ฟร็องซัว ดยุกแห่งอ็องฌู
ฟร็องซัว | |||||
---|---|---|---|---|---|
ดยุกแห่งอาล็องซง, ชาโต-ทีแอร์รี, อ็องฌู, แบร์รี และตูแรน | |||||
ดยุกแห่งอ็องฌูในปี ค.ศ. 1572 | |||||
ประสูติ | 18 มีนาคม 1555 | ||||
สิ้นพระชนม์ | 10 มิถุนายน ค.ศ. 1584 | (29 ปี)||||
ฝังพระศพ | 27 มิถุนายน ค.ศ. 1584 มหาวิหารแซงต์เดอนีส์ | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | วาลัว-อ็องกูแลม | ||||
พระราชบิดา | พระเจ้าอ็องรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศส | ||||
พระราชมารดา | กาเตรีนา เด เมดีชี |
ฟร็องซัว ดยุกแห่งอ็องฌู (อังกฤษ: François, Duke of Anjou หรือ Hercule François, Duke of Anjou และ Counts and dukes of Alençon) (18 มีนาคม ค.ศ. 1555 - 19 มิถุนายน ค.ศ. 1584) พระนามเต็ม แอร์กูล ฟร็องซัว ดยุกแห่งอ็องฌู และเคานต์และดยุกแห่งอาล็องซง" เป็นพระราชโอรสองค์เล็กในพระเจ้าอ็องรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศสและกาเตรีนา เด เมดีชี
ฟร็องซัว ดยุกแห่งอ็องฌู ทรงเป็นเด็กที่น่ารักแต่น่าเสียดายที่มีแผลเป็นจากฝีดาษเมื่อมีพระชันษาได้ 8 ปี และทรงมีพระปิฐิกัณฐกัฐิ(กระดูกสันหลัง) ที่ไม่ไคร่ปกติ ไม่เหมาะสมกับพระนาม "แอร์กูล" ที่ทำให้เปลี่ยนพระนามเป็น "ฟร็องซัว" เพื่อถวายพระเกียรติแก่พระเชษฐาพระเจ้าฟร็องซัวที่ 2 แห่งฝรั่งเศสผู้เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1560
ในปี ค.ศ. 1574 เมื่อพระเชษฐาองค์ต่อมาพระเจ้าชาร์ลที่ 9 แห่งฝรั่งเศสเสด็จสวรรคตและพระเชษฐาพระเจ้าอ็องรีที่ 3 แห่งฝรั่งเศสขึ้นครองราชย์ ฟร็องซัวก็ทรงกลายเป็นรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1576 ฟร็องซัวได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ดยุกแห่งอ็องฌู, ตูแรน และแบร์รี
ในปี ค.ศ. 1576 ฟร็องซัวทรงทำการเจรจากต่อรองข้อตกลงในพระราชกฤษฎีกาบิวลี (Edict of Beaulieu)ระหว่างสงครามศาสนาของฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1579 ก็ได้รับเชิญให้เป็นประมุขสืบสาย (hereditary sovereign) ของสหมณฑลแห่งเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1580 รัฐสภาแห่งแห่งเนเธอร์แลนด์ (ยกเว้นเซแลนด์และฮอลแลนด์) ลงนามในสนธิสัญญาเพลซีส-เลอส์-ตูร์ (Treaty of Plessis-les-Tours) กับฟร็องซัว ที่ระบุให้ฟร็องซัวทรงมีตำแหน่งเป็น "ผู้พิทักษ์เสรีภาพแห่งเนเธอร์แลนด์" และเป็นพระมหากษัตริย์แห่งเนเธอร์แลนด์
ความเกี่ยวข้องกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ
[แก้]ในขณะเดียวกันในปี ค.ศ. 1579 ก็ได้มีการจัดการหมั้นหมายระหว่างฟร็องซัวกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ฟรองซัวส์เป็นคู่หมายชาวต่างประเทศคนเดียวที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์ เมื่อพบกันฟร็องซัวมีพระชันษาได้ 24 ปี และสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธมีพระชนมายุได้ 46 พรรษา แม้ว่าจะมีอายุต่างกันมากแต่ทั้งสองคนก็มีความสนิทสนมกันมาก สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธทรงเรียกฟร็องซัวเล่นๆ ว่า "กบ" เพราะฟร็องซัวทรงถวายต่างหูรูปกบให้แก่พระองค์ แต่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธจะทรงหวังว่าจะเสกสมรสกับฟร็องซัวจริงก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอย่างรุนแรง แต่ที่แน่คือพระองค์ทรงโปรดปรานฟร็องซัวพอประมาณ และทรงทราบว่าฟร็องซัวคงอาจจะเป็นคู่หมายคนสุดท้ายที่จะทรงมี แต่ประชาชนอังกฤษเป็นปฏิปักษ์ต่อการจับคู่นี้ และทำการประท้วงอย่างไม่ปิดบังโดยเฉพาะในเรื่องการฟร็องซัวทรงนับถือโรมันคาทอลิก, การที่ทรงเป็นชาวฝรั่งเศส และการที่ทรงเป็นพระราชโอรสในกาเตรีนา เด เมดีชี ฝ่ายโปรเตสแตนท์ในอังกฤษทูลเตือนว่า "หัวใจ[ของชาวอังกฤษ]จะฉีกจากอกถ้าพระองค์จะทรงเสกสมรสกับชาวฝรั่งเศส และโรมันคาทอลิก...ประชาชนธรรมดาต่างก็ทราบว่า[ฟร็องซัว]เป็นโอรสของเจซาเบลแห่งยุค"[1] ในบรรดาองค์มนตรีก็มีแต่เพียงวิลเลียม เซซิล บารอนเบอร์ลีย์ที่ 1 (William Cecil, 1st Baron Burghley) และ ทอมัส แรดคลิฟฟ์ เอิร์ลแห่งซัสเซ็กซ์ที่ 3 (Thomas Radclyffe, 3rd Earl of Sussex) เท่านั้นที่สนับสนุนการเสกสมรส องค์มนตรีอื่นๆ ต่างก็คัดค้านอย่างแข็งแรงและทูลเตือนถึงอันตรายในการมีพระประสูติกาลของพระนางซึ่งมีพระชนมพรรษามากแล้ว ในทางปฏิบัติแล้วการเสกสมรสครั้งนี้ก็มิใช่การสมรสที่เหมาะสมเท่าใดนัก ที่เห็นได้จากการต่อต้านจากชาติต่างๆ ในยุโรป แต่พระองค์ก็ยังทรงเล่นเกมหมั้นหมายกับฟร็องซัวที่อาจจะเป็นการเตือนพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปนถึงสิ่งที่ทรงอาจจะทำถ้าจำเป็น แต่ในที่สุดการเล่นเกมก็สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1581 เมื่อฟรองซัวส์เดินทางกลับฝรั่งเศส สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธทรงพระราชนิพนธ์โคลง "On M onsieur’s Departure" ที่อาจจะตีความหมายได้ว่าพระองค์อาจจะทรงเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่การเสกสมรสกับฟรองซัวส์ก็เป็นได้
อ็องฌูในเนเธอร์แลนด์
[แก้]จากนั้นดยุกแห่งอ็องฌูเสด็จไปยังเนเธอร์แลนด์แต่ไม่ได้ไปถึงจนกระทั่งวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1582 เมื่อทรงรับการถวายการต้อนรับอย่างเป็นทางการโดยวิลเลียมเดอะไซเล้นท์ฝ่ายเนเธอร์แลนด์ที่ฟลัชชิง แม้ว่าการเสด็จเข้าเมืองบรูชและเกนต์จะเป็นไปด้วยดี และการได้รับการแต่งตั้งให้เป็นดยุกแห่งบราบันต์ และ เคานต์แห่งฟลานเดอส์ แต่ฟร็องซัวไม่เป็นที่นิยมในบรรดาชาวดัตช์และชาวเฟลมมิช ผู้ยังเห็นว่าคาทอลิกฝรั่งเศสยังคงเป็นศัตรู จังหวัดเซแลนด์และฮอลแลนด์ไม่ยอมรับฟร็องซัวเป็นประมุข และวิลเลียมผู้เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการพยายามลดความแตกแยกทางศาสนาถูกวิจารณ์ว่าเล่นการเมืองฝรั่งเศส ในปัจจุบันเชื่อกันว่าวิลเลียมเดอะไซเล้นท์เป็นบุคคลที่จ้างให้ทำ "พรมทอแขวนผนังวาลัว" (Valois tapestries) เพื่อถวายพระราชินีนาถแคทเธอรีน[2] เมื่อกองทัพฝรั่งเศสของฟรองซัวส์มาถึงในปี ค.ศ. 1582 แผนของวิลเลียมก็ดูเหมือนจะสมตามที่คาดไว้ ที่ทำให้แม้แต่ดยุกแห่งพาร์มาก็ยังเกรงว่าดัตช์จะเป็นฝ่ายได้เปรียบขึ้นมา
