กำแพงเมืองฉะเชิงเทรา
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
ซากกำแพงเมืองในสวนมรุพงษ์ | |
ชื่ออื่น | กำแพงเมืองแปดริ้ว |
---|---|
ที่ตั้ง | ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ประเทศไทย |
ประเภท | ระบบป้อมปราการ |
ส่วนหนึ่งของ | สวนมรุพงษ์ |
ความยาว | 525 เมตร |
ความกว้าง | 290 เมตร |
ความสูง | 3 เมตร |
ความเป็นมา | |
ผู้สร้าง | พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว |
วัสดุ | อิฐ |
สร้าง | พ.ศ. 2380 |
ละทิ้ง | สมัยรัชกาลที่ 5 |
สมัย | รัตนโกสินทร์ |
หมายเหตุเกี่ยวกับสถานที่ | |
สภาพ | ซากเหลือจากการรื้อถอน |
ผู้บริหารจัดการ | เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา |
สถาปัตยกรรม | |
รูปแบบสถาปัตยกรรม | รัตนโกสินทร์ |
ชื่อที่ขึ้นทะเบียน | กำแพงเมือง |
ขึ้นเมื่อ | 5 มกราคม พ.ศ. 2497 |
เป็นส่วนหนึ่งของ | โบราณสถานในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา |
เลขอ้างอิง | 0000835 |
กำแพงเมืองฉะเชิงเทรา ตั้งอยู่บนถนนมรุพงษ์ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ในพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๓ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ กล่าวว่าสร้างในปี พ.ศ. 2377 โดยมีกรมหลวงรักษ์รณเรศร์เป็นแม่กองก่อสร้าง แต่ในหนังสือเจ้าพระยาจักรี มาถึง เจ้าพระยายมราช เจ้าพระยามหาโยธา ในปี 2378 กลับให้รายละเอียดว่า เจ้าพระยายมราช เจ้าพระยามหาโยธา ยังไม่ได้เริ่มลงมือก่อกำแพงเมืองและป้อมเมืองฉะเชิงเทรา และในจดหมายเหตุโหร ฉบับพระยาประมูลธนรัตน์ ได้บันทึกว่า "...ปีระกา จ.ศ.1199 ...ทำ(ป้อม)เมืองฉะเชิงเทรา..." เมื่อคำนวณตามปีปัจจุบัน จ.ศ.1199 จะตรง กับ พ.ศ. 2380 ฉะนั้น จึงสรุปได้ว่า กำแพงเมืองและป้อมเมืองฉะเชิงเทราเริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2380 เพื่อป้องกันข้าศึกศัตรูรุกราน[1] และในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ใช้เป็นที่ตั้งมั่นกองทัพในการปราบกบฏอั้งยี่ ซึ่งเป็นพ่อค้าฝิ่นเถื่อนชาวจีนที่มาสร้างความเดือดร้อนและวุ่นวายปล้นสะดมภ์ชาวบ้านเมืองแปดริ้วในขณะนั้น
ปัจจุบันบริเวณหน้าป้อมเมืองฉะเชิงเทรา ได้จัดเป็นสวนสาธารณะเหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ สำหรับชมวิวทิวทัศน์บริเวณริมแม่น้ำบางปะกง และมีปืนใหญ่ให้ชมอยู่ตามกำแพงเมืองในปัจจุบัน และยังใช้เป็นที่จัดงานวันลอยกระทงของจังหวัด เป็นประจำทุกปีอีกด้วย โดยใช้ชื่องานว่า "ลอยกระทง ย้อนเวลาหาวิถีไทยเมืองฉะเชิงเทรา"
สถาปัตยกรรมบริเวณกำแพงเมือง
[แก้]ตัวกำแพงตั้งเป็นแนวทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก มีความยาวโดยประมาณ 525 เมตร กว้างประมาณ 290 เมตร ตัวกำแพงหนาประมาณหนึ่งเมตรสูงสามเมตร ด้านหลังมีคูน้ำและมีปืนใหญ่ตั้งอยู่ตามกำแพงเมือง
ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติมาตั้งแต่ พ.ศ. 2497 ปัจจุบันด้านหน้าถูกปรับเป็นสวนพักผ่อนหย่อนใจ โดยตั้งชื่อว่า "สวนมรุพงษ์" ช่วงกลางคืนมีการเปิดไฟรอบกำแพงยามสีสันสวยงาม