ซูซูกิ อัลโต้

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ซูซูกิ อัลโต้
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตซูซูกิ
เริ่มผลิตเมื่อพ.ศ. 2522 - ปัจจุบัน
ตัวถังและช่วงล่าง
รูปแบบตัวถังคูเป้ 2 ประตู
แฮทช์แบค 3 ประตู
รถตู้ 3 ประตู
แฮทช์แบค 5 ประตู
รุ่นที่คล้ายกันไดฮัทสุ มิร่า
มาสด้า คารอล
ซูบารุ พลีโอ
มิตซูบิชิ มินิกา/อีเค
นิสสัน พิโน
ฮอนด้า เอ็นวัน
ระยะเหตุการณ์
รุ่นก่อนหน้าซูซูกิ ฟรอนเต

ซูซูกิ อัลโต้ (อังกฤษ: Suzuki Alto) เป็นรถยนต์นั่งเคคาร์ (Kei Car) ผลิตโดย ซูซูกิ ผู้ผลิตรถยนต์ขนาดเล็กและรถยนต์เอนกประสงค์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2522 และถูกส่งออกไปจำหน่ายในหลายประเทศ โดยมีตลาดหลักอยู่ที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่นิยมใช้รถยนต์ขนาดเล็ก เนื่องจากถนนในญี่ปุ่นค่อนข้างแคบ อัลโต้จึงได้รับความนิยมมากในประเทศญี่ปุ่น

รุ่นที่ 1 (SS30/SS40; พ.ศ. 2522-2527)[แก้]

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 1

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 1 เปิดตัวเมื่อเดือนพฤษภาคมปี พ.ศ. 2522 ออกมาแทนรุ่นเก่า คือ ซูซูกิ ฟรอนเต (อังกฤษ: Suzuki Fronte) ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 และเลิกผลิตไปในปี พ.ศ. 2533 โดยอัลโต้ มีเครื่องยนต์ 0.5 ลิตร แต่ซีซีต่างกัน มีรุ่น 539 และ 543 ซีซี มีตัวถังแฮทช์แบค 3 และ 5 ประตู ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ในช่วงแรกที่เปิดตัวมีเฉพาะรุ่นเกียร์ธรรมดา 4 สปีด จนในปี พ.ศ. 2523 จึงได้เปิดตัวรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 2 สปีด และฐานการประกอบอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น

อัลโต้รุ่นที่ 1 นี้ เป็นรถที่สร้างปรากฏการณ์ต่อตลาดยานยนต์ญี่ปุ่น ด้วยการเป็นรถยนต์ที่ราคาถูกที่สุดในสมัยนั้น เพียงแค่ 470,000 เยน หากเทียบกับรถยนต์และสินค้าอื่นๆ จะพบว่าราคาขายของอัลโต้นั้นถูกมาก เช่น โตโยต้า โคโรลล่า ราคาในขณะนั้น 924,000 เยน โตโยต้า สตาร์เลท ราคาในขณะนั้น 823,000 เยน ซูซูกิ ฟรอนเต ราคาในขณะนั้น 655,000 เยน คอมพิวเตอร์ ราคาในขณะนั้น 123,000 เยน โทรทัศน์สี ราคาในขณะนั้น 140,000 เยน เครื่องเล่นวีดีโอ ราคาในขณะนั้น 280,000 เยน วิทยุกระเป๋าหิ้ว ราคาในขณะนั้น 72,500 เยน จากการที่ราคาขายถูกมาก ทำให้สามารถเป็นอันดับ 1 ของตลาด K-Car ญี่ปุ่นได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ในประเทศไทย Suzuki Motor ประเทศไทยเคยสั่ง Alto รุ่นนี้เข้ามาประกอบขายในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2524 ในชื่อ Suzuki Fronte ได้รับความนิยมแบบพอขายได้ และเลิกผลิตและจำหน่ายในปี พ.ศ. 2528 เนื่องจากยอดขายเริ่มต่ำลงไปเรื่อยๆ ราคาของรถยนต์ในสมัยนั้นถือว่าไม่แพงมากนัก ผู้บริโภคคิดว่าจ่ายเงินเพิ่มอีกนิดเพื่อซื้อรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่าดีกว่า ทำให้ Fronte ต้องยุติบทบาทลงไปในที่สุด

รุ่นที่ 2 (CA/CB/CC; พ.ศ. 2527-2531)[แก้]

