ผู้ใช้:ภาวิณา หะเทศ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

กวางป่า (Sambar Deer)[แก้]

กวางป่า
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Animalia
ไฟลัม: Chordata
ชั้น: Mammalia
อันดับ: Artiodactyla
วงศ์: Cervidae
วงศ์ย่อย: Cervinae
สกุล: Rusa
สปีชีส์: R.  unicolor

บทนำ[แก้]

ชีววิทยา[แก้]

กวางป่า ชื่อสามัญ Sambar Deer ชื่อวิทยาศาสตร์ Cervus unicolor Kerr กวางเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จำพวกกีบคู่ มีถิ่นกำเนิดและกระจายพันธุ์ในประเทศศรีลังกา อินเดีย พม่า ไทย จีน ไต้หวัน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สุมาตรา บอร์เนียว และหมู่เกาะซีลีเบส ชนิดที่พบในประเทศไทยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Cervus unicolor equinus [1] กวางป่าเป็นสัตว์จำพวกกวางที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั่วไปกวางเพศผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย มีขนสั้นหยาบสีน้ำตาลแกมเหลือง บางตัวน้ำตาลแกมแดง พบตามป่าดงดิบทุกภาค ทั้งในป่าระดับต่ำ ป่าสูง ชอบหากินตามทุ่งโล่ง ชายป่า ในตอนเช้าตรู่และพลบค่ำ กลางวันจะหลับนอนตามพุ่มไม้ใกล้ชายป่า จะกินพืช ทั้งใบ ยอด และต้องการดินโป่ง ในธรรมชาติชอบอยู่ตัวเดียวหรืออยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ พร้อมลูกของมัน ฤดูผสมพันธุ์ส่วนใหญ่เป็นฤดูหนาว

ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมต่างๆ[แก้]

ลักษณะที่บ่งบอกถึงสุขภาพกวางที่สมบูรณ์ สังเกตได้จากขนตามลำตัวมันเงา ดวงตาแจ่มใส จมูกชื้น มูลเป็นเม็ด ไม่มีกลิ่น ปัสสาวะใส ไม่แยกตัวออกจากฝูง ร่างกายไม่ผอมผิดปกติ ส่วนการระวังภัยของกวาง เมื่อได้ยินหรือเห็นสิ่งผิดปกติ จะชูคอหันหน้า ใบหูทั้ง 2 ข้างหันไปยังทิศทางที่ได้ยินหรือเห็น หางจะชี้ขึ้น ยืนนิ่งเงียบ จากนั้นจะส่งเสียงร้องแหลมดังขึ้น ถ้าอยู่กันหลายตัวจะไปยืนรวมกัน เมื่อมีตัวใดตัวหนึ่งตื่นและวิ่ง จะทำให้กวางตัวอื่นทั้งหมดวิ่งตามได้ การโกรธ ทำร้าย และการต่อสู้ กวางจะกัดฟันเสียงดังกรอด ๆ ร่องใต้ตาทั้งสองข้างเบิกลึกกว้างพร้อมกับเดินส่ายหัวเข้าหาศัตรูอย่างช้า ๆ แล้วก้มหัวลงเพื่อให้ปลายเขาชี้เข้าหาศัตรู

ความสำคัญ[แก้]

กวางมีบทสำคัญต่อการตำรงชีวิตของมนุษย์มานานแล้ว ตั้งแต่ยุคที่มีการล่าสัตว์เพื่อนำมาทำเป็นอาหาร เอาหนังมาทำเครื่องนุ่งห่ม ต่อมาได้มีการนำกวางมาเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อบริโภคเนื้อ เป็นเกมกีฬาของคนชั้นสูงและมีการพัฒนาขึ้นมาจนเกิดเป็นอุตสาหกรรมการเลี้ยงกวางหรือฟาร์มกวาง [2] กวาง สัญลักษณ์แห่งดาวโชคลาภ กวาง ในภาษาจีนจะเรียกว่า “ลู่” เป็นสัตว์สิริมงคลของจีน ซึ่งหมายถึงเทพดาวลก (ผู้เป็น 1 ใน 3 เทพดาว “ฮก ลก ซิ่ว”') ดังนั้นกวางจึงมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ เป็นตัวแทนหมายถึง เทพแห่งดาวโชคลาภและชื่อเสียง[3] กวางถูกจัดอยู่ในสัตว์ป่าคุ้มครอง สถานภาพทางกฎหมายตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช ๒๕๓๕ ที่อนุญาตให้เพาะพันธุ์ได้ [4]

ความสัมพันธ์เชิงวิวัฒนาการของกวางป่าและญาติ[แก้]

