พระมีนากษี
มีนากษี | |
---|---|
เทพารักษ์แห่งนครมตุไร[1] | |
พระนางมีนากษี | |
ชื่ออื่น | องฺคยรกณฺณิ, ตฑาทไก, มีนาฏฺจิ, มนฺตฺริณิ, มนฺคยกรสิ, มทุไรเทวิ |
ส่วนเกี่ยวข้อง | พระปารวตี, เทวี |
ที่ประทับ | มตุไร |
สัตว์ | นกพาราคีต |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
คู่ครอง | สุนทเรศวร (พระศิวะ) |
บิดา-มารดา |
|
พี่น้อง | อฬคัน (พระวิษณุ) |
ราชวงศ์ | ปาณฑยะ[2] |
มีนากษี (สันสกฤต: Mīnākṣī) หรือ มีนาฏจิ (ทมิฬ: Mīṉāṭci) หรือรู้จักในนาม องฺคยรกณฺณิ (Aṅgayaṟkaṇṇi)[2][3] และ ตฑาทไก (Taḍādakai)[4] เป็นเทวีในศาสนาฮินดู เทพารักษ์แห่งนครมตุไรและถือว่าเป็นอวตารของพระปารวตี[5] ถือเป็นเทวีคู่ครองของพระสุนทเรศวร อวตารหนึ่งของพระศิวะ[6] ปรากฏในวรรณกรรมในฐานะราชินีแห่งอาณาจักรปาณฑยะในแถบมตุไร ก่อนที่ต่อมาจะได้รับการยกขึ้นเป็นเทพเจ้า[7] ปรากฏหลักฐานการสรรเสริญบูชาโดยอาทิศังกระ และ ศรีวิทยะ[8] มีการบูชาพระนางเป็นหลักอยู่ในอินเดีย และมีเทวสถานสำคัญคือมีนากษีเทวาลัย ในมตุไร รัฐทมิฬนาฑู[9]
ศัพทมูล
[แก้]คำว่า "มีนากษี" มาจากคำในภาษาสันสกฤตหมายความว่า "ผู้มีดวงตารูปปลา" มาจากคำว่า "มีน" และ "อากฺษี" เทียบเท่ากับความว่า "อังคยัรกัณณิ" หรือ "อังกยังกัณณัมไม" ในภาษาทมิฬ โดยเพราะเหตุที่พระนางทรงไม่เคยที่จะหยุดมองดูเหล่าสาวกของพระนาง
ตำนาน
[แก้]ส่วนนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาส่วนนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก |
พระศิวะทรงสาปพระแม่ปารวตี
[แก้]ครั้งหนึ่งฤๅษีอคัสตยะประกอบพิธีบูชาพระศิวะและพระแม่ปารวตี เมื่อทั้งสองพระองค์ทราบถึงการประกอบพิธีบูชาของฤๅษีอคัสตยะ จึงเสด็จลงมาหาและทรงให้พรแก่ฤๅษีอคัสตยะ ฤๅษีอคัสตยะจึงขอให้พระศิวะและพระแม่ปารวตีทรงฟ้อนรำด้วยกัน ทั้งสองพระองค์จึงทำตามคำขอของฤๅษีอคัสตยะ แต่ระหว่างการฟ้อนรำนั้น พระแม่ปารวตีทรงทำต่างหูหลุดออกจากพระกรรณขณะทรงฟ้อนรำ พระศิวะทรงไม่อยากหยุดฟ้อนรำจึงใช้พระบาทหยิบต่างหูของพระแม่ปารวตีขึ้นมาเหน็บไว้ที่พระกรรณของพระองค์ เมื่อพระแม่ปราวตีทรงเห็นเช่นนั้นก็พิโรธที่พระศิวะหยามพระนางโดยการเอาพระบาทหยิบต่างหูของพระนาง พระแม่ปารวตีจึงทรงต่อว่าพระศิวะด้วยถ้อยคำอันรุนแรง เมื่อพระศิวะทรงได้ยินเช่นนั้นก็พิโรธและสาปให้พระแม่ปารวตีต้องกลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง
พระแม่ปารวตีทรงจุติเป็นธิดาของกษัตริย์แห่งนครปาณฑิยัน
[แก้]หลังจากพระศิวะทรงสาปพระแม่ปารวตี พระนางทรงเศร้าพระทัยเป็นอันมาก จึงทรงลงมาจุติเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์แห่งนครปาณฑิยัน โดยการนำพาของพระวิษณุ ผู้มีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของพระนาง โดยพระแม่ปารวตีทรงกำเนิดใหม่อีกครั้งในพิธียัชญะของกษัตริย์แห่งนครปาณฑิยัน โดยทรงลอยขึ้นมาจากกองไฟของพิธีขอบุตร บนพระอุระของพระนางปรากฏพระถันถึง 3 จุดด้วยกัน กษัตริย์และรานีแห่งนครปาณฑิยันทรงพอพระทัยเป็นอย่างมากและทรงรับมาเป็นธิดาของตน พร้อมกับตั้งพระนามว่า "ฑดาธไก" ซึ่งแปลว่า ผู้กำเนิดจากพระอัคคี เมื่อพระนางทรงเติบโตขึ้นด้วยความกล้าหาญดุจบุรุษเพศ ทรงเก่งกล้าสามารถเป็นอย่างมาก พระนางมักปลอมตัวออกไปจากพระราชวังอยู่บ่อย ๆ และทรงช่วยเหลือผู้คนไว้มากมาย เมื่อพระนางมีพระชนมายุ 20 พรรษา ทรงได้ปกครองนครปาฑิยันแทนพระราชบิดา โดยฤๅษีอคัสตยะเปลี่ยนพระนามให้ใหม่ว่า "มีนากษี" แปลว่า ผู้มีดวงตาดังปลา พระแม่มีนากษีทรงปกครองนครปาณฑิยันด้วยความกล้าหาญและเข้มแข็งและทรงดูแลนครปาณฑิยันด้วยความสงบสุขเช่นกัน
พระแม่มีนากษีทรงต่อสู้กับพระอินทร์
[แก้]พระแม่มีนากษีทรงยกเลิกธรรมเนียมที่ฝ่ายหญิงต้องนำของหมั้นไปให้แก่ฝ่ายชาย และทรงยกเลิกพิธีการบูชาพระอินทร์ โดยพระนางกล่าวว่า การบูชาพระอินทร์ไม่ได้สร้างความเจริญอะไรเลย ฝ่ายพระอินทร์เมื่อทรงรับรู้และพิโรธเป็นอย่างมาก ได้ส่งกองทัพเทวดามาสร้างความวุ่ยวายในนครปาณฑิยัน แต่พระศิวะทรงทราบเสียก่อนจึงทรงแปลงองค์เป็นบุรุษมาช่วยพระแม่มีนากษีจนได้รับชัยชนะ หลังจากนั้นพระแม่มีนากษียกทัพขึ้นไปบนนครอมรวดีของพระอินทร์ เมื่อเหล่าเทวดาทราบก็หนีกันอลหม่าน ฝ่ายพระอินทร์จึงหนีไปเขาไกรลาสเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระศิวะ เมื่อพระแม่มีนากษีทราบข่าวจากนารทมุนี จึงออกติดตามไปยังเขาไกรลาส แต่โคนนทิออกมาห้ามไว้ จึงถูกพระแม่มีนากษีทำร้ายจนสาหัส ร้อนถึงพระศิวะจึงทรงออกมาพบกับพระแม่มีนากษี เมื่อพระแม่มีนากษีทรงพบพระศิวะก็ทรงตกหลุมรักในทันทีและทำให้พระถันที่สามของพระนางหายไป คำสาปของพระศิวะได้หมดสิ้นไป และทรงได้วิวาห์กับพระศิวะอีกครั้งในรูปพระสุนทเรศวร
พระศิวะในรูปพระสุนทเรศวรอภิเษกกับพระแม่มีนากษี
[แก้]ในวันพิธีสยุมพรนั้นมีเหล่าทวยเทพทั่วจักรวาลมาชุมนุมกันที่นครปาณฑิยัน พระวิษณุทรงจูงพระแม่มีนากษีทำพิธีทักษิณานุปาทาน 7 รอบกองกูณฐ์บูชาเพื่อเป็นการเข้าสู่พิธีสยุมพร ในพิธีนั้นพระศิวะในรูปพระสุนทเรศวรทรงสร้างอสูรนามว่า "ไวไก" ให้ทำหน้าที่สร้างแม่น้ำสายสำคัญให้แก่นครปาฑิยัน ในวันที่พระศิวะทรงวิวาห์กับพระแม่มีนากษีนั้นได้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เรียกกันเรียกว่า "วันมีนากษีกัลยาณัม" พระศิวะในรูปพระสุนทเรศวรและพระแม่มีนากษีทรงปกครองนครปาณฑิยันเรื่อยมา จนกระทั่งมีพระโอรสด้วยกันนามว่า "พระศรีรุทรปาณฑิยัน" ซึ่งต่อมาได้เป็นกษัตริย์ของชาวทมิฬ หลังจากพระศรีรุทรปาณฑิยันเป็นกษัตริย์แห่งทมิฬแล้ว พระศิวะในรูปพระสุนทเรศวรกับพระแม่มีนากษีจึงทรงกลับสู่เขาไกรลาสและพระแม่มีนากษีทรงได้กลับเป็นพระแม่ปารวตีในที่สุด ต่อมาพระศรีรุทรปาณฑิยันทรงสร้างเทวาลัยของพระแม่มีนากษีผู้เป็นพระมารดาไว้กับพระสวยมภูลึงค์ของพระบิดาในป่าต้นกระทุ่ม
อ้างอิง
[แก้]- ↑ The Great Temple of Madurai: English Version of the Book Koilmanagar. Sri Meenakshisundareswarar Temple Renovation Committee. 1963.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อWilliam P. Harman 1992 24
- ↑ Proceedings of the First International Conference Seminar of Tamil Studies, Kuala Lumpur, Malaysia, April, 1966. International Association of Tamil Research. 1968. p. 543.
- ↑ Menon, A. Sreedhara (1978). Cultural Heritage of Kerala: An Introduction (ภาษาอังกฤษ). East-West Publications. p. 250.
- ↑ Howes, Jennifer (2003-09-02). The Courts of Pre-Colonial South India: Material Culture and Kingship (ภาษาอังกฤษ). Routledge. p. 27. ISBN 9781135789961.
- ↑ Rajarajan, R. K. K. (2005-01-01). "Minaksi or Sundaresvara: Who is the first principle?". South Indian History Congress Annual Proceedings. Madurai: Madurai Kamaraj University. XXV: 551–553. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 30, 2019.
- ↑ Fiedler, Amanda (2006). Where does Meenakshi take her turmeric bath?: a multiply-constructed religious history and deity in Tamilnadu (ภาษาอังกฤษ). University of Wisconsin--Madison. p. 1.
- ↑ Journal of Kerala Studies (ภาษาอังกฤษ). Vol. 36. University of Kerala. 2009. p. 97.
- ↑ Nelson, Louis P. (2006). American Sanctuary: Understanding Sacred Spaces (ภาษาอังกฤษ). Indiana University Press. p. 121. ISBN 9780253218223.