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 2

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 2 เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2527 ใช้โครงสร้างวิศวกรรมร่วมกับ ซูซูกิ เซอร์โว ยังคงมีฐานการประกอบที่ญี่ปุ่นเช่นเดิม แต่ได้ขยายฐานการประกอบไปที่ประเทศจีน ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า นอกจากนี้ เป็นรุ่นแรกที่มีตัวถังคูเป้ 2 ประตู มีเครื่องยนต์ 0.5 และ 0.8 ลิตร ใช้เกียร์ธรรมดา 4 และ 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 2 และ 3 สปีด เลิกผลิตในปี พ.ศ. 2531 และเลิกผลิตในตลาดยุโรปเมื่อปี พ.ศ. 2536

รุ่นที่ 3 (CL/CM/CN/CP/CR/CS; พ.ศ. 2531-2537)[แก้]

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 3

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 3 เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2531 รุ่นนี้ได้ยกเลิกการประกอบที่จีน และยกเลิกตัวถังคูเป้ 2 ประตู มีเครื่องยนต์ 0.5 และ 0.7 ลิตร ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าตามเดิม มีเกียร์ธรรมดา 4 และ 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด

รุ่นที่ 4 (HA11; พ.ศ. 2537-2541)[แก้]

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 4

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 4 เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2537 ยังคงมีตัวถังแฮทช์แบค 3 และ 5 ประตูเหมือนเดิม ส่วนเครื่องยนต์มีเครื่องยนต์ขนาด 0.7 ลิตร (657 และ 658 ซีซี)

รุ่นที่ 5 (HA12; พ.ศ. 2541-2547)[แก้]

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 5

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 5 เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2541 เป็นรุ่นแรกที่มีการประกอบในปากีสถาน มีรุ่นแฮทช์แบค 3 และ 5 ประตู และรถตู้ 3 ประตู มีเครื่องยนต์ 0.7 (657 และ 658 ซีซี) และ 1.0 ลิตร ใช้เกียร์ธรรมดา 4 และ 5 สปีด เกียร์อัตโนมัติ 3 และ 4 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ระยะฐานล้อ 2,360 มม. ความยาว 3,395 มม. ความกว้าง 1,475 มม. ความสูง 1,440-1,455 มม. และน้ำหนักของตัวรถ 630-800 กก.

รุ่นที่ 6 (HA24; พ.ศ. 2547-2552)[แก้]

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 6

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 6 เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2547 รุ่นนี้มีตัวถังแบบเดียวคือแบบแฮทช์แบค 5 ประตู เป็นรุ่นแรกที่ซูซูกิประกอบไปให้มาสด้า ในชื่อ มาสด้า คารอล (อังกฤษ: Mazda Carol) และรุ่นนี้นิสสันก็ได้นำไปขายในชื่อ นิสสัน พิโนอีกด้วย

รุ่นที่ 7 (HA25; พ.ศ. 2552-2557)[แก้]

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 7 (HA25: JDM)
ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 7 (Maruti Suzuki A-Star)

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 7 เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2552 เป็นรุ่นที่ผลิตอยู่ในปัจจุบัน มีเครื่องยนต์ 0.8 ลิตร (796 ซีซี) มีฐานการประกอบอยู่ที่ประเทศอินเดียและญี่ปุ่น มีตัวถังแฮทช์แบค 5 ประตู ระยะฐานล้อ 2,400 มม. ความยาว 3,395 มม. ความกว้าง 1,475 มม. และความสูง 1,535 มม. มีเกียร์ธรรมดา 5 สปีด เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ในอินเดียจะขายในชื่อ Maruti Suzuki Alto 800 เพื่อมาแทน Maruti Suzuki 800 ที่นำซูซูกิ อัลโตรุ่น ปี 2526 มาลากขายถึง 29 ปี และเป็น Alto สำหรับตลาดโลกอีกด้วย ซึ่งหน้าตาจะแตกต่างกับ Alto เวอร์ชันญี่ปุ่น จัดอยู่ในพิกัดรถ City Car เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร ระบบเกียร์เหมือนกับเวอร์ชันญี่ปุ่น แต่ไม่มีรุ่นเกียร์อัตโนมัติ CVT

รุ่นที่ 8 (HA36S/V; พ.ศ. 2557-ปัจจุบัน)[แก้]

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 8

หลังเปิดตัวเจนที่ 8 ไปได้สักพัก ทำให้ Suzuki Alto ยังคงจำหน่ายต่อไปและยังยืนหยัด ในฐานะรถเล็ก Kei Car ขวัญใจชาวยุ่น จนมียอดขายสูงจนถึงทุกวันนี้ ล่าสุดเว็บรถญี่ปุ่นที่ชื่อ Kakaku เผยข้อมูลมาว่าเตรียมที่จะปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 3 ปี ให้กับ Suzuki Alto ป้องกันแชมป์ไม่ให้คู่แข่งแย่งยอดขายไป โดยการปรับครั้งนี้จะมีในส่วนภายนอก เริ่มต้นที่ ไฟหน้า กระจังหน้า กันชหน้าไปจนถึงด้านท้าย สำหรับภายในยังคงดีไซน์แผงคอนโซลหน้า เช่นเดิม แต่มีการปรับรายละเอียดทั้งสไตล์ตกแต่งและวัสดุหุ้มเบาะใหม่ เพื่อความทันสมัยมากขึ้น

