ข้ามไปเนื้อหา

ผู้ใช้:Jirapat1234/กระบะทราย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไฟล์:Jirapat.jpg

ชื่อ : นายจิรภัทร แซ่จึง
ชื่อเล่น : หมู
การศึกษา :ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (นครราชสีมา)
สาขาวิชา : ระบบสารสนเทศ
ชั้นปีที่ : 3

ประวัติส่วนตัว

[แก้]
ชื่อ:นายจิรภัทร  แซ่จึง เกิดวันที่:3 เมษายน 2537 ส่วนสูง:173 cm จังหวัด:ศรีสะเกษ

ประวัติการศึกษา

[แก้]
ระดับประถม:  โรงเรียนวัดพระโต 
ระดับมัธยมต้น: โรงเรียนสตรีสิริเกศ
ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ: วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกศ
ระดับปริญญาตรี: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน

ประวัติงาน

[แก้]
ปี 2012:  ผู้ดูแลระบบเครือข่าย System Administrator 
ปี 2013: Graphic Design
ปี 2014: Wep Develop

บทความด้าน IT

[แก้]

ไวรัสซ่อนไฟล์

[แก้]
คือไวรัสที่จะทำการซ่อนไฟล์ ให้เป็น system และสร้าง shortcut ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเห็นไฟลล์ได้ โดยจะมีชื่อเรียกหลายหลายเช่น VBS Worm,VBSRunauto,VBS/Yuyun A
หรือ malware DR/Agent.JP.4, TOEUW.EXE Virus/Malware อาการ ไวรัสตัวนี้ติดง่ายๆ เพียงแค่ท่านเอา Flash Drive ไปเสียเครื่องที่ติดไวรัสอยู่แล้ว และเมื่อท่านเปิด
Flash Drive ก็จะติดทันที
วิธีแก้ไข
1 หลังจากเสียบ flashdrive แล้ว เปิด My Computer ดูว่า flashdrive ของเราอยูใน Drive อะไร เช่น F: , G: , H: ให้จำไว้แล้วปิดหน้าต่างนี้ไป
2 ขั้นตอนต่อไป ไปที่ Start-> เลือก Run แล้วพิมพ์ว่า cmd แล้วจะขึ้นหน้าจอสีดำ
3 หลังจากนั้นตามที่ให้จำว่า Flash drive เราอยู่ drive ไหน ได้แล้วให้พิมพ์ drive นั้น ลงไปเช่น D: E: F: แล้วแต่เครื่องพอพิมพ์ drive ลงไป เช่นถ้าอยู่
drive H: ก็จะขึ้นดังนี้ H:\> แล้วให้พิมพ์คำสั่ง dir ซึ่งย่อมาจาก directory หมายถึง แสดง file และ folder ทีู่่อยู่ใน drive H โดยพิมพ์คำสั่ง dir /ah มี /ah
เพิ่มขึ้นมาหมายถึงให้แสดงเฉพาะ file และ folder ที่ถูกซ่อนอยู่ (hidden) ซึ่งทีนี้เราก็จะเห็นแล้วว่า folder เก็บงานเราไม่ได้หายไำปไหน ยังอยู่ครบเพียงแต่ถูกซ่อนไว้
และทำให้สถานะเป็น system file ต่อไปเป็นการทำให้กลับมาโดยพิมพ์ต่อใน command prompt เลย ให้พิมพ์ว่า attrib -s -h -r /s /d
ความหมายของคำสั่ง
ความหมายของคำสั่ง attrib มาจากคำว่า Attribute แปลว่าคุณลักษณะ เป็นคำสั่งจัดการกับลักษณะหรือประเภทไฟล์ต่่อมา -s -h -r เป็นการระบุประเภทของไฟล์
นั้นๆ โดย R(Read-Only) H(Hidden File) S(System File) ส่วน /s /d หมายถึงทุก file และ ทุกๆ folder รวมถึง sub folder คือ folder ย่อยๆนั้นเอง
พอทราบความหมายแล้วมาดูผลการทำงานกัน พิมพ์ attrib -s -h -r /s /d แล้ว Enter หลังจาก enter จะมีการทำงานของคำสั่งให้รอสักครู่ แล้วมาดูผลการทำงานกันโดย
ใช้คำสั่งเดิม คือ dir /ah ผลที่ได้หากไม่มี file หรือ folder ที่ถูกซ่อนไว้ถือว่าการทำงานสำเร็จคราวนี้ไปดูใน Flash drive กันว่าเป็นยังไงบ้าง ผลที่ได้ึืคือได้ folder
ต่างๆ กลับมา

การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่อง PC

[แก้]

ขั้นตอนแรก: ตรวจสอบ Startup Program ต่าง ๆStartup program เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เครื่องช้าลงหรือเร็วขึ้นได้ ซึ่งมีผลกระทบทางด้านประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงานของเครื่องด้วย เพราะถ้าคุณมี Startup Program มากมายเวลาที่คุณเปิดเครื่อง PC เครื่องต้องทำการ load โปรแกรมเหล่านี้ทำให้เสียเวลามากนอกจากนี้ software หลาย ๆ ตัวมัีกจะไปอยูที่ Startup tray หลังจากที่คุณ install มันทำให้เป็นการเลือกใช้โหมด Startup Program ของ software ตัวนั้น ๆ โดยอัตโนมัติยิ่งคุณมี Startup Program มากเท่าไหร่ เครื่อง PC ของคุณจะยิ่งเข้าสู่สถานะพร้อมใช้งานเมื่อเปิดเครื่องได้ช้าลง โปรแกรมต่าง ๆ เหล่านี้จะใช้ทรัพยากรของ RAM ไปด้วย ยิ่งมีโปรแกรมใช้ทรัพยากรของ RAM มากเท่าไหร่เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณก็จะยิ่งช้าเวลาทำงานอย่างไรก็ตามการปิดโปรแกรมต่าง ๆ เหล่านี้ไป (สังเกตุโปรแกรมพวกนี้ได้ที่ system tray ด้านขวาล่างของจอ) จะไม่ทำให้ระบบคืนทรัพยากรของ RAM ในทันที ดังนั้นคุณควรจะตรวจสอบดูให้แน่ใจว่าไม่มี Startup Program ใด ๆ ที่ไม่ต้องการมาเกะกะให้เครื่องทำงานช้าโดยใช่เหตุคุณสามารถตรวจสอบโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่ได้โดยไปคลิกที่ Start button ทางด้านซ้ายล่างของจอ จากนั้นเลือก Run และพิมพ์คำว่า “msconfig” จากนั้นกด OK จะปรากฏหน้าจอขั้นมาอันหนึ่งที่หน้าจอที่ปรากฏขึ้นมานี้ให้ไปคลิกที่ Startup tab เพื่อดูรายการ Startup Program จากนั้นคุณสามารถเลือกโปรแกรมที่ต้องการให้อยู่ใน Startup Programจำไว้ว่าถ้าคุณไม่มั่นใจว่าโปรแกรมตัวไหนจำเป็นหรือไม่ หรือสามารถเอาออกจาก Startup Program ได้หรือไม่ก็ให้ปล่อยมันไว้ก่อน อย่าพึ่งไปแตะต้องมันจะดีกว่า
ขั้นตอนที่สอง: เก็บกวาด Windows\temp directory มันไม่เป็นไรถ้าจะลบไฟล์ทั่งหมดที่อยู่ใน Windows\temp directory ที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์ขึ้นไป คุณสามารถลบไฟล์เหล่านี้ได้โดยไป double click ที่ My Computer icon จากนั้นให้คลิกที่ icon ของ hard drive (c:) จากนั้น double click ที่ Windows folder แล้วไปที่ Temp folderเปลี่ยนโหมดการแสดงผลเป็น Detail จากนั้นคุณจะสามารถดูวันที่ได้ จากนั้นให้ลบไฟล์ต่าง ๆ ที่ใช้นามสกุล .tmp ที่มีอายุตั้งแต่สัปดาห์ขึ้นไป จากนั้นกด Delete