จากการวิเคราะห์ทางพันธุศาสตร์แสดงญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของกวางป่า อาจเป็นกวางรูซาในประเทศอินโดนีเซีย[5] ซึ่งมีรายงานสนับสนุนที่ว่ากวางป่าสามารถผสมพันธุ์กับกวางรูซาและให้กำเนิดลูกผสมที่สามารถสืบพันธุ์ได้ และมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของกวางป่าจากสมัยสมัยไพลสโตซีนตอนต้น แม้ว่าจะมีการค้นพบกวางดึกดำบรรพ์ที่คล้ายกว่าป่าจากสมัยไพลโอซีน แต่กวางชนิดนี้กลับคล้ายกวางในปัจจุบันน้อยมาก กวางป่าได้รับการเสนอว่าอาจเกิดขึ้นครั้งแรกในเอเชียใต้ ภายหลังจึงกระจายพันธุ์ไปยังถิ่นอาศัยในปัจจุบัน Epirusa และEucladoceros ได้รับการเสนอว่าทั้งสองอาจเป็นบรรพบุรุษของกวางป่ารวมทั้งเป็นญาติใกล้ชิด [6] จากการขุดค้นสำรวจของดร.เชตเตอร์ เกอร์แมน (Chester Gorman) นักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยฮาวาย ได้สำรวจบริเวณถ้ำผี อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้พบหลักฐานของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์อายุราว 1,200 ปี ซึ่งจัดเป็นพวกเดียวกับวัฒนธรรมหันบินห์หรือฮัอบินเหียนในเวียดนาม พบกระดูกของกวางป่า แมวป่า กระรอก ปู ปลา หอย พบเมล็ดพืชหลายชนิด เช่น หมาก[7]

การปรับตัวเชิงวิวัฒนาการของกวางป่า (Evolutionary adaptation of the Sambar Deer)[แก้]

การปรับตัวของสีขน[แก้]

จะมีการเปลี่ยนแปลงสีขนให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบ ๆ ตัว ในลูกกวางจะพบว่ามีลายจุดบนตัว หย่อมขนสีบริเวณสองข้างของตะโพก เมื่อเวลาตกใจหรือพบเห็นภัยอันตราย หย่อมขนสีนี้จะเข้มขึ้นและเป็นประกายอย่างเห็นได้ชัดเจน สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล เป็นสัญญาณเตือนภัยให้แก่กวางตัวอื่น ๆ ภายในฝูง [8]

เขากวาง[แก้]

กวางตัวผู้จะสามารถผลัดเปลี่ยนเขาได้ทุกปี คือเมื่อใกล้ถึงฤดูผสมพันธุ์จะมีการสร้างเขา ซึ่งคือโครงสร้างของมวลคล้ายกระดูกอ่อนที่ยังมีเลือดไปหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลาได้ มีหนังที่เต็มไปด้วยขนสั้นละเอียดและหนาแน่นคล้ายผ้ากำมะหยี่หุ้ม[9] การที่กวางมีเขางอกออกมาจากบริเวณศีรษะ เพื่อใช้สำหรับต่อสู้หรือดึงดูดเพศเมียในฤดูผสมพันธุ์

ต่อมกลิ่น[แก้]

ต่อมกลิ่มโดยเฉพาะกวางเพศผู้ จะมีแอ่งน้ำตาขนาดใหญ่ เรียกว่าต่อมใต้กระบอกตา ( Facial gland ) ทำหน้าที่คัดหลั่งสารที่มีกลิ่นฉุนมากให้ไหลออกตามร่องน้ำตาที่มุมตาด้านใน โดยกวางจะเอาหน้าไปเช็ดถูตามต้นไม้เพื่อเป็นการสื่อสารและบ่งบอกถึงอาณาเขตที่อยู่ของตน จะขยายใหญ่ช่วงฤดูผสมพันธุ์ [10] [11]

การปรับตัวต่อถิ่นอาศัย[แก้]

จากการศึกษาวิวัฒนาการของสัตว์วงศ์กวางและกระจง พบว่ามีหลายชนิดที่มีลักษณะการปรับตัวทางวิวัฒนาการเป็นแบบ Convergence คือกวางและกระจงที่มีถิ่นอาศัยต่างถิ่นกัน อาจมีรูปร่างภายนอกที่คล้ายคลึงกันได้ หากสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาของถิ่นอาศัยนั้นมีสภาพใกล้เคียงกัน (adaptive radiation) [12] ซึ่งภายใต้สภาพการเลี้ยงในสวนสัตว์ในแต่ละที่ แต่ละกลุ่มประชากรในถิ่นอาศัยที่มีสภาพทางนิเวศวิทยาที่แตกต่างกัน (different ecomorphs) นั้น อาจจะเป็นคนละชนิดพันธุ์ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันก็ได้ [13]

References[แก้]

  1. http://web3.dnp.go.th/wildlifenew/downloads/Deer%20Antiers.pdf
  2. http://www.rattanafarm.com/DATAREDDEER.html
  3. http://variety.horoworld.com/3924_%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A0
  4. http://www.dnp.go.th/fca16/file/ur96mjodujspar1.pdf
  5. http://jhered.oxfordjournals.org/content/84/4/266.full.pdf
  6. http://www.mammalogy.org/uploads/Leslie%202011%20-%20MS%2043(871),%201-30_0.pdf
  7. http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/bangkok/malaiwan_c/historym1/unit02_02.html
  8. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A1
  9. http://www.thaifeed.net/animal/deer/deer-4.html
  10. http://www.dld.go.th/service/deer/deer_h.html
  11. http://www.dnp.go.th/fca16/file/ur96mjodujspar1.pdf
  12. http://books.google.co.th/books/about/Biology_and_management_of_the_Cervidae.html?id=D7IWAAAAYAAJ&redir_esc=y
  13. http://app.dnp.go.th/opac/multimedia/research/C00592/C00592-2.pdf