มาร์โก โปโล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มาร์โก โปโล
ภาพเหมือนของมาร์โก โปโล[1]
เกิดc. 1254
เชื่อว่าเวนิส, สาธารณรัฐเวนิส
เสียชีวิตมกราคม 9, 1324(1324-01-09) (69 ปี)
เวนิส, สาธารณรัฐเวนิส
สุสานโบสถ์ซานลอเรนโซ, เวนิส
45°15′41″N 12°12′15″E / 45.2613°N 12.2043°E / 45.2613; 12.2043
อาชีพพ่อค้า, นักสำรวจ
มีชื่อเสียงจากบันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล
คู่สมรสโดนาตา บาโดเออร์
บุตรแฟนตินา, เบลเลลา และมอเร็ตตา
บุพการีนิกโกโล โปโล (บิดา)
นิโกล อันนา เดอฟูเซห์ (มารดา)

มาร์โก โปโล (/ˈmɑːrk ˈpl/ ( ฟังเสียง), ภาษาเวเนโต: [ˈmaɾko ˈpolo], ภาษาอิตาลี: [ˈmarko ˈpɔːlo] ( ฟังเสียง); 15 กันยายน ค.ศ. 1254 – 8 มกราคม ค.ศ. 1324)[2] เป็นพ่อค้าวานิช นักสำรวจ และผู้เขียนชาวเวนิส ซึ่งได้เดินทางผ่านเอเชียไปตามเส้นทางสายไหมระหว่างปี ค.ศ. 1271 และ ค.ศ. 1295 การเดินทางของเขาได้ถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือที่ชื่อว่า การเดินทางของมาร์โก โปโล(หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อหนังสือว่า ความมหัศจรรย์ของโลกและเรื่องฝอยล้านเรื่อง ค.ศ. 1300) เป็นหนังสือที่บรรยายให้แก่ชาวยุโรปได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมอันลึกลับและการทำงานภายในของโลกตะวันออก รวมทั้งความมั่นคั่งและความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิมองโกลและจีนในสมัยราชวงศ์หยวน นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นจีน เปอร์เซีย อินเดีย ญี่ปุ่น และเมืองและประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย[3]

เขาเกิดในเมืองเวนิส มาร์โกได้เรียนรู้การค้าขายจากพ่อและลุงของเขาคือ นิกโกโลและมาฟเฟโอ ซึ่งได้เดินทางผ่านเอเชียและเข้าเฝ้ากุบไล ข่าน ในปี ค.ศ. 1269 พวกเขาเดินทางกลับมายังเวนิสเพื่อพบกับมาร์โกเป็นครั้งแรก ทั้งสามคนได้เริ่มออกเดินทางครั้งยิ่งใหญ่สู่เอเชีย สำรวจสถานที่ต่าง ๆ ตามเส้นทางสายไหมจนกระทั่งพวกเขาได้เดินทางมาถึงคาเธ่ย์(จีน) พวกเขาได้รับการต้อนรับจากราชสำนักกุบไล ข่าน ซึ่งพระองค์ทรงประทับใจในสติปัญญาและความอ่อนน้อมถ่อมตนของมาร์โก มาร์โกได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นทูตต่างประเทศของข่าน และเขาถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจทางการทูตมากมายทั่วทั้งจักรวรรดิและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พม่า อินเดีย อินโดนีเซีย ศรีลังกา และเวียดนามในปัจจุบัน[4][5] ในการได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้ มาร์โกยังได้เดินทางอย่างกว้างขวางในประเทศจีน ซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนของจักรพรรดิมาเป็น 17 ปี และได้พบเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่ชาวยุโรปไม่เคยรู้จักมาก่อน[6] ราวปี ค.ศ. 1291 โปโลยังได้เสนอให้พาองค์หญิงมองโกลที่มีพระนามว่า Kököchin ไปยังเปอร์เซีย พวกเขาได้เดินทางมาถึงราวปี ค.ศ. 1293 ภายหลังได้จากลาองค์หญิงแล้ว พวกเขาได้เดินทางบกไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล และจากนั้นก็ไปยังเวนิส เป็นการเดินทางกลับบ้านหลังจากมาเป็นเวลา 24 ปี ในช่วงเวลานั้น เวนิสกำลังทำสงครามกับเจนัว มาร์โกได้ถูกจับกุมและคุมขังโดยพวกเจนัว ภายหลังจากเข้าร่วมในความพยายามทำสงครามและเล่าเรื่องราวของเขาให้แก่ Rustichello da Pisa เพื่อนร่วมห้องขังได้รับฟัง เขาได้รับการปล่อยตัวในปี ค.ศ. 1299 ต่อมาได้กลายเป็นพ่อค้าผู้มั่นคั่งร่ำรวย ได้แต่งงาน และมีบุตรสามคน เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1324 และร่างของเขาถูกฝังไว้ในโบสถ์ซาน ลอเรนโซ่ในเมืองเวนิส

แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ชาวยุโรปคนแรกที่ได้เดินทางไปถึงจีน(ดูจากชาวยุโรปในจีนยุคกลาง) มาร์โก โปโลเป็นคนแรกที่ได้สำรวจบางส่วนของเอเชียและทิ้งบันทึกเรื่องราวโดยละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขา เรื่องราวเกี่ยวกับตะวันออกทำให้ชาวยุโรปได้เห็นภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับภูมิศาสตร์และประเพณีทางชาติพันธุ์ของตะวันออก และเป็นบันทึกของชาวตะวันตกครั้งแรกที่เกี่ยวข้องกับเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ถ่านหิน ดินปืน เงินกระดาษ และพืชและสัตว์ต่างถิ่นบางชนิดในเอเชีย[7] หนังสือการเดินทางของเขาได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส[8] และนักเดินทางคนอื่น ๆ อีกหลายคน มีวรรณกรรมมากมายที่อิงจากงานเขียนของโปโล เขายังมีอิทธิพลต่อการทำแผนที่ยุโรป จึงนำไปสู่การแนะนำแผนที่แบบฟาเมาโร (Fra Mauro map)

อ้างอิง[แก้]

  1. ไม่ทราบแหล่งที่มาชัดเจน แต่มีต้นกำเนิดจากภาพวาดในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในหอศิลป์ Monsignor Badia ในกรุงโรม มีคำจารึกว่า: Marcus Polus venetus totius orbis et Indie peregrator primus ปรากฏในหนังสือ Nordisk familjebok Berg 1915, p. 1261
  2. Bergreen 2007, pp. 340–42.
  3. Benedetto, Luigi Foscolo (1965). "Marco Polo, Il Milione". Istituto Geografico DeAgostini (ภาษาอิตาลี).
  4. Rongguang Zhao, Gangliu Wang, Aimee Yiran Wang. A History Of Food Culture In China. p. 94.{{cite book}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  5. Christopher Kleinhenz. Routledge Revivals: Medieval Italy (2004): An Encyclopedia – Volume II, Volume 2. p. 923.
  6. "Marco Polo". Worldatlas.com. WorldAtlas.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-06-09. สืบค้นเมื่อ 2021-08-09.
  7. Robin Brown (2008). Marco Polo: Journey to the End of the Earth. Sutton.
  8. Landström 1967, p. 27

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]