ขั้นตอนที่สาม: Uninstall โปรแกรมเก่า ๆ ที่ไม่ใช่ออกไปซะถ้าคุณมีโปรแกรมเก่า ๆ บนเครื่องที่ไม่ใช่งานแล้ว คุณอาจต้องการที่จะ uninstall มันออกไปซะเพื่อเพิ่มเนื้อที่ให้กับ hard drive ของคุณ โดยปกติแล้วปกติต่าง ๆ จะมีตัว Uninstaller มาให้ด้วยถ้าโปรแกรมตัวไหนที่ไม่มี unintstaller มาให้ ให้คุณไปที่ My Computer จากนั้นไปที่ Control Panel และไปยัง Add/Remove Program อย่างไรก็ตามการใช้ uninstaller ที่ติดมากับตัว software จะดีกว่า เพราะการใช้ Add/Remove Program ที่ Control Panel นั้นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับระบบ
ขั้นตอนที่สี่: จัดการกับ Folers, documents & filesหลาย ๆ ครั้งที่ folder และไฟล์ต่าง ๆ กินพื้นที่บน hard drive ของคุณโดยใช่เหตุ ดังนั้นให้คุณหมั่นดูว่ามี folder หรือไฟล์ document หรือไฟล์ใด ๆ ที่คุณไม่ใช่แล้ว ทำการลบมันซะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
ขั้นตอนที่ห้า: ล้าง cache ของ browserinternet browser ทุก ๆ ตัวจะเก็บไฟล์ต่าง ๆ จากเว็บไซด์ที่คุณเข้าไปดูไว้ที่ hard drive ปัญหาก็คือ internet browser จะเก็บไฟล์เหล่านี้ไว้ใน cache นั่นหมายความว่าใน cache ของคุณจะมีไฟล์ที่คุณไม่ต้องการใช้งานแล้ว เป็นพัน ๆ ไฟล์เลยทีเดียวคุณสามารถลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นใน cache ได้โดยทำตามข้างล่างนี้ถ้าคุณใช้
Internet Explorer 3.x: ให้ไปที่ View/Options คุณจะพบ Temporary Internet Files ใน Advanced tab ให้คลิกที่ Settings จากนั้นให้คลิกคำว่า Empty Folderถ้าคุณใช้ Internet Explorer
4.0: ให้ไีปที่ View/Internet จากนั้นให้คลิกที่ Delete Files ใน Temporary Internet Files ข้างใน General tabถ้าคุณใช้ Internet Explorer
5.0: ให้เลือก Tools/Internet Options จากนั้นให้คลิกที่ Delete File ใน Temporary Internet Files ข้างใน General tabถ้าคุณใช้ Internet Explorer ตั้งแต่
6.0 ขึ้นไป: ให้ไปที่ Tools จากนั้นคลิกที่ Internet Options จากนั้นคุณจะสามารถคลิก Delete Temporary Files ได้

