ภารกิจอัลบานี
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
ภารกิจอัลบานี | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด, การรุกรานนอร์มังดี | |||||||
กองพลพลร่มที่ 101 สหรัฐอเมริกา | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
สหรัฐอเมริกา | นาซีเยอรมนี | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
แมกซ์เวลล์ ดี. เทเลอร์ | เฟรเดอริก ฟอน เดอ ฮีด์เทอ | ||||||
กำลัง | |||||||
พลร่ม 6,928 นาย กองกำลังเครื่องร่อน 2,300 นาย | ประมาณ 6,000 นาย (7 กองพันทหารราบ, 1 กรมทหารปืนใหญ่) | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
(การรบ) เสียชีวิต 546 นาย บาดเจ็บ 2,217 นาย สูญหาย 107 นาย | เสียชีวิต, บาดเจ็บ และสูญหาย ประมาณ 4,500 นาย |
ภารกิจอัลบานี (อังกฤษ: Mission Albany) เป็นปฏิบัติการจู่โจมของกองพลส่งทางอากาศที่ 101 สหรัฐ ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 เป็นส่วนหนึ่งของการจู่โจมของพลร่มอเมริกาที่แคว้นนอร์ม็องดี เป็นการเปิดฉากของปฏิบัติการเนปจูน และการจู่โจมของสัมพันธมิตรในการปลดปล่อยฝรั่งเศส (ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด) พลร่ม 6,928 นายกระโดดออกจากเครื่องบินขนส่งซี - 47 (C-47 Skytrain) จำนวน 443 ลำที่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของ คาบสมุทรโกเต็นแต็งในฝรั่งเศส เป็นบริเวณกว้าง 39 ตร.กม. ห้าชั่วโมงก่อนการยกพลขึ้นบก[1] หลังจากกระโดดพลร่มกระจัดกระจายเนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายและปืนต่อสู้อากาศยานของเยอรมันยิงต่อต้านเป็นจำนวนมาก พลร่มบางนายกระโดดผิดจากจุดที่กำหนดไว้ไปไกลถึง 32 กม.
แผนการคือกองพลพลร่มที่ 101 ต้องทำภารกิจส่วนใหญ่ในวันดีเดย์ แต่กลับต้องใช้เวลาถึงสี่วันในการรวมพลที่กระจัดกระจายอยู่และทำภารกิจให้สำเร็จ ภารกิจที่ได้รับมอบหมายคือการวางแนวป้องกันปีกซ้ายและแนวหลังของกองทัพน้อยที่ 7 (สหรัฐฯ) โดยมีกองหนุนคือทหารราบเครื่องร่อน 2,300 นาย ที่กำลังยกพลขึ้นบกขึ้นมา
ภาพรวม[แก้]
ภารกิจของกองพลพลร่มที่ 101 คือการยึดทางออกของถนนคันดินทั้ง 4 สาย หลังหาดยูทาห์, ทำลายฐานปืนใหญ่ของเยอรมันที่แซงก์มาแต็งเดอแวร์วีย์ (Saint-Martin-de-Varreville), ยึดอาคารบริเวณใกล้เมซีแยรส์ ซึ่งเชื่อกันว่าถูกใช้เป็นที่พักและศูนย์บัญชาการของหน่วยทหารปืนใหญ่เยอรมัน, ยึดแนวแม่น้ำดูฟว์ใกล้ ลา แบร์แกตต์ ตรงข้ามเมืองการ็องตง (Carentan), ยึดสะพานข้ามแม่น้ำดูฟว์ที่ลาปอร์ ตรงข้ามเมืองแบร์วองส์ (Brevands), ทำลายสะพานข้ามแม่น้ำดูฟว์ที่แซงก์กงดูมงต์ (Sainte-Come-du-Mont) และวางแนวป้องกันรอบแม่น้ำดูฟว์