แต่ฟร็องซัวเองไม่ทรงพอใจกับพระราชอำนาจอันจำกัด และทรงตัดสินใจยึดเมืองแอนต์เวิร์ป, บรูช, ดังเคิร์ค และ โอสเทนด์ของเฟล็มมิชโดยใช้กำลัง
"พิโรธฝรั่งเศส"
[แก้]ฟร็องซัวทรงตัดสินใจโจมตีแอนต์เวิร์ปด้วยตนเองเมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1583 ทันทีที่เสด็จเข้าเมืองได้ชาวเมืองแอนต์เวิร์ปก็ปิดประตูเมือง ทหารฝรั่งเศสติดกับและถูกรุมโจมตีโดยชาวเมืองจากทุกทิศทุกทางไม่ว่าจะเป็นหน้าต่างหรือหลังคาด้วยอาวุธต่างๆ ที่หาได้ จากนั้นกองทหารประจำเมืองก็รุมยิง มีทหารฝรั่งเศสไม่กี่คนที่รวมทั้งฟร็องซัวหลบหนีไปได้ ทหารฝรั่งเศสกว่า 1500[3] คนถูกสังหารโดยชาวเมืองแอนต์เวิร์ปผู้เคียดแค้นต่อพฤติกรรมของฟร็องซัว
บั้นปลาย
[แก้]พฤติกรรมอันน่าอับอายของฟร็องซัวเป็นการยุติความก้าวหน้าทางการทหารของฟร็องซัวส์ กล่าวกันว่าพระราชมารดากาเตรีนา เด เมดีชีทรงเขียนพระราชสาส์นถึงฟร็องซัวที่กล่าวว่า "ถ้าเจ้าตายเสียตั้งแต่อายุยังน้อย เจ้าก็คงจะไม่มาเป็นสาเหตุของการตายของผู้กล้าหาญจำนวนมากมาย"[4] การหยามหน้าตามมาด้วยการยุติการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธหลังจากการสังหารหมู่ หลังจากนั้นสถานภาพของฟร็องซัวในเนเธอร์แลนด์ก็คลอนแคลนจนในที่สุดก็ต้องเสด็จออกจากประเทศในเดือนมิถุนายน
ไม่นานหลังจากนั้นฟร็องซัวก็ประชวรด้วยพระโรคมาลาเรีย กาเตรีนา เด เมดีขี พระชนนี ทรงนำฟร็องซัวกลับปารีส มาคืนดีกับพระเชษฐาพระเจ้าอ็องรีที่ 3 แห่งฝรั่งเศสในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1584 ในที่สุดฟร็องซัว ดยุกแห่งอ็องฌู สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 1584
การสิ้นพระชนม์ของดยุกแห่งอ็องฌูทำให้ อ็องรีแห่งนาวาร์พระสวามีของมาร์เกอริตแห่งวาลัว พระขนิษฐาของฟร็องซัวกลายมาเป็นรัชทายาทโดยนิตินัย ที่ทำให้ความรุนแรงของสงครามศาสนาของฝรั่งเศสเพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
อ้างอิง
[แก้]- ↑ From Sir Philip Sidney's letter to Elizabeth I on the subject of Anjou (1579), in Katherine Duncan-Jones and Jan van Dorsten, eds, Miscellaneous prose of Sir Philip Sidney (1973) pp. 46-57
- ↑ After Anjou's death, she made a present of them in 1589 on the occasion of the wedding of her grand-daughter, Christina of Lorraine, to Ferdinand I, Grand Duke of Tuscany; they remain at the Uffizi.
- ↑ see Jean Heritière, Catherine di Medici, Allen and Unwin, p397
- ↑ Strange, Mark (1976). Women of power: the life and times of Catherine dé Medici. Harcourt Brace Jovanovich. p. 273. ISBN 0151983704.
ดูเพิ่ม
[แก้]ดูเพิ่ม
[แก้]- Portraits of François, Duke of Anjou (in French).