มาตรการรัดเข็มขัดในประเทศโรมาเนีย คริสต์ทศวรรษ 1980
ในทศวรรษ 1980 ได้มีการประกาศใช้มาตรการรัดเข็มขัดในสาธารณรัฐสังคมนิยมโรมาเนียโดยนีกอลาเอ ชาวูเชสกู เพื่อที่จะจ่ายหนี้ภายนอกที่รัฐก่อขึ้นในทศวรรษ 1970 มาตรการรัดเข็มขัดเริ่มขึ้นในปี 1981 และได้นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาซึ่งดำเนินเรื่อยมาตลอดทศวรรษ 1980 โดย "ช็อกเทอราพี ที่มีลักษณะเฉพาะตัว " ("sui generis shock therapy") นี้ได้ทำให้ความสามารถแข่งขันของเศรษฐกิจในโรมาเนียตกต่ำ และเป็นผลให้การส่งออกต้องลดลง[1]
ถึงแม้ว่ามาตรการจะช่วยจ่ายหนี้ต่างชาติให้ได้ แต่มาตรการนี้มีผลเสียต่อมาตรฐานการดำรงชีพของชาวโรมาเนีย นำไปสู่การขาดแคลนสินค้า[1] และท้ายที่สุดจบลงที่การประหารชีวิตของชาวูเชสกู และการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์โรมาเนียผ่านการปฏิวัติโรมาเนียในเดือนธันวาคม 1989
ภูมิหลัง
[แก้]ระหว่างปี 1950 ถึง 1975 เศรษฐกิจของโรมาเนียเติบโตเร็วที่สุดเป็นชาติหนึ่งของโลก[2] และในทศวรรษ 1960 ถึงต้นทศวรรษ 1970 นีกอลาเอ ชาวูเชสกู ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำยุโรปตะวันออกที่ "มีสติปัญญา" ("enlightened")[3] ด้วยนโยบายภายในประเทศของเขา เขาพยายามที่จะได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากในช่วยปลายทศวรรษ 1960 ผ่านการเพิ่มค่าแรง, การปฏิรูประบบบำนาญ และการกระตุ้นการบริโภคผ่านการลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค[4]
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตมากในทศวรรษ 1970 การเติบโตส่วนมากมาจากการลงทุนในอุตสาหกรรมหนัก (34.1% ของจีดีพีในแผนห้าปี 1971-1975) มากกว่าจะมาจากการบริโภค[2] บางอุตสาหกรรมเช่นปิโตรเคมี และ เหล็กกล้า มีความสามารถการผลิตสูงกว่าอุปสงค์ในตลาดท้องถิ่นและตลาดภายนอกที่มีอยู่ นำไปสู่ความสามารถใช้งานที่ไม่ถูกใช้เต็มที่ (underused capacities)[2] โดยภาพรวมแล้ว เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากทั้งจากหน่วยการผลิตที่มีผลผลิตมากแต่ไม่มีประสิทธิภาพ และการปลอมแปลงสถิติกับการกักตุนสินค้าที่ขายไม่ออก[2]
เศรษฐกิจของโรมาเนียมีความโน้มเอียงพิเศษให้กับธุรกิจขนาดใหญ่ โดย 87% ของแรงงานอุตสาหกรรม และ 85% ของอุปทาน เป็นของธุรกิจที่มีพนักงานมากกว่า 1000 คน ทำให้เกิดการขาดความยืดหยุ่นในเศรษฐกิจของประเทศ[1]
Daniel Dăianu ระบุว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีในยุคนี้ ถือเป็นการเติบโตอย่างยากไร้ (immiserizing growth) เนื่องจากการกลายเป็นอุตสาหกรรมและการเพิ่มการพึ่งพากับเศรษฐกิจแบบตลาดถูกเร่งให้เกิดเร็วขึ้น บนพื้นฐานโครงสร้างที่อ่อนแอ ผ่านการปฏิเสธกลไกของตลาด[5] การเจริญเติบโตแบบนี้ทำให้การส่งออกถูกจำกัดการเติบโต และเงินที่นำมาจ่ายการกู้ยืมมาจากส่วนต่างในการนำเข้า[5]
การกู้ยืมจากนานาชาติ
[แก้]ในต้นทศวรรษ 1970 ประเทศในตะวันตกมีความประสงค์ที่จะสนบัสนุนเงินทุนให้กับโรมาเนียเพื่อซื้อและพัฒนาเทคโนโลยี บนพื้นฐานของการพิจารณาทางการเมือง[2] หนี้สินของโรมาเนียต่อเจ้าหนี้ตะวันตก เพิ่มขึ้นจาก 1,200 ล้านดอลลาร์ ในปี 1971 ไปสูงสุดที่ 13,000 ล้านดอลลาร์ในปี 1982[6] วิกฤตพลังงานทศวรรษ 1970 ประกอบกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลกในปี 1974 ทำให้โรมาเนียไม่สามารถจ่ายหนี้ได้[2]