ในระหว่างขั้นตอนของภารกิจนั้น หน่วยจะต้องทำลายการสื่อสารของฝ่ายเยอรมัน, สร้างสิ่งกีดขวางการส่งกำลังบำรุงของฝ่ายเยอรมันรวมถึงวางแนวตั้งรับระหว่างหัวหาดและที่วาโลญส์ (Valognes), จัดตั้งพื้นที่ส่งกำลังบำรุงในขอบเขตของหน่วยที่เลฟอร์ช (les Forges) และเชื่อมแนวกับกองพลพลร่มที่ 82
กองกำลังของฝ่ายเยอรมันที่ทำการตั้งรับในปฏิบัติการครั้งนี้ประกอบด้วย กองพันที่ 3 ของกรมทหารเกรเนเดียร์ที่ 1058 (กองพลขนส่งทางอากาศที่ 91) ในบริเวณใกล้เคียงกับแซงก์ โกม ดู มงต์, กรมทหารเกรเนเดียร์ที่ 919 (กรมทหารราบที่ 709) หลังหาดยูทาห์, กรมทหารปืนใหญ่ที่ 191 (105 มม.โฮล์วิตเซอร์, กองพลขนส่งทางอากาศที่ 91) และกรมพลร่มที่ 6 ที่ถูกส่งไปที่การ็องตง (Carentan) ในวันดีเดย์
บรรยายสรุป[แก้]
ภารกิจอัลบานีเป็นหนึ่งในสองปฏิบัติการกระโดดร่มร่วมกับ "ภารกิจบอสตัน" ที่ตามมาหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นเพื่อส่งกองพลพลร่มที่ 82 ในแต่ละภารกิจจะประกอบด้วยกรมพลร่มสามกรม จุดลงของกองกองพลพลร่มที่ 101 อยู่ทางตะวันออกและใต้ของ แซงก์ แมร์ เอกลิส กำหนดด้วยตัวอักษร A, C และ D จากเหนือถึงใต้ (จุดลง B เป็นจุดลงของกรมพลร่มที่ 501 ก่อนการเปลี่ยนจุดกระโดดในวันที่ 27 พฤษภาคม)
กรมพลร่มแต่ละกรมจะถูกขนส่งไปเป็นชุดละ 3 หรือ 4 (ในแต่ละขบวนจะประกอบด้วยเครื่องซี - 47 36, 45 หรือ 54 ลำ) รวมทั้งหมดสิบชุดหรือ 432 ลำเครือ่งบินแต่ละลำจะได้รับการพ่นสีในแต่ละชุดของตัวเอง (หมายเลขเหล่านี้มีไว้เพื่อช่วยเหลือพลร่มให้ขึ้นเครื่องได้อย่างถูกต้อง) และแปรขบวนเป็นรูปตัวอักษร "V" (เครื่องบินสามลำในแต่ละแถวและชุดละ 9 ลำ) แต่ละชุดถูกวางกำหนดเวลาให้ปล่อยพลร่มเป็นกลุ่มเหนือจุดปล่อยห่างกัน 6 นาทีโดยที่เครื่องแต่ละลำสามารถขนพลร่มได้ลำละ 15-18 นาย
การเตรียมการโดดก่อนการกระโดดร่มหลักได้ถูกเตรียมการโดยทีมพาร์ธไฟน์เดอร์ สามทีมซึ่งมาถึงจุดลงสามสิบนาทีก่อนกองกำลังหลักจะมาถึง เพื่อติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณนำทางประกอบด้วย เครื่องส่งสัญญาณยูเรก้า และไฟสัญญาณบอกตำแหน่ง เพื่อนำทางเครื่องซี - 47 ไปถึงจุดปล่อยในความมืดได้
เพื่อให้เกิดความประหลาดใจ พลร่มได้บินผ่านเหนือนอร์มังดีในความสูงระดับต่ำจากทางทิศตะวันตก เครื่องบินในแต่ละชุดได้แยกตัวเมื่อเวลา 22.30 น. ของคืนวันที่ 5 มิถุนายน หลังจากนั้นได้บินข้ามทางตะวันตกเฉียงใต้ของช่องแคบอังกฤษ ในระดับความสูง 150 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลเพื่อป้องกันการตรวจจับจากเรดาห์ของฝ่ายเยอรมัน ในขณะที่บินอยู่เหนือน้ำเครื่องบินทุกลำได้รับคำสั่งให้ดับไฟทุกดวงในเครื่องบิน เมื่อเครื่องบินมาถึงเรือนำทางรหัส "โฮโบเคน" (Hoboken) ที่บรรทุกเครื่องส่งสัญญาณยูเรกามาด้วย เครื่องบินแต่ละลำได้เลี้ยวซ้ายไปทางตะวันออกเฉียงใต้และบินเหนือหมู่เกาะในช่องแคบอังกฤษเพื่อไปถึงจุดหมายสุดท้ายคือ แหลมโกเต็นแต็งรหัส "โมลชูส์" (Muleshoe)