รุ่นที่ 9 (HA37/HA97; พ.ศ. 2564-ปัจจุบัน)[แก้]

ซูซูกิ อัลโต้ รุ่นที่ 9

ซูซูกิ เปิดตัว รถซิตี้คาร์ในกลุ่ม Kei car รุ่นใหม่ Suzuki Alto เจนเนอเรชั่น 9 ในประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าตัวรถจะยังคงใช้แพลทฟอร์ม HEARTECT ในการผลิตเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า ทว่า Alto ใหม่จะประหยัดเชื้อเพลิงแบบคูณสอง ด้วยการเพิ่มรุ่นย่อยพลัง Mild hybrid เป็นครั้งแรก Alto ใหม่รุ่นที่เห็นนี้เป็นรถสเปค JDM ที่จำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น และไม่มีโครงสร้างทางวิศวกรรมใดๆ เกี่ยวข้องกับ Maruti Suzuki Alto รุ่นปัจจุบันที่จำหน่ายในประเทศอินเดีย (Alto เวอร์ชั่นอินเดียใช้แพลทฟอร์มเดิมของ Alto เวอร์ชั่นญี่ปุ่นเจนเนอเรชั่น 5) เทียบกับรุ่นก่อนหน้างานออกแบบจะเรียบง่ายกว่ามาก ขนาดตัวแทบแทบไม่เปลี่ยนแปลง ความยาว 3,395 มม. กว้าง 1,475 มม. สูง 1,525 มม. (+50 มม.) ฐานล้อ 2,460 มม. น้ำหนักตัวอยู่ในช่วง 680 – 760 กก. ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย ห้องโดยสารปรับเลย์เอาท์ใหม่ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่แดชบอร์ดใหม่ทั้งแผงที่เพิ่งความมนในทุกมุม ให้ความรู้สึกทันสมัยมากขึ้นเมื่อแรกเห็น, มาตรวัดทรงกลมรุ่นใหม่ และจอทัชสกรีนสำหรับแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์รุ่นใหม่ขนาด 7 นิ้ว ด้านชุดระบบความปลอดภัยซึ่งใช้เทคโนโลยีในกลุ่ม ADAS มีระบบ High Beam Assist ช่วยปรับระดับไฟสูง/ต่ำอัตโนมัติ, ระบบ Forward Collision Warning แจ้งเตือนการปะทะทางด้านหน้า, ระบบ Autonomous Emergency Braking ช่วยหยุดรถอัตโนมัติในขณะฉุกเฉิน และระบบ Lane Departure Warning ช่วยเตือนเมื่อออกนอกเลน ไฮไลท์สำคัญคือการใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 660 ซีซี. มาพ่วงกับระบบ Mild hybrid ซึ่งมี ISG หรือ integrated starter generator ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยลดการทำงานของเครื่องยนต์ในขณะเร่งความเร็ว ออกแบบให้ควบรวมมอเตอร์และเจนเนอเรเตอร์เข้าไว้ด้วยกันมาใช้งาน และเก็บประจุไฟฟ้าด้วยแบตเตอดรี่แพคชนิดลิเธียม-ไอออน ความจุ 3 แอมป์อาว ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT โดยระบบขับเคลื่อนจะเลือกได้ระหว่างขับหน้า หรือ 4WD อย่างไรก็ตาม เซ็ทอัพนี้ปัจจุบันซูซูกิใช้งานอยู่ในมินิแวน Suzuki Wagon R Smile ทว่าสำหรับ Alto จะนับเป็นครั้งแรกที่มีรุ่นย่อยแบบ Mild hybrid เฉพาะเครื่องยนต์ผลิตกำลังได้ 49 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 5.9 กก.-ม. มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมกำลังให้อีก 2.6 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 4 กก.-ม. อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยประมาณ 27.7 กม./ลิตร ราคาจำหน่าย Alto รุ่นพื้นฐานเวอร์ชั่น ICE เพียวๆ เริ่มต้นที่ 943,800 เยน หรือประมาณ 280,000 บาท ส่วนรุ่นประหยัดเชื้อเพลิงด้วยพลัง Mild hybrid ขยับขึ้นไปเป็น 1,535,600 เยน หรือราว 450,000 บาท

อ้างอิง[แก้]