ในปี 1981 โรมาเนียได้ขอวงเงินสินเชื่อจากไอเอ็มเอฟ[2] และประกาศใช้นโยบายทางเศรษฐกิจที่จะช่วยจ่ายหนี้สินของรัฐได้[7]
มาตรการรัดเข็มขัด
[แก้]ชาวูเชสกูเริ่มต้นนโยาบายรัดเข็มขัดโดยไม่ได้ปฏิรูประบบแผนของโรมาเนียที่รวมศูนย์และไม่ยืดหยุ่น[2] ทรัพยากรพลังงานในประเทศถูกส่งตรงเข้าการผลิตสินค้าอย่างที่จะส่งออกไม่มีประสิทธิภาพ[2] แม้แต่สินค้าพื้นฐานต่อการดำรงชีพ เช่น อาหาร ความร้อน ไฟฟ้า และบริการทางการแพทย์ ถูกจัดสรรปันส่วน (rationed) และโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ก็ถูกทิ้งให้เสื่อมสลายไปตามเวลา[8] ในปี 1983 มาตรฐานการดำลงชีพของโรมาเนียลดลงถึง 19-40 เปอร์เซ็นต์ ตามจำนวนที่รายงานโดย IMF[9]
เงินเฟ้อและรายได้แท้จริงลดต่ำ
[แก้]ในปี 1978 เป็นต้นมา รัฐบาลได้เริ่มการเพิ่มราคาสินค้าและบริการที่ก่อนหน้าคงที่มาตลอด การเพิ่มราคาสินค้าระลอกแรกเป็นของอาหาร บริการ ขนส่งมวลชน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ไม้ และสินค้าจากไม้ ระลอกที่สองมาในปี 1979 สำหรับค่าพลังงาน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า[9] ตลอดปี 1982 ราคาของทุกอย่างได้ขึ้นสูงอีกครั้ง เดิมทีแผนนี้มีไปเพื่อเพิ่มราคาสินค้าพื้นฐานครั้งใหญ่ ครั้งเดียว แต่ต่อมาแผนที่ถูกนำมาใข้จริงกลับเป็นหารค่อน ๆ ขึ้นราคาสินค้าทุกชนิด ในปี 1982 ราคาสินค้าต่าง ๆ สูงขึ้นกว่า 35%[10] นอกจากนี้ยังมีการบังคับจำกัดการใช้พลังงาน ส่วนราคาค่าไฟฟ้าสูงขึ้น 30% และค่าก๊าซธรรมชาติสูงขึ้น 150%[10]
ในช่วงวันที่ 7/8 ตุลาคม 1982 คณะกรรมการกลางผ่านกฎหมายว่าด้วยการมีส่วนร่วมของแรงงายในกองทุนการลงทุนในรัฐวิสาหกิจ ที่ซึ่งแรงงานได้รับ "สิทธิ" (แต่ในทางปฏิบัติ เป็นการบังคับให้) ลงทุนเงินของตนเองในกองทุนนี้ เพื่อที่ในทางทฤษฎีจะได้เป็นเจ้าของร่สมของบริษัท แต่ในทางปฏิบัติหมายถึงการลดเงินเดือนของแรงงานลง[11] ในเดือนธันวาคม 1982 มีการประกาศใช้การปฏิรูปเงินเดือนระบบใหม่ ซึ่งให้บางส่วนของรายได้จะถูกจ่ายคืนแก่คนงาน ก็ต่อเมื่อบริษัทบรรลุเป้าหมายของตน แรกเริ่มอยู่ที่ 24% และต่อมาได้เพิ่มเป็น 27% อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง "เป้าหมาย" เหล่านี้มักไม่ค่อยบรรลุได้โดยบริษัท ในทางพฤตินัย ระบบนี้จึงเป็นการลเเงินเดือนแรงงานลงไปอีก[12]
รายได้แท้จริงของพลเมืองจึงเริ่มที่จะลดลงจากทั้งภาวะเงินเฟ้อ การขาดแคลนสินค้าบางชนิด และตลาดมืดซึ่งเฟื่องฟูจากการขายสินค้าในราคาที่สูงเกินกว่าราคาปกติของตลาด[13]
การตัดงบประมาณรัฐ
[แก้]ในระหส่างปี 1980 ถึง 1985 มีการตัดงบประมาณที่รัฐใช้จ่ายในภาคส่วนที่อยู่อาศัย (37%), บริการสุขภาพและสาธารณสุข (17%) และการศึกษา วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ (53%) ตามข้อมูลที่เสนอกับ Comecon[13]
การลดงบประมาณสาธารณสุขยังนำไปสู่อัตราการเสียชีวิตของทารกที่เพิ่มขึ้นสูงที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรป และความชุกของโรค AIDS ที่เพิ่มขึ้นสูง[14] ผ่านการติดต่อจากการใช้เข็มฉีดใต้ผิวหนังซ้ำในโรงพยาบาล
การประชุมงบประมาณกองทัพในปี 1986 มีขึ้นในวันที่ 23 พฤศจิกายน เพื่อลดขนาดกองทัพและลดงบประมาณค่าใช้จ่ายของกองทัพลง 5%[15]
การขาดแคลนอาหาร
