ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ดาวคะนอง (ภาพยนตร์)"
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 23: | บรรทัด 23: | ||
| website = |
| website = |
||
| amg_id = |
| amg_id = |
||
| imdb_id = |
| imdb_id = 6024768 |
||
| thaifilmdb_id = |
| thaifilmdb_id = |
||
| siamzone_id = |
| siamzone_id = |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 17:40, 22 ธันวาคม 2559
ดาวคะนอง | |
---|---|
กำกับ | อโนชา สุวิชากรพงศ์ |
เขียนบท | อโนชา สุวิชากรพงศ์ |
อำนวยการสร้าง | Soros Sukhum Benjawan Somsin Edward Gunawan Lee Chatametikool Anocha Suwichakornpong Executive produced by Chayamporn Taeratanachai Pithai Smithsuth Co-produced by Guillaume Morel |
นักแสดงนำ | วิศรา วิจิตรวาทการ อารักษ์ อมรศุภศิริ อภิญญา สกุลเจริญสุข เพ็ญพักตร์ ศิริกุล รัศมี เผ่าเหลืองทอง อัจฉรา สุวรรณ์ |
วันฉาย | 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559 (ไทย) |
ความยาว | 105 นาที |
ประเทศ | ไทย |
ภาษา | ไทย |
ข้อมูลจาก IMDb |
ดาวคะนอง (By the time it gets dark) เป็นภาพยนตร์ไทย กำกับโดยอโนชา สุวิชากรพงศ์ นำแสดงโดยวิศรา วิจิตรวาทการ, อารักษ์ อมรศุภศิริ, อภิญญา สกุลเจริญสุข, เพ็ญพักตร์ ศิริกุล, รัศมี เผ่าเหลืองทอง และ อัจฉรา สุวรรณ์ เริ่มฉายรอบปฐมทัศน์โลกที่โลการ์โน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์[1] หลังจากนั้นออกฉายที่ประเทศเกาหลีใต้, อังกฤษ, แคนาดา และฮ่องกง ฯลฯ ส่วนในประเทศไทย อโนชาเลือกจะจัดฉายหนังรอบพิเศษสำหรับแขกรับเชิญเฉพาะกลุ่มในคืนวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เพื่อรำลึกถึงวาระครบรอบ 40 ปี เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และฉายรอบปกติ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ดาวคะนอง ได้รับทุนสนับสนุน Prince Claus Film Fund Award และ Hubert Bals Plus Europe จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ทุนไทยเข้มแข็ง จาก กระทรวงวัฒนธรรม และทุน Doha Film Fund จากประเทศกาตาร์
ชื่อของภาพยนตร์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับดาวคะนองในเขตจอมทอง ผู้สร้างเห็นว่า เมื่อขับรถขึ้นไปทางด่วนมักจะเห็นป้ายดาวคะนองเสมอ จึงเปรียบดาวคะนองเป็นเหมือนทางผ่าน และอีกนัยยะหนึ่ง หมายถึงคน ซึ่งทุกคนก็เป็นดาวในตัวเอง[2] อโนชาเริ่มเขียนบทภาพยนตร์ร่างแรกของ ดาวคะนอง ตั้งแต่ปี 2552 หลังจากเสร็จสิ้นจากภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของตนเองเรื่อง เจ้านกกระจอก โดย ดาวคะนอง เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยการเมืองในเดือนตุลาคม
ภาพยนตร์ เล่าเรื่องภาวะที่เกี่ยวข้องกันอย่างหลวม ๆ ระหว่างตัวละครหลากหลายกลุ่ม ได้แก่ ผู้กำกับภาพยนตร์หญิงและผู้เป็นแรงบันดาลใจของเธอ ซึ่งเคยเป็นอดีตนักศึกษา นักกิจกรรมในทศวรรษ 2510, บริกรสาวผู้เปลี่ยนงานอยู่เป็นประจำ และนักแสดงชาย หญิงคู่หนึ่ง
มติชนสุดสัปดาห์ วิจารณ์ว่า "หนังของอโนชากลับจัดวาง “เรื่องเล่า” หลาย ๆ ชั้น ไว้อย่างกระจัดกระจาย ปราศจากระบบระเบียบ จนกลายเป็น “องค์ขาด” ซึ่งไม่สามารถบอกเล่าถึง “ภาพรวม” ของประวัติศาสตร์หน้าไหนหรือการต่อสู้ใด ๆ ได้อย่างชัดเจน"[3] อะเดย์ พูดในทำนองคล้าย ๆ กันว่าภาพยนตร์ "เหมือนเศษของดาวที่แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ จนไม่ง่ายนักที่จะทำความเข้าใจ แต่เศษเสี้ยวนี้จะเข้าไปสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นในจิตใจคนดูแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความเข้าใจเรื่องสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งประวัติศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจ ระบบทุนนิยมและความล่องลอยของมนุษย์เมือง"[4]