายฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 9
อ้างตนเองว่าเป็นศาสดาและคำสอนของเขา[แก้]
มีคำสอนของเขาไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ถูกบันทึกลงในหนังสือดาเบสตาน-เอ มาซาเฮบ[3]ความว่า: เขาห้ามการกินสุกรและเหล้า ขอพรต่อพระเจ้าทุกวัน วันละสามครั้ง โดยหันไปทางไหนก็ได้ ถือศีลอดตอนกลางคืนในช่วงเดือนรอมฎอน และไม่มีการขลิบปลายอวัยวะเพศ
มุซัยลิมะฮ์มีความสามารถในการร่ายคาถา[4] พร้อมกับสร้างปาฏิหาริย์ต่างๆ เช่น ใส่ไข่ลงในขวด, ตัดขนนกแล้วใส่ลงที่เดิมได้ และใช้ความสามารถนี้ดึงดูดผู้คนให้สนใจเขามากขึ้น
มุซัยลิมะฮ์ได้แบ่งปันโองการที่เขาอ้างว่ามาจากอัลลอฮ์ แล้วบอกผู้คนว่ามุฮัมมัดได้แบ่งอำนาจให้กับเขา หลังจากนั้น ผู้คนเริ่มเชื่อว่าเขาเป็นศาสดาเหมือนกับศาสดามุฮัมมัดและนำทางให้เผ่าของเขาดีขึ้น มุซัยลิมะฮ์จึงเริ่มทำภารกิจเหมือนกับศาสดาของอัลลอฮ์ และแบ่งปันโองการที่เขาอ้างว่าเป็นโองการในอัลกุรอ่าน โดยอายะฮ์ส่วนใหญ่ที่เขาอ้างมีเนื้อหาสรรเสริญเผ่าบนีฮานีฟะฮ์มากกว่าชาวกุเรช
วันหนึ่งเขาเขียนจดหมายถึงมุฮัมมัดในช่วงปลายฮ.ศ.10 ความว่า:
“ | จากมุซัยลิมะฮ์ ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ถึงมุฮัมมัด ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ขอความสันติจงมีแด่ท่าน ข้าและเจ้ามีบางอย่างเหมือนกัน ครึ่งหนึ่งของโลกจะเป็นของเรา ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของโลกจะเป็นของชาวกุเรช แต่ชาวกุเรชเป็นพวกที่ชอบละเมิด | ” |
มุฮัมมัดจึงตอบกลับมาว่า:
“ | "จากมุฮัมมัด ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ถึงมุซัยลิมะฮ์ จอมโกหก สันติต่อผู้ที่ตามทางนำ (ของอัลลอฮ์) ตอนนี้ทุกสิ่งบนโลกขึ้นอยู่กับพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องสรรเสริญพระองค์ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้คือการเกรงกลัวพระองค์"[5] | ” |
แต่งงานกับซาญะฮ์และเสียชีวิต[แก้]
ในระหว่างสงครามปราบกบฎที่เกิดขึ้นหลังจากมุฮัมหมัดเสียชีวิตนั้น ซาญะฮ์ บินต์ อัล-ฮาริษประกาศตนเองว่าเป็นศาสดาหญิงหลังเรียนรู้จากมุซัยลิมะฮ์ และตุลัยฮะฮ์ประกาศว่าเป็นศาสดา[6] เธอมีกองทัพ 4,000 นายและมีสมทบเรื่อยๆ โดยมีจุดหมายไปที่มะดีนะฮ์ แต่อย่างไรก็ตาม แผนนี้ถูกยกเลิกลงหลังจากรู้ว่าทหารของคอลิด อิบน์ วะลีดรบชนะตุลัยฮะฮ์ อัล-อะซาดี (คนที่อ้างตนเองว่าเป็นศาสดา)[7] หลังจากนั้นเธอจึงร่วมมือกับมุซัยลิมะฮ์เพื่อที่จะโจมตีคอลิด แล้วแต่งงานพร้อมยอมรับการเป็นศาสดาของเขา คอลิดจึงจัดการกับกองทัพกบฎของซาญะฮ์แล้วเดินทางไปสู้กับมุซัยลิมะฮ์ มุซัยลิมะฮ์ได้รับบาดเจ็บและถูกฆ่าในสงครามยะมามะฮ์โดย วะฮ์ชี อิบน์ ฮัรบ์ คนเดียวกันที่ฆ่าฮัมซะฮ์ ลุงของมุฮัมหมัดในสงครามอุฮุดก่อนที่จะเข้ารับอิสลาม หลังจากมุซัยลิมะฮ์เสียชีวิตแล้ว ซาญะฮ์จึงเข้ารับอิสลาม[ต้องการอ้างอิง]
ดูเพิ่ม[แก้]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Ibn Kathīr, Ismāʻīl ibn ʻUmar (2000), Ṣafī al-Raḥmān Mubārakfūrī (บ.ก.), al-Miṣbāḥ al-munīr fī tahdhīb tafsīr Ibn Kathīr, vol. 1, Riyadh, Saʻudi Arabia: Darussalam, p. 68
- ↑ "مسلمة الحنفي في ميزان التاريخ لجمال علي الحلاّق" (ภาษาอาหรับ). Elaph. 14 January 2015. สืบค้นเมื่อ 20 September 2017.
- ↑ "The DABISTÁN, or SCHOOL OF MANNERS". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2018-11-16.
- ↑ The Life of the Prophet Muhammad [May Peace and the Blessings of Allah Be Upon Him] : Al-Sira Al-Nabawiyya By Ibn Kathir, Trevor Le Gassick, Muneer Fareed, pg. 67
- ↑ The History of Al Tabari By Ṭabarī, Ismail K. Poonawala, pg. 107
- ↑ E.J. Brill's first encyclopedia of Islam, 1913-1936 By M. Th. Houtsma, p665
- ↑ The Life of the Prophet Muhammad: Al-Sira Al-Nabawiyya By Ibn Kathir, Trevor Le Gassick, Muneer Fareed, pg. 36.
- บทความนี้เรียบเรียงจากเนื้อหาที่ปรากฏใน สารานุกรมนัททอลล์ฉบับ ค.ศ. 1907 (The Nuttall Encyclopædia) ซึ่งในปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติ