ผู้ใช้:Suppachai3937/กระบะทราย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

♥♥♥Cloud Computing(การประมาลผลแบบกลุ่มเมฆ)♥♥♥

ไฟล์:Cloud-computing-kitchen-sink.jpg
cloud
–––»» Cloud Computing คือวิธีการประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยผู้ใช้ระบุความต้องการไปยังซอฟต์แวร์ของระบบCloud Computing

จากนั้นซอฟต์แวร์จะร้องขอให้ระบบจัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้องการผู้ใช้ ทั้งนี้ระบบสามารถเพิ่มและลดจำนวนของทรัพยากร
รวมถึงเสนอบริการให้พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ได้ตลอดเวลา โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบเลยว่าการทำงานหรือเหตุการณ์เบื้องหลังเป็นเช่นไร
Cloud Computing คือ บริการทางอินเตอร์เน็ตที่เป็นแบบการรวบรวมทรัพยากรต่างๆที่จำเป็นมาเชื่อมโยงไว้ด้วยกัน โดยมีการทำงานสอดประสานกันแบบรวมศูนย์
โดยผู้จัดสรรทรัพยากรนั้นเรียกว่า third-party Provider หรือผู้ให้บริการบุคคลที่ 3 มีหน้าที่รวบรวมพื้นฐานต่างๆที่จำเป็นเข้าไว้ด้วยกันการใช้ทรัพยาการคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
และระบบสารสนเทศแบบเสมือนจริง Cloud Computing จะทำงานโดยเมื่อผู้ขอใช้บริการต้องการใช้สิ่งใดก็ส่งร้องขอไปยังซอฟแวร์ระบบ
แล้วซอฟแวร์ระบบก็จะร้องขอไประบบเพื่อจัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้องการของผู้ขอใช้บริการต่อไป
โดยผู้ขอใช้บริการมีหน้าที่เสียค่าใช้บริการเพื่อความสามารถในการทำงานตามต้องการโดยไม่ต้องทราบหรือเข้าใจหลักการทำงานเบื้องหลัง

นิยามความหมายCloud Computing


iCloud คืออะไร ?

–––»»iCloud คือระบบศูนย์กลางในรูปแบบกลุ่มเมฆของ Apple มีหน้าที่หลักในการเป็นตัวกลางเก็บข้อมูลของผู้ใช้สำหรับซิงค์เข้ากับอุปกรณ์ของผู้ใช้เอง เพื่อให้ข้อมูลในแต่ละเครื่องนั้นตรงกัน ช่วยอำนวย

ความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน เช่นผมอาจจะสร้างตารางนัดหมายไว้ใน iPhone ตารางนัดหมายดังกล่าวก็จะถูกจัดเก็บขึ้นมาบนระบบ iCloud และซิงค์ลงไปยัง iPad รวมไปถึงเครื่องแมคของผมด้วย ทำให้ผู้ใช้
ไม่ต้องมานั่งย้ายข้อมูลเอง ขอแค่อุปกรณ์แต่ละชิ้นเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตก็เพียงพอ โดยถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ ก็สามารถอธิบายเป็นภาพได้ดังนี้ครับ
จะเห็นได้ว่าตัว iCloud ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน แม้กระทั่งฝั่ง Windows ก็สามารถใช้งานได้ (แต่ไม่เต็มที่เท่าฝั่ง Apple นะ) โดยการล็อกอินเข้าใช้งาน
iCloud นั้น จะใช้เป็นอีเมลและรหัสผ่านเดียวกับ Apple ID ที่ใช้ในการดาวน์โหลดแอพจาก App Store นั่นเองครับ
ซึ่งในปัจจุบัน การใช้งานอุปกรณ์ iDevice จำเป็นที่จะต้องใช้งาน Apple ID แทบจะ 100% แล้ว จึงทำให้แต่ละเครื่องต้องใช้งาน iCloud แทบจะอัตโนมัติ เนื่องจากจะมีให้ตั้งค่าตั้งแต่ตอนเปิดเครื่องใช้
งานครั้งแรกเลย

[1]


server ผู้ให้บริการสามารถให้บริการ Client ได้ทั่วโลกพร้อมๆกัน โดย Cloud Computing นั้นมีหลักการคือจะมี Client กับ Server โดยในฝั่ง Server จะมีหน้าที่ในการประมวลผลคำสั่งต่างๆที่ถูกร้องขอจาก Client โดยการทำงานง่ายๆก็คือ เพียงแค่ใช้ internet browser ในการทำงาน ก็เรียกใช้งานได้โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใดๆ


เอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Cloud Computing มีอะไรบ้าง

- Agility (ว่องไวไร้ที่ติ) ผู้ใช้จะรู้สึกเหมือนทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว

- Cost (ลดค่าใช้จ่าย) ช่วยลดค่าใช้จ่ายในองค์กร และอาจฟรีสำหรับ Client

- Device and location independence (ห่างไกลไร้พันธนาการ) ใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา

- Multi-tenancy (แบ่งกันใช้งาน) สามารถแบ่งทรัพยากรไปให้ผู้ใช้จำนวนมาก เช่น Centralization สร้างจุดศูนย์รวมบริการ

- Reliability (ยิ่งใหญ่) ในทางธุรกิจแล้ว ความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งดึงดูดกำไรเข้าองค์การเลยก็ว่าได้

- Scalability (ยืดหยุ่นได้) พร้อมสำหรับการปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้ใช้

- Security (ปลอดภัย) สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ และยิ่งใน Cloud Computing แล้วข้อมูลรวมอยู่ที่เดียวกัน ก็ยิ่งต้องเพิ่มความปลอดภัยให้มากยิ่งขึ้น

- Sustainability (มั่นคง) โครงสร้างที่แข็งแรง



ผลกระทบต่อวงการไอที

     ประการแรก 

การสร้างระบบคอมพิวเตอร์สามารถ ตั้งอยู่ที่ไหนก็ได้ ผู้ใช้ไม่ต้องทราบสถานที่ตั้งขอให้มีเครือข่ายที่มีแบนด์วิทธ์พอเพียงเท่านั้น (ตัวอย่างเช่น เราเองไม่เคยทราบว่ากูเกิลนั้นตั้งอยู่ที่ใดบ้าง)

     ประการที่สอง 

ระบบจะทำให้เกิดการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีการแบ่งสรรการใช้งานระหว่างผู้ใช้จำนวนมหาศาล ทำให้สามารถออกแบบระบบที่ไม่ต้องเผื่อการใช้งานที่รับงานหนักไว้มากนัก นอกจากนั้นยังสามารถเพิ่มจำนวนเครื่องได้ง่ายเมื่อมีความต้องการสูงขึ้น

     ประการที่สาม 

ทำให้เกิดการแยกกันระหว่างการบำรุงรักษาโครงสร้างด้านระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายออกจากการบำรุงรักษาระบบโปรแกรมประยุกต์อย่างชัดเจน

     ประการที่สี่ 

ทำให้เกิดการแยกระหว่างการโปรแกรมและระบบที่ใช้รันงาน ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายโปรแกรมไปบนระบบ ผลคือ ความมีเสถียรภาพจะสูงขึ้นเนื่องจากสามารถ รันโปรแกรมหลายชุดและย้ายออกจากระบบคอมพิวเตอร์ที่เกิดปัญหาได้ง่ายและสุดท้ายนี้

      • โครงสร้างการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ ***

การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆจะมีโครงสร้างดังนี้  ระบบจะประกอบไปด้วย

- กลุ่มเมฆของเซอร์ฟเวอร์ (cloud server) ซึ่งเป็นเซอร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาลนับหมื่นนับแสนเครื่องที่ตั้งอยู่ในที่เดียวกัน

-ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ ( User interaction interface) ทำหน้าที่รับคำขอบริการจากผู้ใช้ในรูปแบบเว็บโปรโตคอล

-ส่วนจัดเก็บรายการบริการ (Services Catalog) เก็บและบริหารรายการของบริการ ผู้ใช้สามารถค้นดูบริการที่มีจากที่นี่

-ส่วนบริหารงาน (system management) ทำหน้าที่กำหนดทรัพยากรที่เหมาะสมเมื่อผู้ใช้เรียกใช้บริการ เมื่อมีการขอใช้บริการ ข้อมูลการขอ request จะถูกส่งผ่านให้ส่วนนี้

-ส่วนจัดหาทรัพยากร (provisioning services) จากนั้นส่วนบริหารงานจะติดต่อกับส่วนนี้ เพื่อจองทรัพยากรจากกลุ่มเมฆและเรียกใช้โปรแกรมประยุกต์แบบเว็บที่เหมาะสม

-ส่วนตรวจสอบข้อมูลการใช้งาน (Minitoring and Metering) เพื่อใช้ในการเก็บค่าบริการหรือเก็บข้อมูลสถิติเพื่อปรับปรุงระบบต่อไป