Topology

[แก้]

โทโปโลยีแบบบัส (Bus Topology)

[แก้]
โทโปโลยีแบบบัส บางทีก็เรียกว่า Linear bus เพราะมีการเชื่อมต่อแบบเส้นตรงซึ่งเป็นลักษณะการเชื่อมต่อที่ง่ายที่สุด และเป็นโทโปโลยีที่นิยมกันมากที่สุดในสมัยแรกๆ 

ลักษณะการส่งข้อมูล
การส่งข้อมูลบนเครือข่ายที่มีโทโปโลยีแบบบัสนั้นข้อมูลจะถูกส่งไปบนสายสัญญาณในรูปแบบของสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสัญญาณนี้จะเดินทางไปถึงคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อ
เข้ากับ สื่อกลางบัสแต่ เฉพาะคอมพิวเตอร์เครื่องที่มีอยู่ตรงกับที่อยู่ของผู้รับที่อยู่ในข้อมูลเท่านั้น จึงจะนำข้อมูลนั้นไปทำการโพรเซสส์ต่อไป ส่วนเครื่องอื่นๆ ก็จะไม่สนใจข้อมูลนั้น
เนื่องจากสายสัญญาณเป็นสื่อกลางที่ใช้ร่วมกัน ดังนั้น คอมพิวเตอร์แค่เครื่องเดียวเท่านั้นที่จะส่งข้อมูลได้ในเวลาใดเวลาหนึ่ง

ข้อดี
1.ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
2.มีโครงสร้างง่ายและระบบก็มีความน่าเชื่อถือเพราะใช้สายส่งข้อมูลเพียงเส้นเดียว
3.ง่ายในการเพิ่มจุดบริการใหม่เข้าสู่ระบบ

ข้อเสีย
1.การตรวจหาข้อผิดพลาดของระบบทำได้ยาก
2.ในกรณีที่สายส่งข้อมูลเกิดเสียหายจะทำให้ระบบ ทั้งระบบไม่สามารถทำงานได้

โทโปโลยีแบบดวงดาว (Star Topology)

[แก้]
โทโปโลยีแบบดวงดาว (Star Topology) นี้ คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะเชื่อมต่อด้วยสายสัญญาณเข้ากับอุปกรณ์รวมศูนย์ที่เรียกว่า “ ฮับ” โดยการเชื่อมต่อแบบดวงดาวคือ 
เมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องใด จะส่งข้อมูลก็จะส่งไปที่ฮับก่อน แล้วฮับจะทำหน้าที่กระจายข้อมูลไปยังทุกเครื่องที่เชื่อมเข้ากับฮับ

ข้อดี
- ง่ายในการให้บริการ
- อุปกรณ์ 1 ตัวต่อสายส่ง 1 เส้น ทำให้การเสียหายของอุปกรณ์ในระบบไม่มีผลกระทบต่อการทำงานในจุดอื่นๆ
- ตรวจหาข้อผิดพลาดได้ง่าย

ข้อเสีย
-ต้องใช้สายส่งข้อมูลจำนวนมาก
-ถ้าจุดศูนย์กลางเกิดการเสียหาย จะทำให้ระบบทั้งระบบไม่สามารถจะทำงานได้

โทโปโลยีแบบวงแหวน (Ring Topology)

[แก้]
โทโปโลยีแบบวงแหวนนี้จะใช้สายสัญญาณเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นห่วงหรือวงแหวน การเชื่อมต่อแบบนี้สัญญาณจะเดินทางเป็นวงกลมในทิศทางเดียว และจะวิ่งผ่านคอมพิวเตอร์
แต่ละเครื่องซึ่งจะทำหน้าที่ทวนสัญญาณไปในตัวแล้วส่งผ่านไปเครื่องถัดไป ซึ่งถ้าคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเครื่องใดหยุดทำงานก็จะทำให้ระบบเครือข่ายล่มเช่นกันการส่งต่อโทเคน
(Token Passing) วิธีที่จะส่งข้อมูลในโทโปโลยีแบบวงแหวนเรียกว่าการส่งต่อโทเคน โทเคนเป็นข้อมูลพิเศษที่ส่งผ่านในเครือข่ายแบบวงแหวน แต่ละเครือข่ายจะมีเพียงโทเคนเดียว
เท่านั้น โทเคนนี้จะส่งต่อกันไปเรื่อยๆ สำหรับเครื่องที่ต้องการส่งข้อมูลเมื่อได้รับโทเคนแล้วก็จะมีสิทธิ์ที่จะส่งข้อมูล การส่งข้อมูลก็ทำได้โดยใส่ที่อยู่ของเครื่องรับไว้ในข้อมูลแล้วส่งต่อๆ
กันไป เมื่อข้อมูลมาถึงเครื่องปลายทาง หรือเครื่องที่มีที่อยู่ตรงกับที่ระบุในเฟรมข้อมูล เครื่องนั้นก็จะนำข้อมูลไปโพรเซสส์ และส่งเฟรมข้อมูลตอบรับกลับไปยังเครื่องส่งเพื่อบอก
ให้ทราบว่าได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว เมื่อเครื่องส่งได้รับการตอบรับแล้ว ก็จะส่งผ่านโทเคนต่อไปยังเครื่องถัดไป เพื่อเครื่องอื่นจะได้มีโอกาสส่งข้อมูลบ้าง