ขณะที่บินอยู่เหนือแหลมโกเต็นแต็งมีปัจจัยหลายอย่างที่ลดความแม่นยำในการนำทางไปสู่จุดปล่อยตัว เช่นกลุ่มเมฆหนาทางตะวันตกประมาณครึ่งนึงของแหลมที่ความสูง 1,500 ฟุตและหมอกในบริเวณพื้นดินเหนือจุดปล่อย และการยิงต่อต้านจากปืนต่อสู้อากาศยานของเยอรมัน สภาพอากาศที่ย่ำแย่ทำให้ฝูงบินแต่ละชุดแยกกันและการยิงต่อต้านจากภาคพื้นดินก็ทำให้ฝูงบินกระจัดกระจายมากขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตามปัจจัยหลักที่ทำให้การกระโดดร่มมีข้อจำกัด ไม่ใช่ปัจจัยต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น หากแต่เป็นการตัดสินใจที่จะกระโดดร่มในตอนกลางคืนต่างหาก
การจู่โจมในวันดีเดย์[แก้]
จุดปล่อย เอ (Drop Zone A)[แก้]
พลร่มกองพลพลร่มที่ 101 "อินทรีโกญจนาท" ได้กระโดดออกจากเครื่องในช่วงเวลา 00.48 น. ถึง 01.40 น. ในวันที่ 6 มิถุนายน พลร่มระลอกแรกได้เดินทางมาถึงจุดปล่อย เอ (DZ A) ซึ่งอยู่เหนือสุด กลุ่มเมฆหนาไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้รูปขบวนของฝูงบินแตกตัว แต่ระบบนำร่องและสัญญาณที่ขาดๆหายๆของเครื่องส่งสัญญาณยูเรก้าต่างหากที่เป็นสาเหตุ ถึงแม้ว่ากองพันที่ 2 ของกรมพลร่มที่ 502 จะกระโดดเป็นกลุ่มขนาดเล็ก แต่ก็โดดลงผิดจุด ในขณะที่ผู้บังคับการกองพันที่สอง พ.ท.สตีฟ เอ แชปเพียส กระโดดลงถูกจุดแต่แทบจะเป็นคนเดียวที่โดดถูกจุด พ.ท.สตีฟ และพลร่มที่รวมพลมาได้เข้ายึดฐานปืนใหญ่และคนพบว่าฐานปืนใหญ่นี้ถูกทำให้ใช้การไม่ได้แล้วจากการโจมตีทางอากาศ
พลร่มที่เหลือของกรมพลร่มที่ 502 (70 กลุ่มใน 80) กระโดดร่มแบบไร้ซึ่งรูปขบวนรอบๆ จุดปล่อยที่ถูกกำหนดไว้โดยหน่วยพาร์ธไฟน์เดอร์บริเวณใกล้ชายหาด ผู้บังคับการกองพันที่ 1 และ 3 (พ.ท.แพทริก เจ.แคซซิดี (1/502) และ พ.ท.โรเบิร์ท จี.โคล (3/502) ได้จัดตั้งหน่วยขนาดเล็กและปฏิบัติตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายในวันดีเดย์ได้สำเร็จ หน่วยของ พ.ท.แคซซิดี ได้ยึดแซงก์มาแต็งเดอแวร์วีย์ (Saint-Martin-de-Varreville) สำเร็จในเวลา 06.30น. และได้ส่งหน่วยลาดตระเวณภายใต้การควบคุมของ ส.อ.แฮร์ริสัน ซี.ซัมเมอร์ส เข้ายึดเป้าหมาย "XYZ" ซึ่งเป็นค่ายทหารใกล้เมซีแยรส์ และตั้งแนวป้องกันตั้งแต่โฟการ์วีย์ (Foucarville) จนถึงเบอเซอวีย์ (Beuzeville) พ.ท.โคล และคณะเคลื่อนที่ในตอนกลางคืนจากบริเวณใกล้แซงต์แมร์เอกลีส (Sainte-Mère-Église) ไปที่ฐานปืนใหญ่ใกล้แวร์วีย์ (Varreville) หลังจากนั้นได้ทำการยึดถนนคันดินสายที่ 4 ซึ่งถูกป้องกันโดยการยิงจากปืนใหญ่เยอรมันหลังจากนั้น พ.ท.แคสซิดี ได้แจ้งกับ กองพลทหารราบที่ 4 ว่าถนนสายนี้ไม่สามารถใช้เป็นทางออกได้