[แก้]ภาคกสิกรรมของโรมาเนียไม่ได้รับความสนใจ เนื่องจากรัฐโรมาเนียพุ้งเป้าไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรม ภาคกสิกรรมที่ไม่มีประสิทธิภาพในการผลิตของโรมาเนียมีการจ้างงานคิดเป็น 30% ของประเทศ[16] แต่ได้รับการลงทุนที่น้อยและขาดการบริหารที่ดี นอกจากนี้ ภาคกสิกรรมยังขาดแรงงานทางการเกษตรอย่างหนัก รัฐแก้ไขปัญหานี้ด้วยการส่งเด็กนักเรียนและนักศึกษาหลายล้านคนต่อปี (2.5 ล้านคน ในปี 1981, 2 ล้านคน ในปี 1982) ให้ไปทำการเก็บเกี่ยวหรือทำงานในไร่นา[16]
โรมาเนียเริ่มเผชิญกับภาวะขาดทรัพยากรอาหารอย่างหนัก และถึงแม้จะมีความพยายามของรัฐที่จะแก้ไขปัญหานี้ การขาดแคลนอาหารยังคงดำเนินไปตลอดทศวรรษ 1980[17] นับตั้งแต่ปี 1983 ไร่รวม (collective farms) และทาสแต่ละคน จะต้องส่งผลผลิตแก้รัฐ (การปฏิบัติเช่นนี้ถูกรัฐห้ามกระทำไปแล้วในปี 1956) และในการค้าขายสินค้าในตลาดเกษตรกรก็จะต้องเป็นไปภายใต้เพดานราคาที่ถูกบังคับใช้อย่างหนัก[6]
ในปี 1981 ได้เริ่มการใช้ระบบจัดสรรส่วน (rationing) สำหรับสินค้าอาหารพื้นฐาน ได้แก่ขนมปัง นม ไข่ น้ำมัน น้ำตาล และเนื้อสัตว์[9] ทุกที่ในประเทศ ยกเว้นเพียงเมืองหลวงบูคาเรสต์[18] นอกจากนี้ ชาวูเชสกูยังได้นำเอาโรงการ "กินอย่างเป็นสัดเป็นส่วน" (Rational Eating Programme) มาใช้ ซึ่งเป็น "แผนทางวิทยาศาสตร์" สำหรับการจำกัดการบริโภคแคลอรีสำหรับชาวโรมาเนีย โดยอ้างว่าชาวโรมาเนียบริโภคอาหารมากเกินไป โครงการนี้มีความพยายามที่จะลดการบริโภคแคลอรีลง 9-15 % หรือคือให้เหลือไม่เกิน 2,800-3,000 แคลอรีต่อวัน ในเดือนธันวาคม 1983 ได้มีการประการใช้โครงการจำกัดแคลอรีใหม่สำหรับปี 1984 ที่มีแคลอรีจำกัดต่อวันที่ลดลงไปอีก[9]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 Dăianu, p. 393
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 2.7 2.8 Bacon, p. 374
- ↑ Roper, p.45
- ↑ Roper, p.47
- ↑ 5.0 5.1 Dăianu, p. 392
- ↑ 6.0 6.1 Georgescu, p. 270
- ↑ Debt Halved, Romania Says, The New York Times November 28, 1986
- ↑ Bacon, p. 374-375
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 Georgescu, p. 260
- ↑ 10.0 10.1 Burakowski, p. 274
- ↑ Burakowski, p. 275
- ↑ Burakowski, p. 276
- ↑ 13.0 13.1 Georgescu, p. 271
- ↑ Roper, p. 56
- ↑ Rumänien, 23. November 1986 : Verkleinerung des Heeres, Senkung der Rüstungsausgaben um 5% Direct Democracy
- ↑ 16.0 16.1 Georgescu, p. 261
- ↑ Georgescu, p. 259
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อdeletant248
บรรณานุกรม
[แก้]- Henry F. Carey (ed.), Romania since 1989: Politics, Economics, and Society, Lexington Books, 2004, ISBN 9780739105924
- Wally Bacon, "Economic Reform", p. 373-390
- Daniel Dăianu, "Fiscal and Monetary Policies", p. 391-417
- Vlad Georgescu, The Romanians: A History, Ohio State University Press, 1991, ISBN 0814205119
- Stephen D. Roper, Romania: The Unfinished Revolution, Routledge, 2000, ISBN 978-90-5823-028-7
- Dennis Deletant, Ceaușescu and the Securitate: Coercion and Dissent in Romania, 1965-1989, M.E. Sharpe, London, 1995, ISBN 1-56324-633-3.
- Adam Burakovski (2011). Dictatura lui Nicolae Ceaușescu, 1965-1989 - Geniul Carpaților. Polirom. ISBN 978-973-46-1963-4.