ข้อดี
-ใช้สายส่งข้อมูลน้อยจะใกล้เคียงกับแบบ Bus
-ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
-ง่ายในการเพิ่มจุดบริการใหม่เข้าสู่ระบบ

ข้อเสีย
-ถ้าจุดใดจุดหนึ่งเสียหายจะทำให้ระบบทั้งระบบไม่สามารถติดต่อกันได้
-ยากในการตรวจสอบข้อผิดพลาด

โทโปโลยีแบบเมซ (Mesh Topology)

[แก้]
โทโปโลยีเมซคือ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์แบบสมบูรณ์ กล่าวคือ คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเครือข่ายจะเชื่อมต่อถึงกันหมดโดยใช้สายสัญญาณทุกการเชื่อต่อ วิธีการนี้จะเป็นการ
สำรองเส้นทางเดินทางข้อมูลได้เป็นอย่างดี เช่น ถ้าสายสัญญาณเส้นใดเส้นหนึ่งขาด ก็ยังมีเส้นทางอื่นที่สามารถส่งข้อมูลได้ นอกจากนี้ยังเป็นระบบที่มีความเชื่อถือได้สูง แต่ข้อเสีย
ก็คือ เครือข่ายแบบนี้จะใช้สัญญาณมาก ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบก็เพิ่มขึ้น ในการเชื่อมต่อจริงๆ นั้นการเชื่อมต่อแบบเมซนั้นมีการใช้งานน้อยมาก

ข้อดี
-การมีเส้นทางสำรองข้อมูล จึงได้มีการประยุกต์ใช้การเชื่อมต่อแบบเมซบางส่วน หรือการเชื่อมต่อแบบเมซที่ไม่สมบูรณ์ กล่าว คือ จะเชื่อมต่อเฉพาะสิ่งที่จำเป็นหรือสำคัญเท่านั้น

ข้อเสีย
-การเชื่อมต่อหลายจุด

TCP/IP

[แก้]
TCP/IP Model มีแนวคิดพื้นฐานแตกต่างจาก OSI Model คือไม่ได้มีพื้นฐานของการสื่อสารแบบการสนทนา TCP/IP Model เป็นภาพแสดงถึงโลกของระบบเครื่อข่ายสากล
(Internetworking) จะพบว่ามีบางเลเยอร์ที่มีการกำหนดคุณสมบัติที่เทียบได้ไกล้เคียงกัน แต่บางเลเยอร์ก็ไม่สามารถเทียบหาความสัมพันธ์กัน

1. Process Layer จะเป็น Application Protocal ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับผู้ใช้และให้บริการต่าง ๆ
2. Host – to – Host Layer จะเป็น TCP ที่ทำหน้าที่คล้ายกับชั้นที่ 4 ของ OSI Model คือควบคุมการรับส่งข้อมูลจากปลายด้านส่งถึงปลายทางด้านรับข้อมูล
3. Internetwork Layer ได้แก่ส่วนของโปรโตคอล IP ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับชั้นที่ 3 ของ OSI Model คือเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครือข่ายที่อยู่ชั้นล่างลงไป
4. Network Interface เป็นส่วนที่ควบคุมฮาร์ดแวร์การรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย เปรียบได้กับชั้นที่ 1 และ2 ของ OSI Model