ปืนใหญ่ของกองพลที่ถูกขนส่งมาทางอากาศ ไม่ได้ถูกใช้งานเท่าที่ควรและเป็นการขนส่งทางอากาศที่แย่ที่สุดในปฏิบัติการครั้งนี้ ปืนใหญ่เหล่านี้สูญหายไปเกือบหมดยกเว้นปืนใหญ่โฮล์วิตเซอร์ 1 กระบอกส่วนที่เหลือพลาดจุดปล่อยไปทางเหนือ 32 กม.
จุดปล่อย ซี (Drop Zone C)[แก้]
การกระโดดระลอกสองได้กำหนดให้กรมพลร่มที่ 506 กระโดด ณ จุดปล่อย ซี (DZ C) ระยะ 1.6 ก.ม.ทางตะวันตกของแซงต์มารีดูมงต์ (Sainte-Marie-du-Mont) กลุ่มเมฆที่หนาและการยิงตอบโต้จากภาคพื้นดินในระยะ 16 ก.ม.ได้ทำให้เครื่องบิน 3 จาก 81 ลำหลงทางก่อนการกระโดดจะเริ่มต้นขึ้น เครื่องบินลำแรกนำโดย ร.ท.มาร์วิน เอฟ.เมียร์ จากฝูงบินขนส่งทางอากาศที่ 439 ถูกระดมยิง ร.ท.เมียร์ ได้ประคองเครื่องระหว่างที่พลร่มกำลังกระโดดออกจากเครื่องก่อนเครื่องจะตก วีรกรรมในครั้งนี้ทำให้เขาได้รับ "กางเขนสดุดีวีรกรรมอันโดดเด่น" (Distinguished Service Cross) กองพันที่ 1 ของกรมพลร่มที่ 506 นำโดย พ.ท.วิลเลียม แอล.เทอเนอร์ (ซึ่งเสียชีวิตในการรบในวันต่อมา) ได้กระโดดร่มลงในจุดปล่อย ซี อย่างแม่นยำส่วนที่เหลือ 2 ใน 3 รวมถึงผู้บังคับการกรมพลร่มที่ 506 พ.อ.รอเบิร์ต เอฟ. ซิงก์ ได้กระโดดลงห่างจากจุดที่กระโดดไว้ในระยะไม่เกินหนึ่งไมล์
กองพันที่ 2 ที่ควบคุมโดย พ.ท.โรเบิร์ต แอล.สเตรเยอร์ ส่วนใหญ่ได้กระโดดร่มห่างจากจุดที่กำหนดไว้คือทางตะวันตกของแซงต์แมร์เอกลีส (Sainte-Mère-Église) ในที่สุดกองพันที่ 2 ก็สามารถรวมพลได้บริเวณใกล้โฟการ์วีย์ (Foucarville) บริเวณส่วนเหนือสุดของพื้นที่เป้าหมายของกองพล ระหว่างทางกองพันได้พบกับการต่อต้านบริเวณทางเข้าหมู่บ้านเลอเชอแมง (le Chemin) ใกล้ ๆ โอเดียงวีย์ (Houdienville) จนถึงตอนบ่าย หลังจากนั้นพบว่ากรมทหารราบที่ 4 ได้ทำการยึดทางออกไว้แล้วในเวลาก่อนหน้านี้ กองพันที่ 3 ของกรมพลร่มที่ 501 ควบคุมโดย พ.ท.จูเลี่ยน เจ.อีเวลล์ (3/501) ได้ถูกกำหนดไว้ว่าจะต้องกระโดดลงในจุดปล่อย ซี เช่นกันได้กระจัดกระจายลงทั่วบริเวณจุดปล่อยแต่ก็สามารถยึดทางออกตามจุดประสงค์ได้ กองร้อยกองบังคับการกองพลรวมถึงผู้บังคับการกองพล พลตรี.แม๊กซ์เวลล์ ดี.เทเลอร์ ได้ไปถึงทางออกที่โปป์เปอวีย์ (Pouppeville) เมื่อเวลา 06.00 น. หลังจากนั้นได้มีการปะทะกับกองกำลังบางส่วนจากกรมทหารเกรเนเดียร์ที่ 1058 ของเยอรมันเป็นเวลาหกชั่วโมง กองร้อยกองบังคับการกองพลก็สามารถยึดทางออกจากหัวหาดมาได้ก่อนที่กองพลทหารราบที่ 4 จะมาถึง
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Dr. John C. Warren (1956). "Appendix A: Operation Neptune statistical tables". USAF Historical Study 97: Airborne Operations in World War II, European Theater of Operations. Air University., 224
บรรณานุกรม[แก้]
- Warren, J. C. (1956). Airborne Operations in World War II, European Theater (PDF). USAF Historical Studies. Maxwell AFB, Alabama: USAF Historical Division, Research Studies Institute Air University. ISBN 0-89126-015-3. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 24 June 2016. สืบค้นเมื่อ 15 June 2014.
- Martin Wolfe (1993). Green Light! A Troop Carrier Squadron's War from Normandy to the Rhine. Washington: Center for Air Force History. ISBN 0812281438. This book may be found on-line.
- Gordon A. Harrison (1951). "The Sixth of June". Cross-Channel Attack. Washington: United States Army Center of Military History. CMH Pub 7-4. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-02-26. สืบค้นเมื่อ 2022-01-06.
- Maj. Roland G. Ruppenthal (1948). "The Airborne Assault and The Battle for Carentan (8–15 June)". Utah Beach to Cherbourg. Washington: United States Army Center of Military History. CMH Pub 100-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-16. สืบค้นเมื่อ 2022-01-06.
- Regimental Unit Study No. 3 "506th Parachute Infantry in Normandy Drop" เก็บถาวร 2010-06-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, an official history by S.L.A. Marshall and the basis for his book Night Drop
- German Order of Battle, a private site well-documented from German records of OB, strength, and casualties
- "Battle to Control Carentan" John McManus, History Net
- U.S. Airborne in Cotentin Peninsula / D-Day Etat des Lieux.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- US Army map of area of operations Large scale topographical map depicts the 101st's area on the right half.
- Map of German dispositions on 5 June 44 เก็บถาวร 2006-09-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- The SNAFU Special - Official website of the C-47 #43-15073, used in the D-Day drops, later recovered and restored at D-Day site
- D-Day : U.S. Airborne in Cotentin Peninsula